บริษัทในเครืออุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนอะไหล่และไมโครชิฟเกี่ยวกับอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ในประเทศที่มีผู้ถือหุ้นมากกว่า 15 ประเทศทั่วโลก
เพทาย ฝีมือฉมังเรื่องอิเล็กทรอนิกส์ ก็คงไม่แปลกที่จะถูกคัดเลือกให้เป็นผู้ช่วยหน้าใหม่ไฟแรง เขากำลังรอการกลับมาของนักบริหารหนุ่มเพื่อมารับตำแหน่งที่นี่ แม้ว่าพวกเขาจะสนิทกันมากในเมื่อครั้งอดีต แต่เมื่อเวลาล่วงเลยไป ใครเล่าจะไปรู้ได้ว่าตอนนี้พวกเขาจะยังสนิทกันเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า ทามไทเป็นคนติดดิน อยู่ง่ายกินง่าย ใช้รถยุโรปรุ่นธรรมดา จบปริญญาตรีในไทย จากนั้นบิดามารดาก็พาเขากลับอิตาลีเพื่อไปเรียนต่อโท และต่อเอกที่สหรัฐอเมริกา การใช้ชีวิตของเขาจึงผ่านเรื่องราวต่างๆ มามากมาย ในขณะที่อีกคนก็เรียนต่อด้านไมโครชิฟที่ไต้หวัน เพราะไต้หวันเองก็เป็นประเทศที่เก่งด้านไมโครชิฟรองลงมาจากค่ายยักษ์ใหญ่ที่อเมริกา ด้วยฐานะทางบ้านของเพทายก็ถือว่าดีในระดับหนึ่งแต่ถ้าเทียบแล้วก็ถือว่าสู้ใครอีกคนไม่ได้ “คุณเพทาย สวัสดีค่ะ” ทันทีที่สาวสวยฝ่ายการตลาดอย่างพินทุอรเห็นชายหนุ่มหุ่นล่ำเนื้อแน่นตัวสูงราว 187 เซนติเมตรเดินเข้ามาบริษัทแต่เช้า แม้เวลาเข้างานจะ 8:30 น. ทว่าผู้คนเริ่มทยอยมาสแกนลายนิ้วมือตั้งแต่ 8:00 น. เพราะการทำงานกับฝรั่ง ใช่ว่าจะสายแบบไทยทามได้ จะยืดหยุ่นแบบระบบตอกบัตรก็คงไม่ใช่ อีกทั้งรายนี้นะเขาเป๊ะตั้งแต่ไหนแต่ไร “สวัสดีครับ เอ่อ..? ” “ดิฉัน พินทุอรค่ะ เจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด วันนี้ดิฉันมีหน้าที่แนะนำแผนกต่างๆ ให้คุณเพทายรู้จัก รวมถึงบอสคนใหม่ของเราด้วยค่ะ จะว่าไปอรก็อดตื่นเต้นไม่หาย นี่ทุกคนก็จะได้เจอหน้าบอสคนใหม่วันนี้เหมือนกันค่ะ” หญิงสาวเอ่ยเรียกแทนตัวว่าอร คนร่างสูงลอบกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคออย่างยากลำบาก เมื่อได้ยินคำว่าบอส เพราะเขารู้ดีว่าผู้ที่มาใหม่นั้นเป็นใคร “ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณพินทุอร” ชายหนุ่มเอ่ยทักทายหญิงสาวอย่างสุภาพ “เรียกอรเฉยๆ ก็ได้ค่ะ” พูดพลางหันมายิ้มใหญ่ ผู้ชายอะไร ตัวหอมชะมัด ถ้าได้เป็นแฟนคงจะดีไม่น้อย สาวสวยที่จัดว่าหน้าตาดี รูปร่างสมส่วนในวัย 29 แอบคิดกับตนเองเพียงในใจ “คือว่าบอสที่อรจะแนะนำให้คุณเพทายได้รู้จักเดี๋ยวท่านจะเข้ามาช่วงเก้าโมงนะคะ” ชายหนุ่มทำท่าอึกอักก่อนถามต่ออีกว่า “ปกติแล้วคุณอรทำงานที่เมต้ามานานหรือยังครับ?” “อ๋อ…อรทำมาได้สามปีแล้วค่ะ ตั้งแต่เรียนจบแล้วล่ะค่ะ แต่อรยังไม่เคยเจอบอสตัวจริงหรอกนะคะ ส่วนมากก็เจอผ่านซูมเท่านั้นค่ะ นี่เป็นรอบหลายปีที่บอสจะกลับมาดูแลบริษัทในเครือที่เมืองไทย เห็นว่าพี่ชาย” หญิงสาวดูเหมือนว่าคนตรงหน้าอาจจะงง จึงอธิบายเสริมไปว่า “คือบอสคนก่อนที่บริหารเมต้าอยู่ที่ไทย คือพี่ชายของบอสคนที่คุณเพทายจะเจอในวันนี้น่ะค่ะ” “อ๋อ .. ครับ” เขาตอบพร้อมยิ้มให้กับเธอ พินทุอรว่าบอสที่เธอประชุมซูมด้วยเป็นครั้งคราว รายนั้นว่าหล่อแล้ว มาเจอพ่อเลขาคนนี้เข้าไปเจ้าหล่อนถึงกับเกือบเดี้ยง โอ้ยคนอะไร หล่อไร้ที่ติ “งั้นเดี๋ยวอรพาคุณเพทายไปดูในห้องที่ทำงานกันดีกว่านะคะ” “เอาสิครับ มีอะไรก็แนะนำกับผมได้เลย” ไม่นานนักประตูลิฟต์ก็ถูกเปิดออกมายังชั้น 18 ติ๊ง… “ชั้นนี้ด้านซ้ายจะเป็นฝ่ายวิศวกรรมนะคะ ส่วนโซนด้านขวาจะเป็นฝ่ายผู้บริหาร ส่วนชั้นที่เราผ่านมาเมื่อครู่ ชั้น 17 เป็นฝ่ายวิจัยและพัฒนา ชั้น 16 เป็นฝ่ายการผลิต ชั้น 15 เป็นมาเกตติ้ง ฝ่ายการเงิน และทั่วไปค่ะ ถ้าอรพูดเร็วหรือไม่เข้าใจก็ถามได้นะคะ” “ครับ .. เข้าใจครับ” แม้หญิงสาวจะพล่ามซะยืดยาว ทว่าเขากลับจำได้ทั้งหมด ก่อนที่หญิงสาวที่สูงราวๆ 160 ที่เขาคาดเดาจากสายตาจะพาเปิดไปยังห้องห้องหนึ่ง ที่มันเขียนว่า ‘สำหรับผู้บริหารระดับสูง’ ชายหนุ่มเห็นดังนั้นจึงได้ถามพินทุอรขึ้น “คุณอรครับ? ” “คะ? ” แต่เหมือนเธอจะพอดูรู้จึงได้เอ่ยต่อก่อนว่า “โต๊ะทำงานของคุณเพทายอยู่ด้านในกับโซนผู้บริหารค่ะ แต่ไม่ต้องกังวลไปนะคะ มันจะแยกโซนเข้าไปด้านในอีกชั้นหนึ่งหน่ะค่ะ แค่คุณต้องแยกโซนกับพนักงานเข้าข้างในก็แค่นั้น” เธอพูดหันมาพร้อมรอยยิ้ม ซึ่งเขาก็พยักหน้าเข้าใจ ก่อนที่หญิงสาวจะแนะนำนั่นนี่ บอกชายหนุ่มถึงจุดต่างๆ จนกระทั่งตอนนี้ได้เวลาเข้างาน “เดี๋ยวสักสิบโมง หลังจากที่คุณเพทายได้ทำความรู้จักกับบอสแล้ว อรจะพาน้องๆ สองสามคนมาแนะนำให้รู้จักนะคะ เพราะคุณต้องได้ประสานงานกับน้องๆ พวกนี้ค่ะ” เธอหมายถึงพวกเด็กวิศวะอิเล็กทริกนั่นแหละ ก็ไม่รู้ว่าคนสมัยนี้กินอะไรเข้าไป ทำไมถึงได้หน้าตาดีกันนัก เมื่อเห็นว่าได้เวลางานหญิงสาวจึงปล่อยให้เขาเริ่มทำความคุ้นเคยกับที่ทำงาน 