อาราเลียมีด้านมืดของมัน แต่ไม่มีด้านไหนที่ลึกและมืดเท่าซินดิเคท ภายใต้การนำที่ไร้ความปรานีของวิกเตอร์ พ่อของมาร์คัส ซินดิเคทเจริญรุ่งเรืองด้วยอำนาจและความกลัว วิกเตอร์มีรูปร่างสูงใหญ่และมีดวงตาที่คำนวณทุกอย่างไร้ความปรานี ปกครองผู้คนด้วยไม้แข็ง ใช้การข่มขู่และความรุนแรงทำให้พวกเขาภักดี ความทะเยอทะยานของวิกเตอร์ไม่มีขอบเขต เขาปรารถนาที่จะควบคุมสวนรัตติกาลด้วย
ในห้องประชุมขนาดใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ใต้มหานครอาราเลีย แสงไฟสลัวจากโคมระย้าห้อยต่ำ สะท้อนผิวโลหะของโต๊ะยาว ตัวห้องเต็มไปด้วยกลิ่นอายของอำนาจและความกลัวที่จับต้องได้ บนผนังมีแผนที่ของเมืองอาราเลียถูกปักหมุดไว้ หลายพื้นที่มีเครื่องหมายที่บ่งบอกถึงการยึดครองของซินดิเคท
วิกเตอร์ยืนตระหง่านตรงหัวโต๊ะ ดวงตาของเขาเป็นเหมือนเปลวไฟที่ไม่มีวันดับ ลุกโชนด้วยความทะเยอทะยานและความโหดเหี้ยม ใบหน้าที่นิ่งเฉยเหมือนถูกแกะสลักจากหินเย็นยะเยือก แต่กลับแฝงความอันตรายที่แผ่ซ่านออกมารอบตัว
ประตูห้องประชุมเปิดออก ชายคนหนึ่งถูกลูกน้องสองคนของวิกเตอร์ลากเข้ามา เขาคือหนึ่งในสมาชิกระดับกลางของซินดิเคท ซึ่งทำผิดพลาดเกี่ยวกับการจัดการธุรกิจมืดขององค์กร ใบหน้าของเขาซีดเผือดและเต็มไปด้วยเหงื่อ ก่อนจะถูกโยนลงกับพื้นตรงหน้าวิกเตอร์
“แกคิดว่าแกสามารถทำพลาดและเดินหนีจากมันได้งั้นหรือ?” วิกเตอร์กล่าว น้ำเสียงเรียบง่าย แต่คำพูดของเขาหนักแน่นเหมือนค้อนที่ทุบลงบนหิน “แกรู้ไหมว่าความพลาดของแกทำให้พวกเราเสียหายแค่ไหน?”
ชายคนนั้นพยายามคลานไปข้างหน้า พร้อมกับพูดด้วยเสียงสั่นเครือ “ได้โปรด...ผม...ผมจะชดใช้ ผมจะทำทุกอย่างเพื่อแก้ไขครับ!”
วิกเตอร์ยิ้ม รอยยิ้มนั้นไม่ได้มีความอบอุ่นเลยแม้แต่น้อย มันเป็นรอยยิ้มของผู้ล่า
“ชดใช้? คำว่าชดใช้สำหรับคนที่ยังมีคุณค่า แต่แก…?” เขาเอื้อมมือไปหยิบมีดสั้นที่วางอยู่บนโต๊ะ “แกไม่มีคุณค่าอีกแล้ว”
เขาส่งสัญญาณให้ลูกน้องลากชายคนนั้นไปยังมุมห้องที่เต็มไปด้วยเงามืด ชายคนนั้นกรีดร้องและอ้อนวอน แต่คนในห้องไม่มีแม้แต่จะขยับตัวหรือส่งเสียง ความเงียบเข้าครอบงำห้องประชุม ราวกับอากาศทั้งหมดถูกดูดหายไป
ไม่มีใครแม้แต่จะหายใจแรง ทุกลมหายใจถูกกลืนกินด้วยความหวาดกลัว ผู้ใต้บังคับบัญชาบางคนต้องกำหมัดแน่น จนเล็บจิกลงบนฝ่ามือเพื่อไม่ให้มือสั่น บางคนจ้องมองตรงไปข้างหน้า ราวกับว่าการสบตากับวิกเตอร์จะเป็นการลงนามในคำสั่งประหารชีวิตของตัวเอง
เสียงร้องครั้งสุดท้ายของชายที่ถูกลากเงียบหายไป ทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่าที่อัดแน่นด้วยความตึงเครียด ไม่มีใครในห้องกล้าแม้แต่จะแสดงความเห็นใจ ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่มีหัวใจ แต่เพราะพวกเขารู้ดีว่าความเห็นใจที่แสดงออกมาเพียงน้อยนิดนั้นสามารถนำภัยมาถึงตัวได้ แม้จะไม่มีความผิด แต่พวกเขาอาจถูกลากลงไปสู่ชะตากรรมเดียวกันโดยไม่มีข้อยกเว้น
วิกเตอร์เดินกลับไปยังหัวโต๊ะ จังหวะก้าวที่มั่นคงและเงียบเชียบของเขายิ่งทำให้บรรยากาศหนักอึ้งขึ้น ราวกับทุกก้าวของเขาเป็นการกระชากสายลมแห่งความหวังออกจากห้องนี้ ดวงตากวาดมองทุกคนในห้อง ใบหน้าที่เย็นชาของเขาเหมือนกับน้ำแข็งที่ไม่อาจหลอมละลายได้
“จงจำไว้ให้ดี” วิกเตอร์กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบเหมือนมีดเล่มคม “ที่นี่ไม่มีที่สำหรับความผิดพลาด ไม่มีข้ออ้าง และไม่มีความปรานี ทุกคนอยู่ที่นี่เพราะยังมีค่า ถ้าทำให้ตัวเองไร้ค่า พวกแกก็จะจบลงเหมือนมัน”
บรรยากาศในห้องกลับสู่ความเงียบงันอีกครั้ง ราวกับคำพูดของเขาเป็นโซ่ตรวนที่พันธนาการทุกคนไว้ ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะเคลื่อนไหว ทุกการกระทำต้องอยู่ในกรอบของความระมัดระวังสูงสุด
วิกเตอร์ยืนมองแผนที่ของอาราเลีย ดวงตาที่เหมือนเปลวไฟลุกโชนจับจ้องไปยังจุดเล็ก ๆ ที่เป็นที่ตั้งของสวนรัตติกาล เสียงรองเท้าของเขากระทบพื้นห้องดังก้องในความเงียบ สร้างความตึงเครียดที่ยากจะทนได้
“เป้าหมายต่อไปของเราชัดเจน” เขากล่าว น้ำเสียงเยือกเย็นราวกับมีดที่บาดลึกในจิตใจ “สวนรัตติกาล มันคือหัวใจของเมืองนี้ และข้าจะเอามันมาเป็นของข้า”
หนึ่งในผู้ใต้บังคับบัญชาที่นั่งอยู่ปลายโต๊ะค่อย ๆ ยกมือขึ้น เสียงของเขาสั่นเล็กน้อยขณะเอ่ย “แต่วิกเตอร์…สวนรัตติกาลไม่ใช่แค่สถานที่ มันถูกปกป้องด้วยอัศวินที่แข็งแกร่งที่สุดในอาราเลีย พวกเขาไม่ใช่แค่ผู้พิทักษ์ธรรมดา ๆ”
“และนายกำลังจะบอกว่าฉันควรกลัวคนพวกนั้นหรือ?” วิกเตอร์หันไปหาชายคนนั้น สายตาของเขาเหมือนคมมีดที่กรีดผ่านทุกคำพูด
“ไม่…ไม่ใช่แบบนั้นครับ” ชายคนนั้นรีบตอบ ดวงตาของเขาหลุบต่ำ “ผมแค่หมายถึง เราควรมีแผนการที่รอบคอบ หากเราเผชิญหน้ากับพวกเขาโดยตรง เราอาจ…”
“ล้มเหลว?” วิกเตอร์แทรกขึ้น คำพูดของเขาเหมือนกรงเล็บที่บีบอัดหัวใจของชายคนนั้น “ถ้าแกกลัวล้มเหลว ก็ควรออกจากห้องนี้เสีย และปล่อยให้คนที่มีความกล้าจริง ๆ เข้ามาทำงานแทน”
ความเงียบปกคลุมห้องอีกครั้ง ทุกคนก้มหน้า ไม่มีใครกล้าสบตา วิกเตอร์หันกลับมาหาแผนที่ น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนเป็นหนักแน่นและจริงจัง
“พวกมันมีอัศวิน...และราชินี” วิกเตอร์กล่าว พลางใช้นิ้วลากผ่านเส้นทางต่าง ๆ บนแผนที่ “แต่พวกมันก็เป็นเพียงมนุษย์ และมนุษย์ทุกคนนั้นมีจุดอ่อน พวกมันอาจแข็งแกร่งในสวน แต่ถ้าเราดึงพวกมันออกมา...ทิ้งราชินีไว้ลำพัง เราจะทำลายพวกมันได้”
“ท่านต้องการสร้างสถานการณ์ที่ดึงพวกอัศวินออกมาหรือครับ?” หนึ่งในลูกน้องที่มีท่าทีมั่นใจเอ่ยถาม
