ในขณะเดียวกัน
ยุคปัจจุบัน ร่างไร้วิญญาณของโฉมงามล่มแคว้น ถูกเชือกมัดรอบกลางลำตัวติดกับหินขนาดใหญ่เพื่อใช้ถ่วงน้ำหนัก วางทับไว้บนร่างโดยมีบุรุษชุดดำอุ้มส่วนหัวและปลายเท้า เหวี่ยงไปมาติดๆ กันอยู่เพียงครู่ก่อนจะโยนลงไปในแม่น้ำทันที ตูม!!! ร่างนั้นจมดิ่งลงสู่ก้นแม่น้ำอันหนาวเย็นอย่างรวดเร็ว พร้อมเสียงเพรียกหาของจางเจี๋ยอี้เจ้าของร่างไร้วิญญาณดังกล่าวดังอยู่ใต้ก้นแม่น้ำนั้น “อันอัน! อันอัน!” เสียงเพรียกหาน้องสาวฝาแฝดออกมาจากดวงวิญญาณของจางเจี๋ยอี้ ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ “อันอัน! ตื่นได้แล้ว!” เสียงเรียกปลุกให้ตื่นจากภวังค์แห่งการหลับใหล เฮือกกก!!! จางเพ่ยอันสะดุ้งจนสุดตัว ดวงตาเปิดขึ้นพร้อมกะพริบตาปริบๆ มองไปรอบบริเวณ และพบว่าเธอกำลังนั่งอยู่บนรถตู้ของศูนย์วิจัย และรถจอดนิ่งสนิทอยู่บนสะพานข้ามแม่น้ำหวงโหวเพื่อเดินทางกลับเข้านครซีอาน หลังจากออกสำรวจสุสานแห่งใหม่จนเสร็จสิ้นภารกิจ “ที่แท้ฉันก็ฝันไป! แต่ทำไมครั้งนี้ถึงได้ฝันเห็นอดีตชาติของตัวเอง ชาติที่แล้วเรามีฝาแฝดด้วยอย่างนั้นเหรอ แต่ทำไมพี่สาวของฉันถึงได้ตายอย่างน่าเวทนาเช่นนั้น ทำไมต้องถูกฆ่า! แล้วทำไมถึงเพิ่งมาเห็นเหตุการณ์ในอดีตเอาตอนนี้แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยที่จะเห็นเหตุการณ์ในอดีตหรือในอนาคตของตัวเราแม้แต่ครั้งเดียว แปลกจริงๆ เลย” หญิงสาวนั่งรำพึงอยู่ภายในใจก่อนจะได้ยินเสียงหัวหน้าทีมร้องเรียกเธอขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมเปิดประตูรถตู้ “อันอัน! ออกไปข้างนอกตัวรถกันก่อนเถอะ จู่ๆ รถเป็นอะไรก็ไม่รู้ดับขึ้นมาเฉยๆ ซะงั้น ต้องถึงเวลาขอใช้งบประมาณใหม่จัดหาซื้อรถเอาไว้ออกนอกพื้นที่เพิ่มแล้ว ดูสิจอดเสียกลางสะพานอยู่แบบนี้จะได้ถึงบ้านกันเมื่อไรก็ไม่รู้พวกเรา” หัวหน้าทีมวิจัยซึ่งเป็นสาวใหญ่บ่นกระปอดกระแปด พลางก้าวลงจากรถตู้ จางเพ่ยอันได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆ กลับไปด้วยเพราะยังงุนงงกับความฝันที่เห็นอดีตชาติของตัวเองอยู่ในขณะนั้น เธอก้าวลงจากรถตามเพื่อนร่วมงานไปติดๆ พร้อมเสียงของหัวหน้าวิจัยเอ่ยขึ้น “จริงสิอันอัน... เดี๋ยวโบราณวัตถุที่ได้มาจากสุสานใหม่ ฉันมอบให้เธอรับผิดชอบทั้งหมดเลยนะ รักษาให้ดีๆ นี่เป็นวัตถุโบราณลอตแรกที่เพิ่งได้จากสุสานที่เพิ่งขุดพบ” คำกล่าวของหัวหน้าทีมวิจัยทำให้คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันครั้นได้ยินเช่นนั้น “ไม่ใช่นะคะหัวหน้า วัตถุโบราณที่นำกลับมาด้วยในครั้งนี้เป็นล็อตที่สองค่ะ ลอตแรกเป็นปิ่นหยกที่ขุดพบในสุสานแห่งใหม่ หัวหน้ามอบให้อันอันตรวจสอบและประเมินอายุจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะออกนอกพื้นที่ก็ส่งงานให้หัวหน้า แต่เมื่อสามวันก่อนกลับนำมาให้หนูเก็บไว้บอกว่าลืมเอาไว้บนรถ ละ... แล้ว... ตอนนี้ปิ่นโบราณอันนั้นก็… หะ… หาย” หญิงสาวยังไม่ทันพูดจบ หัวหน้าทีมวิจัยเอ่ยสวนกลับมาทันที “นี่เธอเป็นอะไรไปอันอัน ทำงานอดหลับอดนอนมากเกินไปหรือเปล่า หรือวัตถุโบราณมีมาให้ตรวจสอบมากเกินไปจนจำอะไรสับสน ปิ่นโบราณที่ไหนกัน ไม่มีบันทึกรายการวัตถุโบราณที่ขุดพบในสุสานแห่งใหม่นี้เลยนะ และไม่เคยได้รับวัตถุโบราณจากสุสานที่เพิ่งขุดพบมาก่อนหน้านี้ด้วย แปลกจริงๆ เลยเด็กคนนี้… นอนซะบ้างนะเรา” หัวหน้าทีมวิจัยกล่าวพร้อมส่ายหน้าไปมาพลางยกมือตบลงบนบ่าของหญิงสาวเบาๆ เป็นการให้กำลังใจ ในขณะที่จางเพ่ยอันถึงกับยืนนิ่งงันไปทันทีครั้นได้ยินคำกล่าวของหัวหน้างานเอ่ยออกมาเช่นนั้น “เกิดอะไรขึ้นกับฉัน! ทำไมปิ่นหยกของท่านแม่ทัพที่จู่ๆ ก็หายไปพร้อมกับเจ้าของ ราวกับว่าไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน แล้วทำไมฉันถึงได้รู้และเห็นคนเดียว” หญิงสาวยกนิ้วขึ้นกัดเล็บตัวเองพลางครุ่นคิดทบทวนไปมา ก่อนจะหยุดโดยพลันพร้อมดวงตาเบิกกว้างขึ้นมาทันที “หรือเหตุการณ์ที่ฉันเห็นคือภาพในอนาคตของท่านแม่ทัพ ไม่ใช่ภาพอดีตอย่างนั้นเหรอ” หญิงสาวกล่าวพึมพำแต่แล้วใบหน้าสวยใสน่ารักกลับต้องฉงนขึ้นมาอีกครา “แต่เขาเป็นคนในยุคอดีตภาพที่ฉันเห็นจะต้องเป็นเหตุการณ์ในอดีตของเขาไม่ใช่เหตุการณ์ในอนาคตถึงจะถูกสิ มีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นกับตัวเราหรือเปล่าหว่า” หญิงสาวยืนพึมพำพร้อมใช้ความคิดอย่างหนัก “เหตุการณ์ที่เจ้าเห็นในอดีตยังไม่เกิดขึ้น