8:55 น. ไม่นานนักเสียงที่ด้านนอกก็เหมือนจะพูดอะไร นั่นคือพวกเขาต่างตื่นเต้นกับการมาใหม่ของใครอีกคน ก็ผู้บริหารคนก่อนว่าหล่อแล้ว มาเจอคนนี้เข้าไป หล่อกินขาด ไม่รู้ว่าพวกเขาทำบุญด้วยอะไรมากันนะ ทำไมถึงได้ทั้งหล่อทั้งรวยขนาดนี้ เสียงประตูดังขึ้น ทำให้เพทายต้องลุกขึ้นตามมารยาท แม้จะรู้อยู่แล้วว่าคนที่มานั้นเป็นใคร เขาจำน้ำเสียงและฝีเท้าของการก้าวเดินได้ดี แม้จะทำใจมาบ้างก่อนหน้านี้ แต่พอถึงเวลานี้เข้าจริงๆ เขากลับยืนตัวสั่นไม่หาย พลางนึกย้อนไปเมื่อวันวาน ในช่วงที่คนที่คู่ต่างหวานซึ้งและแอบคบกันอย่างลับๆ สมัยมหาลัย ซึ่งใครก็มองเพียงว่าคนทั้งคู่ต่างเป็นคู่หูดูโอ้ก็แค่นั้น แต่ใครจะหารู้ไม่ว่าพวกเขาเกินเลยไปถึงไหนต่อไหน ชายหนุ่มแอบคิดในใจว่าทามไทคงจะเป็นเหมือนเดิมสินะ รายนั้นเขาไม่ชอบรู้อะไรล่วงหน้า แม้แต่ประชุม หรือรับน้อง ก็ชอบมาด้นสดเอาท่าเดียว แล้วนี่ดูทรงแล้ววันนี้ก็น่าจะยังไม่รู้เหมือนกันว่าเขามาทำงานเป็นเลขาของเขาที่นี่ สักพักเขาก็ได้ยินเสียง ‘กรึบติ๊ด’ เปิดประตูเข้ามา ตอนนี้บรรยากาศมันช่างน่าอึดอัดและบอกไม่ถูก เมื่อคนทั้งคู่ได้เผชิญหน้ากัน ทามไทปล่อยให้ประตูอัตโนมัติปิดลงอย่างช้าๆ เขายังคงยืนตัวแข็งทื่อตาค้าง ไม่ต่างกับอีกคน ที่ค่อยๆ ลุกเพื่อที่จะกล่าวทักทายผู้ที่มาใหม่ ทว่า!! คนทั้งคู่ต่างจ้องมองตากันด้วยความนิ่งงัน “ทาม..” เพทายเป็นคนตัดสินใจเอ่ยขึ้นก่อน เพราะตามมารยาทแล้วเขาก็ต้องเป็นฝ่ายทักทายผู้บริหารก่อนอยู่แล้ว ชายหนุ่มยื่นมือขึ้นมาเพื่อที่จะทักทาย แต่แล้วก็ต้องยืนนิ่งค้างตัวแข็งทื่อ เมื่อบุรุษร่างสูงอีกคนโผเข้ามากอด แน่นอนว่าเขาก็กอดตอบเช่นกัน “นายสบายดีมั้ยทาย” คำแรกที่เขาเอ่ย ทำเอาคนฟังน้ำตาคลอแทบจะทันที “ผมสบายดี แล้วคุณล่ะ? ” “ฉันก็สบายดี” ตอบพร้อมกับอยากจะถามอะไรคนตรงหน้าขึ้นมา ก่อนที่ทามไทจะเอ่ยถามคำถามนั้นอย่างลุ้นในคำตอบ “นายแต่งงานรึยัง? ” อื้อหืม จะเอาอะไรมาแต่งกันล่ะครับ ก็ผมไม่เคยจะลืมคุณได้ ชายหนุ่มเอาแต่ครุ่นคิดภายในใจ “ยังครับ” นั่นเป็นเพียงคำตอบสั้นๆ แต่ว่าได้ใจความของเขา ทามไทได้ยินเพียงแค่นั้นก็เอาสองมือหนาเหยียดไหล่ของคนตรงหน้าออก ก่อนที่ทั้งคู่จะจ้องมองตากันอีกครั้ง โดยที่ไม่มีใครคิดจะยอมใคร ทามไทสบตากับเพทาย เขาค่อยๆ จ้องมองคนตรงข้ามด้วยความถวิลหา