แชร์

บทที่ 8  

ผู้เขียน: สั่งไม่หยุด
เจาซีได้ยินเช่นนี้ ก็ตกใจจนหน้าซีดเผือดทันที ทว่าภายใต้ความขลาดกลัวและความดื้อรั้น ภายในใจกลับเกิดความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวขึ้นมาอย่างประหลาด ขณะที่กำลังคิดว่าในเมื่อฮูหยินจะตีตนเองให้ตายจริงแล้ว ก่อนที่นางจะต้องสิ้นใจตาย ต้องช่วยพูดเข้าข้างคุณหนูของตนเองสักสองประโยค

กลับคิดไม่ถึงเลยว่าหรงจือจือจะสืบเท้าเข้ามาหนึ่งก้าว เอาตัวเข้าขวางหน้าเจาซีไว้ แสดงเจตจำนงชัดเจนว่าห้ามมิให้ผู้ใดแตะต้องนาง

เจาซีเห็นเงาแผ่นหลังบอบบางอ่อนแอของคุณหนู แต่กลับรู้สึกว่ากว้างใหญ่ไร้สิ่งใดเปรียบ ริมฝีปากของนางสั่นไหวเล็กน้อย ในดวงตากำลังรื้นคลอด้วยน้ำตา “คุณหนู…”

บัดนี้ภายในใจของนางเกิดรู้สึกผิดขึ้นมาจนจะตายให้ได้ คุณหนูคอยเตือนสตินางไม่รู้กี่หนต่อกี่หน ให้เข้มแข็งหนักแน่น เงียบไว้อย่ามากวาจา เพราะด้วยฐานะของนางถึงอย่างไรแล้วก็เป็นเพียงแค่บ่าวรับใช้ ถูกจับผิดง่าย แต่เหตุใดหนอตนเองถึงไม่รู้จักจำใส่หัวไว้บ้าง!

นางหวังมองการกระทำของหรงจือจือ หัวคิ้วก็ขมวดขึ้นมา พร้อมถากถางอย่างรังเกียจ “เจ้าทำเช่นนี้หมายความว่าอะไร? เจ้าคิดจะอกตัญญูต่อมารดา เพียงเพื่อปกป้องบ่าวชั้นต่ำคนหนึ่งหรือ?”

หรงจือจือมิได้สนใจความเจ็บปวดบนใบหน้าแล้ว สายตาที่มองนางหวังเย็นชาอย่างถึงที่สุด “ท่านแม่คิดมากเกินเหตุ เพียงแต่เจาซีเป็นสาวใช้ที่ท่านย่าซื้อตัวมาเพื่อปรนนิบัติรับใช้ลูก หากท่านมีคำสั่งให้โบยนางถึงชีวิต เกรงว่าท่านย่าคงไม่ยินดีแน่”

เจาซีทำอะไรผิดหรือ? อันที่จริงนางก็แค่อยากช่วยเปิดโปงความจริงที่หรงเจียวเจียวเข้ามายั่วยุโทสะตนเองก็เท่านั้น

ทว่าเจาซีไม่เข้าใจ สิ่งที่ท่านแม่ไม่โปรดปรานหาใช่เจาซีสอดปากไม่ดูสถานการณ์ที่ไหน สิ่งที่นางไม่โปรดปรานก็มีแต่บุตรีอย่างตนเองเท่านั้น! ฉะนั้น มารดาที่เห็นอะไรก็ขัดตาอยู่เป็นทุนเดิม มีหรือจะอนุญาตให้ตนเองและเจาซีออกปากแก้ต่าง?

นางหวังมีหรือจะฟังแล้วไม่เข้าใจ สิ่งที่เจ้าเด็กเวรคนนี้อยากจะสื่อ ก็คือขู่ว่าหากตนเองทำร้ายเจาซีจนสิ้นใจขึ้นมาจริง ๆ นางจะแจ้นไปฟ้องนายหญิงใหญ่ทันที!

ถ้อยคำนี้ทำให้สีหน้าของนางหวัง หมองคล้ำลงมาทันใด “นางเด็กอกตัญญู เจ้ากล้ายกท่านย่าของเจ้ามาข่มขู่ข้าหรือ!”