วิกเตอร์พยักหน้า ดวงตาเป็นประกายด้วยความทะเยอทะยาน “ใช่ เราจะสร้างปัญหาในที่ที่พวกมันไม่อาจเพิกเฉยได้ ก่อวินาศกรรมในเมือง กระจายความโกลาหลให้มากที่สุด แต่อย่าให้มันดูเหมือนเกี่ยวข้องกับเราโดยตรง เราจะล่อพวกมันออกมาเหมือนแมลงที่บินเข้ากองไฟ”
“แล้วถ้าราชินีส่งอัศวินแค่บางส่วนล่ะครับ?” ลูกน้องอีกคนหนึ่งถามด้วยน้ำเสียงเจือความลังเล
วิกเตอร์หันมามอง รอยยิ้มที่ไร้ความปรานีค่อย ๆ ปรากฏขึ้น “ถ้าพวกมันฉลาดพอที่จะระวังตัว เราก็ทำให้พวกมันไม่มีทางเลือก สร้างความเสียหายให้มากพอจนพวกมันต้องส่งทุกคนออกมา แม้กระทั่งตัวราชินีเองก็อาจถูกดึงออกจากสวนด้วย”
เขาหยุดชั่วครู่ ก่อนจะเดินเข้าใกล้แผนที่ ใช้มือแตะไปที่จุดศูนย์กลางของสวน “เมื่อไม่มีอัศวินเหลืออยู่ในสวน และราชินีหมดแรงจากการต่อสู้ เราจะเข้าควบคุมต้นโอ๊ก พลังของมันจะกลายเป็นของเรา และอาราเลียจะสยบแทบเท้าเรา“
น้ำเสียงของเขาเหมือนคำพิพากษา ทุกคนในห้องรู้ดีว่าไม่มีใครหยุดวิกเตอร์ได้เมื่อเขาเริ่มเคลื่อนไหว ทุกคนต่างรีบพยักหน้าและเริ่มจดจำคำสั่ง ไม่กล้าแม้แต่จะตั้งคำถามอีกต่อไป
วิกเตอร์ยืนตรง จ้องมองสมาชิกในห้องด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิงแห่งความมุ่งมั่นและความโหดเหี้ยม “ไม่มีที่สำหรับความผิดพลาดอีกต่อไป ครั้งนี้เราจะได้สิ่งที่เราต้องการ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยเลือดหรือชีวิตของใครก็ตาม”
ในช่วงเวลาเดียวกันที่มาร์คัสเริ่มวางยาพิษวิกเตอร์ การเคลื่อนไหวในเงามืดก็เริ่มต้นขึ้น เขาปล่อยข่าวลือเกี่ยวกับสวนรัตติกาลและซินดิเคทผ่านสายลับที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มอัศวิน โดยเป้าหมายคือสร้างสถานการณ์ให้ทั้งสองฝ่ายปะทะกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้มาร์คัสนั่งอยู่ในห้องประชุมลับ ไฟในห้องถูกปรับให้มืดลงสร้างบรรยากาศที่กดดัน ลูกน้องของเขารายล้อมโต๊ะยาวสีเข้ม ดวงตาทุกคู่จับจ้องมาร์คัสที่กำลังอธิบายแผนการ“ฉันปล่อยข่าวลือออกไปแล้ว” มาร์คัสเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ขณะที่เลื่อนสายตาไปมองลูกน้องทีละคน “อัศวินแห่งสวนจะได้ยินว่าซินดิเคทกำลังเตรียมการโจมตีสวน ส่วนไอเดน...เจ้าหนูผู้ทะเยอทะยานนั่น มันจะถูกล่อให้ไปที่โกดังร้างนอกเมืองด้วยคำบอกเล่าลวงๆ เกี่ยวกับเบาะแสของสวน”“แต่ถ้าท่านไอเดนเอาชนะสถานการณ์นี้ได้ล่ะครับ เขาอาจพลิกกลับมาเป็นผู้ชนะ” หนึ่งในลูกน้องยกมืออย่างระมัดระวังมาร์คัสหัวเราะในลำคอ “ไม่มีใครรอดกลับมาได้ ไม่ว่าอัศวินหรือไอเดน ฉันมีคนเตรียมพร้อมที่