แล้วสายตาคู่คมของเขาก็ค่อยๆ ลดระดับมามองยังริมฝีปากสีชมพูระเรื่อของอีกฝ่าย ก่อนที่สายตานั้นจะเลื่อนขึ้นไปสบตากันอีกที มือหนาไม่รอช้า เขาควานหารีโมทคอนโทรล ก่อนจะกดปุ่มล็อกห้องอย่างไว ไม่รอช้าผู้บริหารหนุ่มก็คว้าเลขาหมาดๆ เข้ามาสวมกอดไว้แน่น เขาก้มซบเอาหน้าผากประกบกับคนตัวเล็กกว่า ก่อนจะค่อยๆ ขยับริมฝีปากเข้ามาใกล้ๆ อย่างช้าๆ จากนั้นเขาก็จ้วงทับเรียวปากลงมายังริมฝีปากของอีกคนอย่างคิดถึง เพทายเองที่ต่างปรารถนารสสัมผัสนี้ไม่ต่างกัน เขาเผยออ้าปากรับเอาสัมผัสนั้นอย่างหลงลืมตัว ทั้งคู่ดูดดื่มกันอย่างหื่นกระหาย ลิ้นหนาที่เกี่ยวตวัด กับลมหายใจที่ติดขัดของคนทั้งสอง ก่อนที่ทามไทจะดึงทึ้งเสื้อสูทตัวนอกของตนเองออกอย่างไว และตามมาด้วยปลดเปลื้องเสื้อสูทของอีกฝ่ายอย่างไวเช่นกัน พวกเขาไม่มีคำเอื้อนเอ่ยใดๆ นอกจากบทจูบอันวาบหวามที่ส่งผ่านให้กันและกัน ความคิดถึงบวกกับความถวิลหาพุ่งกระฉูดเป็น200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงก็ว่าได้ แต่แล้วบทจูบอันแสนหวานก็ต้องพังครืนลงไป เมื่อเสียงเคาะประตูที่ด้านหน้าดังขึ้น ก๊อกๆ “คุณเพทายคะ พินทุอรเองค่ะ” พวกเขารีบจัดระเบียบเสื้อผ้าอย่างลวกๆ ก่อนที่ทามไทจะเดินเข้าไปโซนด้านใน รีบก้มลงมาจุ๊บเพทายอย่างไว เมื่อจัดเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว จึงกดสวิตช์เปิดประตูให้พินทุอรเข้ามา “เข้ามาครับ” เพทายเอ่ยบอกและพยายามสะกดกลั้นอาการเมื่อครู่เอาไว้ พินทุอรแนะนำเด็กใหม่ไฟแรงให้เพทายได้รู้จัก ส่วนผู้บริหารเธอคงไม่ต้อง เพราะทุกอย่างล้วนแจ้งผ่านเลขาส่วนตัวเท่านั้น ไม่นานนักพินทุอร สาวสวยก็พาทุกคนกลับไปหลังจากที่ได้แนะนำทุกคนให้รู้จักกันแล้ว ตอนนี้ชายหนุ่มถึงกับใจตุ้มๆ ต่อมๆ ขึ้นมาอีกรอบเมื่อเสียงเรียกจากเครื่องอินเตอร์คอมดังขึ้น “เข้ามาหาฉันหน่อย” จากนั้นเขาก็วางสาย ก่อนจะเดินเข้าไปด้านในตามคำสั่ง …เช้าวันนี้แสงแดดอ่อนๆ ที่ลอดผ่านผ้าม่านสีทึบส่องเข้ามาในห้อง ทามไทขยับตัวเล็กน้อย แต่ก็ยังรู้สึกเหมือนร่างกายหนักอึ้งไปทั้งตัว เมื่อเคลื่อนไหวมากเกินไป ไข้ก็เริ่มกลับมาอีกครั้งเพทายที่นั่งอยู่ข้างๆ เตียง หันมองเห็นร่างสูงยังหลับอยู่ ก็ดีใจที่อาการไข้ไม่เพิ่มขึ้นมากนัก เขารีบเดินไปหาผ้าชุบน้ำอุ่นมาเช็ดตัวให้ทามไทอีกครั้ง โดยทำทุกอย่างอย่างแผ่วเบาที่สุด