มันคือเหตุการณ์เบื้องหน้าที่จะเกิดขึ้นกับคนผู้นั้นอันอัน” เสียงหวานของสตรีกระซิบแผ่วชิดริมหูของหญิงสาว และเสียงกระซิบดังกล่าวจางเพ่ยอันได้ยินอย่างชัดเจน เธอค่อยๆ หันใบหน้ากลับไปมองยังทิศทางที่ได้ยินเสียงกระซิบนั้น ก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตื่นตระหนก เมื่อร่างเลือนรางของผู้หญิงสวมชุดโบราณสีดำสลับแดง บ่งบอกว่าเป็นสตรีชั้นสูงสังเกตได้จากอาภรณ์ที่สวมใส่และเครื่องประดับที่อยู่บนเรือนกาย ดวงวิญญาณของจางเจี๋ยอี้ ค่อยๆ ปรากฏออกมาให้น้องสาวฝาแฝดได้เห็น ทั่วร่างเปียกชุ่มเพราะศพถูกถ่วงน้ำ และจิตสุดท้ายเฝ้าคิดถึงน้องสาวฝาแฝดจนสูญสิ้นลมหายใจ จึงทำให้ดวงวิญญาณกลับมาปรากฏต่อหน้าน้องสาวของนางในชาติที่แล้วทันทีที่ชีพดับสูญ “อันอัน! น้องพี่” จางเจี๋ยอี้เอ่ยออกมาทันทีที่พานพบน้องสาวฝาแฝดที่กลับชาติมาเกิดใหม่ในยุคปัจจุบันนี้แล้ว แม้ว่ารูปโฉมจะเปลี่ยนไปหากแต่ดวงจิตยังคงเป็นดวงเดิม “เจี๋ยเจี๋ย!” หญิงสาวเรียกชื่อเล่นพี่สาวฝาแฝดเมื่อชาติที่แล้วออกมาทันที หยาดน้ำตาเอ่อล่นคลอเบ้าเมื่อสภาพดวงวิญญาณของพี่สาวฝาแฝดช่างน่าเวทนายิ่งนัก ดวงจิตในอดีตชาติของเธอซึ่งเป็นลูกสาวฝาแฝดของอัครเสนาบดีจางฟงและฮูหยินเจียงกลับมาทันที และเป็นที่น่าประหลาดยิ่งนัก เมื่อชื่อและแซ่ของเธอในชาติปัจจุบันเหมือนกับ จางเพ่ยอัน ในอดีตชาติของเธออย่างไม่คาดฝัน “ในที่สุดเราสองพี่น้องก็ได้พบกันเสียที” พี่สาวฝาแฝดจากยุคอดีตกล่าวพร้อมยื่นมือรอรับน้องสาวของนาง ใบหน้าซึ่งเต็มไปด้วยรอยยิ้มพยักหน้าขึ้นลงติดๆ กัน ชาตินี้หญิงสาวเป็นเด็กกำพร้าเติบโตโดยไร้ญาติขาดมิตรแต่ชาติที่แล้วเธอมีทั้งพ่อและแม่คอยเลี้ยงดูและยังมีพี่สาวฝาแฝดอีกด้วย ความอบอุ่นที่เฝ้าโหยหามาตลอด ทำให้จางเพ่ยอันมิเสียเวลาขบคิดแม้แต่น้อย หญิงสาวยื่นมือสัมผัสกับพี่สาวฝาแฝดในยุคอดีตก่อนจะเดินตามหลังมาติดๆ พร้อมดวงจิตของจางเพ่ยอันหลุดลอยออกจากร่างทั้งๆ ที่กำลังยืนพิงราวสะพานขณะที่ใช้ความคิดอยู่ในขณะนั้น ร่างระหงยืนโงนเงนไปมาก่อนจะทรุดฮวบลงกับพื้นคาราวสะพานทันที “ว้ายยยย!!! อันอัน! อันอัน!” เสียงของเพื่อนร่วมงานหวีดร้องดังก้องระงมด้วยความตกใจสุดขีดยุคอดีตตำหนักจินไท่ทั่วบริเวณในเวลานี้เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกเหมยฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ แจกันดินเผาขนาดใหญ่วาดลวดลายเป็นลายเมฆและนกยูงสลับไปมา เพิ่มความสวยงามได้อย่างลงตัวและแจกันดังกล่าวเต็มไปด้วยกิ่งดอกเหมยปักลงบนแจกันวางตั้งไว้บนโต๊ะข้างแท่นพระบรรทมเพื่อให้คนงามได้สูดกลิ่นหอมดังกล่าวร่างอรชรของจางเพ่ยอันบัดนี้นอนสงบนิ่งอยู่บนแท่นพระบรรทม และเธอหลับใหลอยู่เช่นนี้มานานนับเดือนแล้ว โดยมีสายตาของพระสวามีผู้หล่อเหลาจับจ้องอยู่กับดวงหน้างามของพระชายาอยู่ตลอดเวลา พระองค์จะเพียรเข้าคอยมาดูแลพระชายาเพียงหนึ่งเดียวทันทีที่เสร็จภารกิจจากการออกว่าราชการในท้องพระโรงเหตุการณ์ในวันที่รัชทายาทหลี่จิ้งบุกโจมตีพระราชวังหลวงของต้าฉินอย่างอุกอาจ และจบลงคือเซ่นสังเวยพระชนม์ชีพของพระองค์ให้กับแม่ทัพปีศาจพร้อมชีวิตทหารต้าหลู่ไปอีกนับไม่ถ้วน ต่างพากันสิ้นชีพวิบัติโรยรากลายเป็นหินไปชั่วพริบตาเหตุการณ์ในวันนั้นเล่าลือไปอย่างกว้างขวางจนล่วงรู้ไปทั่วทุกแคว้นแดนดิน และต่างพากันขยาดแม่ทัพปีศาจกันอย่างถ้วนหน้า จนมีคำกล่าวติดปากออกมา
ในขณะเดียวกันบริเวณลานกว้างหน้าท้องพระโรงกองทหารของแคว้นต้าหลู่และกองทหารจากต้าฉิน ต่างวิ่งเข้าโจมตีปะทะกันอย่างดุเดือด ทั่วทั้งพระราชวังหลวงเต็มไปด้วยเปลวเพลิงและกลุ่มควันขาวพร้อมเสียงกรีดร้องของเหล่านางกำนัลและเชื้อพระวงศ์ บรรดาขุนนางที่อยู่ในท้องพระโรงต่างแตกฮือแยกย้ายกันหนีตายจนจ้าละหวั่น เมื่อทหารต้าหลู่บุกเข้ามาถึงในท้องพระโรงและปะทะกับจางฟงอัครเสนาบดีที่เคยเป็นขุนศึกในวัยหนุ่มแม้จะมีอายุมากถึงหกสิบปีแล้วก็ตาม แต่จางฟงมีวิทยายุทธ์ในระดับสูงจึงเป็นฝ่ายใช้อาวุธออกปกป้องเหล่าขุนนางเอาไว้ ก่อนจะวิ่งตามไปสมทบกับกองทหารของตนและกองทหารขององค์ชายปีศาจที่ยกตามมาช่วยอย่างทันท่วงที ทั่ววังหลวงเต็มไปด้วยซากศพมากมายมิรู้ใครเป็นใครท่ามกลางความวุ่นวายองค์ชายปีศาจอิ๋งหยางและองค์ชายหลี่จิ้ง รัชทายาทจากต้าหลู่กำลังปะทะฝีมือกันอย่างดุเดือด ทั้งสองยืนจ้องหน้ากันในขณะที่องค์ชายหลี่จิ้งถือทวนยาวและองค์ชายอิ๋งหยางใช้ดาบง้าวอาวุธประจำพระวรกายไล่ฟาดฟันองค์ชายผู้นี้อย่างบ้าคลั่ง“เจ้าเอาอันอันของข้าไปไว้ไหน! เอาคนของข้าคืนมา!!