หรงจือจือตอบเสียงเบา “ท่านแม่พูดเกินเหตุ ลูกมิบังอาจเจ้าค่ะ ลูกเพียงแต่คิดด้วยความเป็นห่วงท่านแม่ กังวลใจว่าท่านแม่จะผิดใจกับท่านพ่อด้วยเหตุผลนี้ก็เท่านั้น”

ถ้อยคำนี้กระแทกไปถึงก้นบึ้งหัวใจของนางหวัง

หลายปีมานี้นายหญิงใหญ่ยิ่งไม่โปรดปรานลูกสะใภ้อย่างตนเองมากขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งไปกว่านั้นท่านพี่เองก็เป็นคนกตัญญูต่อบุพการี เพราะตนเองไม่สามารถทำให้แม่สามีพอใจได้ แม้ท่านพี่จะมิได้เอ่ยออกมา แต่กระนั้นก็มองออกว่าเขาเองก็มิได้พึงพอใจกับตนเองมากนัก

หากมีเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นประเด็นอีก จนทำให้นายหญิงใหญ่ไม่พอใจแล้วละก็ เกรงว่าท่านพี่คงขอแยกไปนอนที่ห้องหนังสือแน่ นางหวังรักมหาราชครูหรงจากใจจริง มีหรือจะทำใจยอมรับเรื่องนี้ไหว?

เมื่อใคร่ครวญกระจ่างแจ้ง นางหวังฝืนข่มไฟโทสะไว้ในใจ จ้องมองหรงจือจือพลางใช้วาจาแดกดัน “ลำบากเจ้าต้องมาเป็นห่วงแล้ว!”

หรงจือจือมีหรือจะคิดด้วยความเป็นห่วงตนเอง ชัดเจนแล้วว่าอีกฝ่ายรู้จุดอ่อนของตนเองกระจ่างแก่ใจ รู้ว่าสิ่งที่ตนเองเครียดและกลัวคืออะไร

หรงจือจือรู้ดี ที่ท่านแม่เอ่ยวาจานี้ออกมา ก็หมายความว่าเจาซีปลอดภัยแล้ว

ทว่าหรงเจียวเจียวยังคงไม่เข้าใจสิ่งที่แฝงอยู่ในนั้น จึงดึงมือของนางหวังไว้พร้อมเอ่ยว่า “ท่านแม่ ท่านเชื่อจริงหรือว่าพี่หญิงคิดคำนึงถึงท่าน? เจาซีก็เป็นแค่บ่าวรับใช้คนหนึ่งเท่านั้น นางเป็นห่วงสาวใช้ของตนเอง ไม่อยากให้ท่านตีนางจนสิ้นใจตาย ถึงได้ยกท่านพ่อมาอ้าง ท่านพ่อมีหรือจะคิดเล็กคิดน้อยกับท่านจริง!”

นางหวังมองนางปราดหนึ่ง ก่อนจะตัดบทด้วยเสียงหงุดหงิด “ช่างเถิด ไม่ต้องพูดถึงแล้ว!”

ทั้งที่เป็นบุตรของตนเองด้วยกันทั้งคู่ แต่บุตรีคนเล็กคนนี้ของนาง กลับมิได้เรียนรู้เอาความฉลาดของหรงจือจือมาด้วยเลยแม้เพียงสักนิด หากเจียวเจียวมีความฉลาดเฉลียวได้สักครึ่งหนึ่งของหรงจือจือ ตนจะลดความกังวลใจลงได้มากน้อยเท่าใดกัน?

หรงเจียวเจียวถูกนางหวังตะคอกใส่ ก็สะดุ้งตกใจ ไม่กล้าเสี้ยมให้มารดาฆ่าคนอีก

เพียงแต่แสดงท่าทางปกป้องนางหวัง พลางสอดสายตามองเจาซีที่อยู่ด้านหลังหรงจือจือ : “นางบ่าวชั้นต่ำ ท่านแม่ไว้ชีวิตเจ้าแล้ว เจ้ายังไม่รีบคำนับคุกเข่าขอบคุณอีกหรือ! โชคดีที่เจ้าได้เจอนายหญิงที่จิตใจกว้างขวางมีเหตุผลอย่างท่านแม่ของข้า ไม่เช่นนั้นต่อให้เจ้าจะมีสักกี่ชีวิตก็ไม่พอให้ฆ่าตายหรอก!”