แสงไฟริบหรี่สะท้อนภาพเงาบิดเบี้ยวของมาร์คัสบนกำแพงห้อง เหมือนปีศาจที่คอยล่าเหยื่อ ความเงียบในห้องมีเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบาของวิกเตอร์ที่แทบจะสิ้นแรง มาร์คัสเดินเข้าไปอย่างเงียบเชียบ ดวงตาเยือกเย็นแต่เปล่งประกายด้วยความกระหายอำนาจเขาหยุดยืนข้างเตียง มองวิกเตอร์อย่างเย้ยหยัน ก่อนจะเริ่มพูดเสียงแผ่ว “ท่าน...ท่านไม่เคยคิดเลยสินะ ว่าวันนี้จะมาถึง วันที่ข้าคือคนที่อยู่เหนือกว่า วันที่ข้าคือคนที่ควบคุมทุกอย่าง”ดวงตาที่อ่อนแรงของวิกเตอร์พยายามลืมขึ้นมาสบตากับลูกชาย ความตกใจและความโกรธเกรี้ยวฉายชัด “มาร์คัส...หมายความว่าอย่างไร?”มาร์คัสหัวเราะเบา ๆ แต่เสียงนั้นเยียบเย็นพอที่จะทำให้เลือดของใครก็ตามที่ได้ยินแข็งตัว เขาทิ้งตัวลงนั่งข้างเตียง ก่อนจะโน้มตัวลงมากระซิบที่หูของวิกเตอร์ “พ่ออยากรู้ไหมว่าทำไมถึงอ่อนแอลงทุกวัน? มันไม่ใช่ชะตากรรม มันไม่ใช่โรคภัย...มันคือฝีมือผมเอง ผมแค่วางยาพิษในอาหารทุกมื้อของพ่อ ทุกสิ่งที่พ่อดื่มเข้าไปล้วนแต่เป็นสิ่งที่ผมเลือกเฟ้นอย่างดีให้มันกัดกร่อนร่างกายพ
มาร์คัสนั่งอยู่ในมุมหนึ่งของห้องโถงมืดสลัว ความเงียบงันในห้องตัดกับเสียงหัวเราะเบา ๆ ที่ลอยมา ดวงตาของมาร์คัสเปล่งประกายด้วยความอาฆาต ขณะจ้องมองไปยังไอเดนและเคียแรน รอยยิ้มที่เปื้อนหน้าไอเดนเป็นเหมือนเปลวไฟที่โหมกระพือความโกรธในใจให้ลุกโชน“แกมันชอบทำตัวเหมือนเป็นเจ้าชายในนิทาน... แกก็แค่หมากตัวหนึ่งในกระดานของพ่อ ไม่รู้ว่าทำไมคนพวกนั้นถึงหลงแก แต่ฉันจะทำให้มันจบลงเอง” มาร์คัสคิดขณะมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นเยียบเสียงคำพูดของไอเดนเกี่ยวกับ “สวน” และ “อัศวิน” ลอยเข้ามาในหู แม้มาร์คัสจะไม่ได้ยินชัดเจนทุกคำ แต่ความหมายก็กระตุ้นความสนใจขึ้นทันที ราวกับว่าคำเหล่านั้นเป็นกุญแจไขปริศนาที่เขาเฝ้าตามหา“สวน...อัศวิน...” มาร์คัสพึมพำกับตัวเอง เสียงของเขาเบาราวกับกระซิบ ขณะครุ่นคิดถึงตำนานและพลังลึกลับที่ถูกกล่าวขานเกี่ยวกับสวนรัตติกาลเขาหรี่ตาเล็กน้อย แล้วฉีกยิ้มเย็นเยียบ รอยยิ้มนั้นเย็นชาจนสามารถทำให้อากาศในห้องเย็นลง “ฉันจะใช้มันทำลา
ค่ำคืนอันเงียบสงัด แสงจันทร์ลอดผ่านม่านโปร่งผืนบางที่หน้าต่างห้องของไอเดน แสงสีนวลนั้นทาบเงาจาง ๆ บนผนัง ความเงียบดูเหมือนจะกดทับทุกสิ่ง ราวกับเวลาในโลกภายนอกหยุดนิ่ง บรรยากาศชวนให้อึดอัดและเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้เสียงลมพัดเบา ๆ กลายเป็นดนตรีพื้นหลัง ขณะที่ไอเดนนอนอยู่บนเตียง เขาหลับตา แต่จิตใจกลับวิ่งพล่าน ภาพจากบทสนทนาที่ได้ยินก่อนหน้านี้ยังคงดังก้องในหัว“ราชินี...เจ้าชาย...สวนรัตติกาล...”เสียงเหล่านี้เหมือนกระแสคลื่นที่ซัดเข้ามาเป็นระลอก ๆ กระตุ้นบางสิ่งที่ซ่อนลึกอยู่ในใจในฝัน ไอเดนพบว่าตัวเองยืนอยู่ในสวนที่งดงามเกินจริง ทุกอย่างดูเรืองรองภายใต้แสงจันทร์ ดอกไม้หลากสีเปล่งแสงนุ่มนวล ราวกับมีชีวิต อากาศอวลด้วยกลิ่นหอมละมุนของมวลบุปผา แต่มันกลับให้ความรู้สึกหนาวเย็นเหมือนฤดูใบไม้ร่วงที่เงียบเหงาเขาก้าวเท้าเดินไปอย่างลังเล เสียงกระซิบจากดอกไม้รอบตัวดังก้องเหมือนเพลงกล่อมเด็กที่ไม่จบสิ้น หญิงสาวในชุดสีขาวปรากฏตัวขึ้นท่ามกลาง