ทันทีที่พระพักตร์หล่อเหลาขององค์ชายปีศาจเงยขึ้นทอดพระเนตร ทหารของต้าหลู่ที่กำลังมองมาที่พระองค์เป็นจุดเดียวค่อยๆ แปรเปลี่ยนไปทันที เมื่อร่างค่อยๆ กลายเป็นหินลามเลียตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าและแผ่ขยายออกเป็นวงกว้างเพียงชั่วเวลาไม่กี่อึดใจ ติดตามด้วยเสียงของเหล่าทหารดังแทรกขึ้นมา“แม่ทัพปีศาจ!!!” เสียงเรียกขานดังออกมาได้เพียงแค่นั้นก็ต้องเงียบงันลงไปโดยพลันเมื่อทุกอย่างกลับหยุดการเคลื่อนไหวทั้งสิ้น ลมหายใจของเหล่าทหารต้าหลู่หลุดลอยไปทันใดนับหนึ่งพันนายที่แออัดอยู่ภายในท้องพระโรงท่ามกลางสายพระเนตรขององค์ชายหลี่จิ้ง ครั้นได้ทอดพระเนตรเหตุการณ์ที่มีผู้คนกล่าวขานเลื่องลือมานานแสนนาน และตอนนี้กำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงพระพักตร์ในขณะนี้“เป็นความจริงหรือนี่! คนผู้นี้คือแม่ทัพปีศาจอิ๋งหยางอย่างนั้นหรอกรึ!” องค์ชายหลี่จิ้งรับสั่งได้เพียงเท่านั้นองค์ชายปีศาจหันกลับไปทอดพระเนตรรัชทายาทผู้นั้นทันที โดยที่อีกฝ่ายมิทันได้ตั้งตัวเพียงแค่เห็นใบหน้าก็สิ้นชีพไปโดยมิรู้ตัว พระเศียรค่อยๆ กลายเป็นหินลามเลียไปทั่วพระวรกายก่อนจะกลืนกินจนกระทั่งยืนแข็ง
ทันทีที่พระหัตถ์ของรัชทายาทรูปงามสัมผัสกับแก้มนวลเนียนของหญิงสาว ภาพเหตุการณ์ในอนาคตบังเกิดขึ้นมาให้เธอได้เห็นทันทีท่ามกลางกองทหารของทั้งสองฝ่ายกำลังสู้รบกันอย่างดุเดือด ร่างของจางฟงท่านพ่อและจางฮั่นพี่ชายคนโตกำลังใช้ดาบสู้รบกับทหารของต้าหลู่ ในขณะที่พระสวามีปีศาจของเธอกำลังบุกเข้าโจมตีไล่ฟาดฟันองค์ชายหลี่จิ้งจนถอยไม่เป็นท่า“อันอันของข้าอยู่ไหน! ไอ้คนถ่อย! ลักพาตัวชายาของข้าไปไว้ที่ใด!!!” รับสั่งพร้อมบุกไล่ฆ่ากองทหารมากมายที่เข้ามาปกป้ององค์ชายของตน จนล้มตายกองสุมมิรู้กี่ร้อยชีวิตองค์ชายหลี่จิ้งวิ่งหนีการไล่ล่าอย่างบ้าคลั่งของแม่ทัพปีศาจจนวิ่งเข้าไปอยู่ในท้องพระโรง “คนผู้นี้มันบ้าไปแล้ว! ช่างบ้าคลั่งราวปีศาจร้ายยิ่งนัก” รับสั่งพร้อมพยายามหาอาวุธที่สามารถทุ่นแรงของพระองค์ได้ดีกว่าดาบ ก่อนจะไปสะดุดกับคันธนูและลูกธนูรวมไปถึงอาวุธอื่นๆ ที่มีเกลื่อนกลาดท่ามกลางร่างไร้วิญญาณของทหารทั้งสองฝ่ายและขุนนางบางคนที่หนีตายไม่ทันคันธนูถูกหยิบขึ้นจากพื้นพร้อมลูกธนูสามดอก พระหัตถ์ล้วงเข้าไปในอกเสื้อฉลองพระองค์ก่อนจะดึงขวดยาใบน้อยออกมาพร้อมรีบดึงจุกออกเทผงสีขาวลงบนลูกธนูทั้งสามดอกพรึบ! ภาพเหตุการ