เพื่อไม่ให้รบกวนการพักผ่อนของอีกฝ่าย“ทาม… ตื่นได้แล้ว”เพทายเอ่ยเสียงเบาเมื่อเห็นว่าใครอีกคนตื่น พลางยกมือขึ้นเช็ดหน้าผากของทามไทอย่างอ่อนโยนทามไทขยับมือขึ้นมาปัดผ้าชุบน้ำอุ่นที่ทับอยู่บนหน้าผากอย่างช้าๆ ก่อนจะลืมตาขึ้นมามองเพทายที่ยืนอยู่ข้างเตียง“อืม… เช้าแล้วเหรอ?” เสียงของทามไทแหบพร่า แต่ในแววตากลับยังคงมีความอ่อนโยนซ่อนอยู่เพทายพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะพูดเสียงทุ้มนุ่ม “เช้าแล้ว ตื่นได้แล้วนะครับคนดี ไข้เริ่มลดลงนิดหน่อย แต่ก็ยังต้องเฝ้าระวังอยู่นะ”“เฝ้าระวัง!! นายพูดอย่างกับน้ำป่าไหลหลากอย่างงั้นแหละ”คนฟังเพียงแค่หัวเราะหึในลำคอทามไทพยายามลุกขึ้นแต่ก็เงียบชะงักไป เมื่อรู้สึกเจ็บปวดจากความเหนื่อยล้าจากการป่วย เพทายรีบคว้าตัวเขาไว
คนร่างสูงกว่า 190 เอาแต่นอนซมเพราะฤทธิ์ไข้ในห้อง ตอนนี้ทั้งคู่รอแค่เวลากลับคอนโด ไม่นานนักพนักงานทุกคนต่างทยอยพากันเลิกงานเพทายพยุงร่างคนตัวสูงเดินเข้าไปในลิฟต์ ก่อนจะมายังโซนจอดรถสำหรับผู้บริหาร ไอ้อยากขำมันก็อยาก ไอ้สงสารมันก็สงสาร ยิ่งตอนที่นั่งในรถ ร่างสูงก็เอาแต่บ่นให้อีกคนขับเบาๆ“ซี้ดดด … ทาย นายช่วยขับเบาๆ หน่อยได้มั้ย? ”“นี่ผมแทบจะคลานอยู่แล้วนะครับ” ขับช้ากว่านี้ก็คงต้องเต่าแล้วมั้ยไม่นานคนทั้งคู่ก็ต้องขับผ่านลูกระนาดในทางเข้าคอนโดอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้คนตัวสูงถึงกับเขย่งตูดขึ้นจากเบาะ ทำเอาเพทายถึงกับหัวเราะลั่น“ฮ่าๆ … โทษทีๆ ไม่ใช่ผมไม่สงสาร แต่ขอโทษที่อดขำกับท่าทางของนายไม่ได้”คนร่างสูงค่อยๆ หย่อนก้นลงนั่งเบาะอีกครั้ง แต่แล้วก็ต้องรีบลุกเขย่งขึ้นอีกรอบ มือหนาเอื้อมมาจับกันโคลงข้างๆ อีกครั้ง ก่อนจะค่อยๆ นั่งเมื่อขับผ่านลูกระนาดไป“นี่ผมแทบคลานแล้วนะครับ แล้วพรุ่งนี้นายจะตื่นไหวมั้ย? ให้ทำเรื่องลาไว้เลยรึเปล่า? ”‘ยัง ยังจะไม่ยอมหุบปากอีก’ !!เมื่อรถเคลื่อนเข้ามาจอดสนิทที่ลานจอดของคอนโด เพทายหันไปมองคนตัวโตที่ยังนั่งซมอยู่ที่เบาะข้างๆ สีหน้าอ่อนเพลียเต็มทน มือหนายังคงจั