ในคืนที่เงียบสงัด กลางฤดูใบไม้ร่วงอันเยือกเย็น แสงจันทร์สีเงินส่องผ่านหน้าต่างกระจกสีที่เรียงรายอยู่ตามทางเดินของคฤหาสน์ซินดิเคท สะท้อนแสงเป็นเงารูปทรงแปลกตาบนพื้นหินอ่อน ความเงียบไม่ได้ให้ความรู้สึกสงบ แต่กลับแฝงไปด้วยความอึดอัดกลิ่นไม้เก่าผสมกับกลิ่นเทียนที่กำลังมอดไหม้ในโคมระย้าด้านบนกระจายตัวในอากาศ เสียงหวีดหวิวของลมหนาวพัดลอดเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้ เพิ่มความเย็นเยียบที่สัมผัสผิวไอเดนอย่างแผ่วเบา ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นกำลังลูบไล้ ไอเดนเดินเท้าเปล่าอย่างระมัดระวัง เสียงฝีเท้าของเขาแทบไม่ดังไปกว่าเสียงเข็มนาฬิกาในความเงียบก่อนจะออกมาเดินในเวลานี้ ไอเดนไม่สามารถหลับลงได้ แม้จะอยู่ในห้องส่วนตัวที่เงียบสงบแต่ความคิดในหัวของเขายังคงตีกันวุ่นวาย ความทรงจำราง ๆ ที่แฝงความเจ็บปวดทำให้เขาต้องหาที่หลบหนี ความมืดรอบตัวไม่ได้ช่วยให้เขารู้สึกปลอดภัย และจะมีสิ่งหนึ่งที่เขามักทำยามค่ำคืนที่เขาไม่อาจข่มตานอนได้คือ การวาดรูปโต๊ะในห้องของไอเดนเต็มไปด้วยแผ่นกระดาษขาวสะอาด บางแผ่นมีลายเส้นสีสดใสของดอกไม้ที่แบ่
ในช่วงวัยรุ่น ไอเดนเริ่มแสดงศักยภาพที่โดดเด่นออกมา แม้จะเติบโตในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายของซินดิเคท แต่เขากลับแสดงคุณสมบัติของผู้นำที่น่าประทับใจ ไม่ว่าจะเป็นความสง่างามตามธรรมชาติ ความฉลาดเฉลียว หรือความสามารถในการสื่อสารที่ดึงดูดผู้คนวันหนึ่ง ในการประชุมของกลุ่มซินดิเคทระดับกลางที่เกี่ยวกับการจัดสรรทรัพยากร มีข้อพิพาทรุนแรงเกิดขึ้นระหว่างสองฝ่าย ผู้แทนของแต่ละกลุ่มโต้เถียงกันอย่างดุเดือด เสียงดังจนบรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด สมาชิกในที่ประชุมหลายคนได้แต่นั่งเงียบ ไม่มีใครกล้าออกปากห้าม เพราะกลัวจะถูกดึงเข้าไปในความขัดแย้งนี้ไอเดน ซึ่งนั่งอยู่ในที่ประชุมเฝ้าสังเกตด้วยความนิ่งสงบ ก่อนจะลุกขึ้นยืน ดวงตาสีเข้มของเขาฉายแววสง่างาม ทันทีที่เขาก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางของความสนใจ ทุกคนในห้องก็เงียบลง“พวกคุณเคยคิดหรือไม่ว่า การทะเลาะกันแบบนี้ไม่ใช่แค่ทำลายความสามัคคีในองค์กร แต่ยังทำให้โอกาสในการจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดสูญเสียไป?” ไอเดนเริ่มพูด น้ำเสียงมั่นคงแต่ไม่แข็งกร้าว