บริเวณคุกใต้ดิน ดวงเนตรสีนิลดำใหญ่ทอดสายตามองร่างไร้วิญญาณขององค์ชายอิ๋งเฟิ่ง เจ้าของพระตำหนักหรดีในสภาพศพลิ้นจุกปาก ดวงตาถลนแทบจะทะลักออกมานอกเบ้า รอบลำคอถูกรัดอย่างรุนแรงจนเห็นเป็นรอยโซ่ และสิ่งที่ใช้สังหารองค์ชายโฉดผู้นี้ก็ตกอยู่ใกล้ๆ พระศพนั่นเอง พระพักตร์หล่อเหลาขององค์ชายหลี่จิ้ง ค่อยๆ เงยขึ้นจากพระศพขององค์ชายโฉดพร้อมสำรวจไปทั่วบริเวณคุกใต้ดินไปโดยรอบก่อนจะพบว่า กองทหารของพระองค์ที่คอยรักษาเวรยามตั้งแต่ปากทางเข้าแม่น้ำทางชายป่ารกร้าง จนถึงคุกใต้ดิน มีเพียงทหารยามที่คอยดูแลบริเวณคุกเท่านั้นจบชีวิตทั้งหมด สภาพศพร่างแหลกเหลวและมีรอยโซ่ทิ้งร่องรอยเอาไว้บนศพเหล่านั้น “พวกเจ้าที่เหลือรอดชีวิตล่วงรู้หรือไม่ว่าผู้ใดเข้ามาสังหารผู้คนภายในนี้รวมไปถึงเจ้าของตำหนักนี้ด้วย!” รับสั่งถามกองทหารที่รอดชีวิต “กระหม่อมได้ยินว่าคนผู้นั้นเป็นพี่ชายของเด็กหนุ่มหน้าหวาน ซึ่งถูกจับตัวมาจากตำหนักบูรพาพร้อมกันพ่ะย่ะค่ะ แต่องค์ชายอิ๋งเฟิ่งทรงแยกขังเจ้าคนพี่ไว้ที่คุกใต้ดิน ส่วนคนน้องนำไปขังในตำหนักหรดีเพื่อนำไปมอบให้พระองค์ที่จวนสกุลไป๋ต่อไปพ่ะย่ะค่ะ” ทหารที่รอดชีวิตกราบทูลรายงานอย่างละเอียดเท่าที่ล่ว
พระตำหนักหรดีภายในคุกใต้ดินพระตำหนักหรดีขององค์ชายอิ๋งเฟิ่ง ตั้งอยู่ห่างไกลจากพระตำหนักอื่นๆ อยู่ช่วงท้ายๆ ของพระราชวังมีพื้นที่ติดกับชายป่ารกร้างซึ่งองค์ชายโฉดใช้เป็นเส้นทางลำเลียงอาวุธและกองทหาร ทางเข้าออกต้องดำน้ำลงไป แม่น้ำซึ่งอยู่ติดกับชายป่าและมีทางเข้าเชื่อมต่อขุดไปถึงกับสระบัวในอุทยานส่วนพระองค์ ใช้เป็นเส้นทางเพื่อสะสมฐานกำลังเตรียมพร้อมช่วงชิงบัลลังก์เพื่อขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นภายในพระตำหนักลึกลงไปใต้ดิน ถูกสร้างเป็นห้องพักมากมายเพื่อใช้สะสมเงินทองและอาวุธรวมไปถึงเสบียงและคุกใต้ดิน เพื่อใช้ลักพาตัวผู้คนที่บังเอิญมาระแคะระคายการกระทำคิดคดทรยศขององค์ชายผู้นี้ และนี่คือสาเหตุว่าทำไมองค์ชายสามจึงไม่อนุญาตให้บุรุษเข้ามาในพระตำหนัก สืบเนื่องมาจากสาเหตุดังกล่าวด้วยส่วนหนึ่งและอีกเหตุผลนั่นก็คือ เกรงกลัวการถูกลอบปลงพระชนม์จากการจ้างวานฆ่าของผู้อื่นนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นพี่น้องร่วมสายโลหิตหรือพันธมิตรที่เคยร่วมมือและรีบหันหลังให้แก่กันทันใดที่หมดประโยชน์ร่วมกันพระวรกายสูงใหญ่ขององค์ชายปีศาจ ถูกล่ามไว้ที่ข้อพระหัตถ์และข้อพระบาทก่อนจะนำไปโยงกับคานที่แขวนไว้ เตรียมเครื่องทรมานเพื่อเ