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เป็นโหมดกลับเข้าทำงานปกติ อลิสเองก็เริ่มมาวอแวที่ทำงานของเพทายมากขึ้น เพราะหญิงสาวชอบมาทวงเรื่องงานหมั้น ทำเอาอีกคนถึงกับหัวเสียร่างสูงกว่า 190 ได้ยินเสียงเล็ดลอดของคนทั้งคู่คุยกันทามไทที่นั่งอยู่ในห้องประชุมตรงข้ามทางเดิน เงี่ยหูฟังเสียงแผ่วเบาที่เล็ดลอดออกมาจากห้องทำงานของเพทาย“อลิส… เราค่อยคุยกันได้มั้ย ตรงนี้มันไม่ใช่ที่ที่เราจะมาพูดเรื่องส่วนตัว” เสียงของเพทายฟังดูอ่อนแรง แต่ก็พยายามคุมโทนให้ดูสุขุม“ทำไมล่ะคะ? หรือพี่เพทายไม่อยากหมั้นกับอลิสแล้ว” เสียงหวานของหญิงสาวเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ “หรือพี่มีใครคนอื่นที่คิดว่าดีกว่าอลิส?”ทามไทได้ยินคำพูดนั้นเต็มสองหู เขากำมือแน่น จ้องมองแฟ้มงานตรงหน้าอย่างไม่ใส่ใจ ในหัวมีแต่ความคิดวกวนเกี่ยวกับสิ่งที่เพทายกำลังเจอ และโดยเฉพาะความสัมพันธ์ของอีกฝ่ายกับอลิส ที่เขาไม่รู้ว่ามันซับซ้อนแค่ไหน“อลิส หยุดพูดอะไรแบบนั้นเถอะ” เพทายถอนหายใจหนักหน่วง “พี่แค่… พี่ยังไม่พร้อม และมันไม่เกี่ยวกับใครทั้งนั้น”ทามไทเบ้ปากโดยไม่รู้ตัว พร้อมพึมพำกับตัวเองเบาๆ“ไม่พร้อม… เหอะ”ทันใดนั้น ประตูห้องทำงานของเพทายก็ถูกผลักออกมา พร้อมกับร่างบาง
วันนี้คนทั้งสี่ที่เดินทางกลับกรุงเทพพร้อมกัน โดยทามไทเป็นคนขับ และลลินดานั่งข้างๆ ซึ่งก็มีเพทายและอลิสนั่งเบาะหลัง ทุกครั้งที่ลลินดาเอื้อมมือไปจับขาคนขับ คนด้านหลังต่างแอบขบกรามอยู่บ่อยครั้งไม่ต่างจากคนขับเอง ที่หันมองกระจกหลังทีไร ก็เห็นว่าใครอีกคนมีหญิงสาวคอยนั่งซบอยู่ตลอดเวลาเอี๊ยดด …!! คนใจลอยถึงกับเผลอเบรกแทบหัวทิ่ม เมื่อคันหน้าก็เบรกอย่างกะทันหัน“นายให้ผมช่วยขับมั้ยทาม? ”คนตัวสูงหันมองกระจกหลัง ก่อนว่า“งั้นนายมาช่วยฉันขับ ให้ลลินไปนั่งข้างหลัง ฉันจะได้ช่วยนางดูทาง สาวๆ จะได้หลับกันสบายๆ ”ฟังเหมือนดูดี มีเหตุผลร่างสูงกว่า 187 หันมายิ้มให้กับความเจ้าเล่ห์ ก่อนที่ทั้งสี่จะเปลี่ยนย้ายตำแหน่ง หลังจากจอดแวะปั๊มบรรยากาศในรถเริ่มเปลี่ยนไปหลังจากย้ายตำแหน่งกันใหม่ ทามไทนั่งคู่กับเพทายที่เข้ามารับหน้าที่คนขับ ส่วนสองสาวก็ถูกย้ายไปนั่งเบาะหลัง ลลินดานั่งพิงข้างประตู พร้อมกับแอบมองกระจกหลังอยู่เป็นระยะ ในขณะที่อลิสพยายามจะข่มตาหลับ แต่กลับรู้สึกได้ถึงความอึดอัดแปลกๆ ที่แฝงอยู่ด้านในเพทายเอื้อมมือไปปรับกระจกมองหลังให้เห็นมุมกว้างขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบมองทามไทที่นั่งนิ่งข้างๆ ตัวเ