หรงเจียวเจียวเกลียดหรงจือจือ ย่อมเกลียดสุนัขรับใช้ของหรงจือจือด้วย เจาซีในสายตาของหรงเจียวเจียว ก็คือสุนัขรับใช้ที่จงรักภักดีต่อหรงจือจือตัวหนึ่ง ประเภทที่ว่าแม้ไม่โยนกระดูกให้กิน ก็จะช่วยหรงจือจืออาละวาดกัดคนทำนองนั้น

นางหวังฟังจบ ก็รู้สึกว่าสมควรแล้วที่เจียวเจียวจะเป็นบุตรีที่ตนเองรักมากที่สุด คำพูดคำจารู้ใจเป็นที่สุด

เจาซีได้ยินถ้อยคำกลับขาวเป็นดำของเจียวเจียวแล้ว ก็โกรธขึ้นมาทันที

ใช่เพราะฮูหยินรู้เหตุรู้ผลมีจิตใจกว้างขวางจึงเว้นชีวิตตนเองที่ไหน เป็นเพราะคุณหนูของตนเองแย่งชิงโอกาสมีชีวิตรอดของนางไว้ได้ก่อนต่างหาก

ทว่าเพื่อเลี่ยงไม่ให้คุณหนูต้องลำบากใจอีก นางจึงคุกเข่าลง “ขอบพระคุณฮูหยินเจ้าค่ะ ที่ยกโทษให้ด้วยใจโอบอ้อมอารี!”

นางหวังปรายสายตามองนางอย่างดูแคลน และคร้านจะเอาใจไปคิดเรื่องของเจาซีแล้ว นางก็แค่บ่าวรับใช้ชั้นต่ำคนหนึ่งเท่านั้น

นางหันมามองหรงจือจือแทน : “เรื่องในจวนของเจ้า ข้าได้ยินมาหมดแล้ว! ช่างเป็นคนไร้ประโยชน์จริง ๆ ออกเรือนไปแล้วสามปี แม้แต่หัวใจของสามีตนเองยังเฝ้าเอาไว้ไม่ได้!”

“ก่อเรื่องน่าขายหน้าเช่นนี้ บัดนี้ยังมีใครในเมืองหลวงอีกที่ไม่นินทาว่าเจ้าไร้ประโยชน์? มีคุณธรรมอย่างนั้นหรือ มีแค่ชื่อเสียงคุณธรรมอย่างเดียวมันจะไปทำอะไรได้? ตราบใดที่คว้าใจบุรุษไว้ไม่ได้ ทั้งหมดนั่นมันก็เปล่าประโยชน์!”

“เขาไปแคว้นเจา เจ้าก็ไม่รู้จักเขียนจดหมายสักสองสามฉบับส่งไปหาเขา แสดงความคิดถึงห่วงใย ให้เขาพึงคิดถึงเป็นห่วงเจ้าเลยหรืออย่างไร? กลับปล่อยให้องค์หญิงแคว้นสิ้นเอกราชฉกฉวยโอกาสไป จนพวกข้าสกุลหรงต้องขายหน้าไปด้วย!”

หากเป็นเมื่อก่อน นางหวังจะต่อว่าตนอย่างไร จะก่นด่าตนอย่างไร หรงจือจือล้วนรับฟังและเก็บไปใส่ใจทั้งสิ้น

แต่บัดนี้ ทุกเรื่องราวที่สั่งสมรวมกันมา ทำให้หัวใจของนางเหนื่อยล้าเกินไปแล้ว นางไม่อยากอดทนอีกแล้ว

ด้วยเหตุนี้นางจึงเอ่ยอย่างราบเรียบ “ท่านแม่ ฉีจื่อฟู่จำเป็นต้องปลอมแปลงชื่อปกปิดที่อยู่เพื่อไปทำหน้าที่เป็นจารชน เขามิอาจรับจดหมายของลูกได้เจ้าค่ะ”

คนที่พอมีความรู้สักหน่อย ย่อมตระหนักได้ว่าคนที่ต้องออกไปเป็นจารชนนอกดินแดน เป็นเรื่องลับสุดยอดเพียงใด บางครั้งในดินแดนยังต้องสร้างภาพลวงว่าคนคนนั้นล้มหายตายจากไปแล้วก็มี หลอกลวงแม้กระทั่งคนในครอบครัวด้วยซ้ำไป

จะเอาอะไรไปส่งจดหมายหาเขา ติดต่อพูดคุยสารทุกข์สุกดิบ?

ท่านแม่ไม่มีทางไม่เข้าใจเหตุผลนี้ แต่ที่อีกฝ่ายพูดออกมาเช่นนี้ ก็แค่ไม่ชอบตนเองเท่านั้น กอปรกับคร้านจะครุ่นคิดถึงเหตุผลเหล่านี้ ฉะนั้นเมื่อคิดอะไรได้ก็ตำหนิเลยทันที

นางหวังสะอึกไป รู้สึกเสียหน้าอยู่ลึก ๆ เห็นชัดว่าตนเองเหมือนไร้หัวคิดอย่างไรอย่างนั้น

จึงดึงหน้าขรึมขึ้นทันที และเปลี่ยนประเด็นอีกครั้ง “เพราะฉะนั้นพอเจ้าเป็นภรรยาเอกของฉีจื่อฟู่ไม่ได้ ก็เลยกลับมาหาเรื่องน้องหญิงของเจ้า ขู่ขวัญรังแกน้องหญิงของเจ้าให้จบสิ้นไปพร้อมกันหรือ?”