ทามไทจับเจ้าแท่งอุ่นร้อนไซซ์พิเศษขึ้นมา มันผงกหัวหงึกหงักขึ้นมาแผ่ขยายท่ามกลางร่องก้น“ฉันเงี่ยน นายช่วยถูก้นขึ้นลงเล่นกับมันหน่อยสิ”คนด้านหน้าก็ทำตามอย่างว่าง่าย มือหนาของทามไทก็ซุกซนค่อยๆ บีบไต่ลามไล้ไปทั่วร่าง แต่เขาเลือกที่จะละเว้นที่ตรงนั้นเอาไว้ เขาต้องการหลอกล่อให้ใครอีกคนเสียวซ่านจนขั้นสุด มือหนาคลึงสะโพกกลมผายอย่างบางเบา ก่อนจะเด้งส่ายเจ้าแท่งแข็งขึงบดขยี้เข้ากับก้นนิ่มนุ่มอื้มมม …. เขาพลิกกายของร่างบางให้หันหน้ามาหากันอย่างไว จากนั้นก็ยกขาทั้งสองข้างของชายหนุ่มขึ้น ปากอุ่นร้อนค่อยๆ ดูดเม้มเข้ากับซอกคอของอีกฝ่าย เขาเผลอดูดจนอีกคนเป็นรอยปื้นแดงขึ้นจ้ำๆ“ฉันอยากจะทำรอยไว้ทั่วร่างของนาย ทุกคนจะได้รู้ว่านายเป็นที่รักของฉัน นายเป็นของของฉัน” คนตัวสูงกว่า 190 เอ่ยอย่างคนเอาแต่ใจคนด้านบนบิดกายไปมาด้วยความเสียวซ่าน มือเผลอจิกทึ้งศีรษะของคนใต้ร่างเข้าอย่างแรง จากนั้นคนตัวโตก็ก้มลงงับกับเจ้าลูกเชอรี่สีแดงสด เขาตวัดลิ้นระรัวขบเม้มกับเม็ดเล็กๆ ตรงหน้าอกอย่างแรง เพทายเองถึงกับอ้าปากค้างส่งเสียงครางไม่หยุดอ้าาาห์ …“มันเสียวมากเลยทาม”ชายหนุ่มพูดข้างๆ ใบหูของคนตัวโต“นายช่วยยืนขึ้นหน่อ
บรรยากาศในร้านริมหาดนั้นเต็มไปด้วยเสียงเพลงของดนตรีสดที่ทำให้ความรู้สึกของทุกคนดูผ่อนคลาย แต่ภายในใจของทามไทและเพทายกลับมีสิ่งที่ซ่อนอยู่มากมาย ทั้งสองนั่งอยู่ตรงข้ามกัน ขณะที่อลิสและลลินดานั่งอยู่ข้างๆ บนโต๊ะไม้สีอ่อนที่ตั้งอยู่ใกล้กับริมทะเล เสียงคลื่นซัดสาดทำให้บรรยากาศดูสงบ แต่ในหัวของทั้งสองกลับเต็มไปด้วยความคิดทามไทมองไปที่เพทายที่นั่งห่างออกไปแค่ไม่กี่ก้าว เขาพยายามเก็บความรู้สึกที่ปั่นป่วนภายในใจเอาไว้ ไม่ให้ใครเห็น เขาสังเกตเห็นว่าเพทายพูดคุยกับอลิสได้อย่างเป็นกันเอง เสียงหัวเราะของทั้งสองเหมือนเสียงของคู่รักที่เพิ่งพบกันไม่นาน มันทำให้ทามไทรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่เขาก็รู้ดีว่าเพทายและอลิสไม่ได้มีความสัมพันธ์กันเกินกว่าคำว่าพี่น้อง แต่ทำไมลึกๆ เขากลับรู้สึกไม่สบายใจในขณะเดียวกัน เพทายที่นั่งอยู่ข้างๆ อลิสก็รู้สึกถึงสายตาของทามไทที่จ้องมาที่เขาอย่างไม่ค่อยพอใจ เขารู้สึกได้ถึงความตึงเครียดในอากาศ แต่มันกลับเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถแสดงออกได้ ทุกครั้งที่เขาหันไปมองทามไท ทามไทก็จะทำเพียงแค่ยิ้มให้ แม้ว่าในดวงตาจะมีแววแปลกๆ ที่ทำให้เพทายไม่แน่ใจว่าเขาคิดอะไรอลิสหันไปม