“ข้าช่างมีกรรมจริง ๆ ไม่รู้ว่าชาติที่แล้วข้าไปก่อกรรมทำเข็ญอะไรมา ถึงได้มีบุตรีชั่วช้าเหมือนอสรพิษอย่างเจ้า!”

“หากรู้แบบนี้ตั้งแต่แรก ตอนเจ้าเกิด ข้าน่าจะบีบคอเจ้าให้ตายไปเสียสิ้นเรื่อง! จะได้ไม่ต้องมีปัญหาวุ่นวายเกิดขึ้นเหมือนอย่างวันนี้!”

หรงจือจือเตือนสติด้วยคำพูดนุ่มนวล “ท่านแม่ ตอนข้าเกิด ท่านก็เคยบีบคอข้าไปครั้งหนึ่งแล้ว”

ควรเป็นนางมากกว่าที่ต้องถามว่า ชาติที่แล้วตนเองไปทำเรื่องเลวร้ายอะไรมา ถึงได้มีมารดาเลือกที่รักมักที่ชังและยังไร้เหตุผลเช่นนี้

นางหวังได้ยินก็ขึงตาใส่ทันที มองนางอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ไม่เคยคิดเลยว่าความลับนี้ หรงจือจือจะล่วงรู้ด้วย

นางตะคอกด้วยความโกรธทันที “ก็เป็นความผิดเจ้า! แค่ตอนเกิดมาก็คลอดยากแล้ว หันเท้าออกมาก่อนได้อย่างไร ทำให้ข้าเจ็บจนเกือบตายแล้วแท้ ๆ! ดูอย่างน้องหญิงของเจ้าสิ ข้าแทบไม่ต้องออกแรงเบ่งอะไร ก็คลอดออกมาได้สบาย นี่สิถึงจะเรียกว่าเด็กรู้จักบุญคุณ!”

“แต่เจ้า! วันที่เจ้าคลอดออกมา ข้าก็รู้แล้วว่าเจ้ามาเพื่อทวงแค้น! มิเช่นนั้น เจ้าจะอกตัญญูไม่รู้บุญคุณ ทรมานมารดาเจ้าจนเกือบตายได้อย่างไร?”

“บัดนี้ยิ่งแล้วใหญ่ เกือบพรากเอาชีวิตข้าไปแล้วยังไม่พอ ยังต้องถูกคนสกุลฉีลดขั้นให้เป็นเพียงอนุ ลากข้าไปอับอายขายหน้ากับเจ้าด้วย!”

“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าวันนี้เจ้าจะกลับมาให้มันได้อะไร เหตุใดเจ้าถึงไม่ผูกคอตายที่เรือนสกุลฉีไปเสียก็สิ้นเรื่อง หากเป็นเช่นนี้พวกข้ายังพอแห่ไปทวงความยุติธรรมจากสกุลฉี เรียกร้องชื่อเสียงเกียรติยศกลับคืนสู่คนในสกุล จะได้ไม่พาลกระทบไปถึงเรื่องสมรสของน้องหญิงเจ้าหลังจากนี้ด้วย!”
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 468

    ไทเฮาทรงพิโรธ ถลึงพระเนตรใส่ฮ่องเต้น้อย “ฮ่องเต้ นี่เจ้าปฏิบัติต่อเสด็จแม่ของเจ้าแบบนี้รึ?”เฉินเยี่ยนซูพูดด้วยเสียงนุ่มนวล “หากไทเฮาทรงรู้สึกว่าฝ่าบาทปฏิบัติต่อพระองค์ไม่ดี มองว่าท่านอ๋องดูแลพระองค์ได้ดีกว่า เช่นนั้นกระหม่อมก็ยินดีช่วยส่งพระองค์ไปยังที่ดินศักดินาของท่านอ๋องใหญ่ ให้ท่านอ๋องดูพระองค์ในช่วงบั้นปลาย”พระพักตร์ของไทเฮาซีดขาว สังเกตเห็นความประชดประชันในแววตาโอรสตัวเองใช้มือข้างหนึ่งจับพนักเก้าอี้พร้อมกับตรัส “ช่างเถอะ ข้าเองก็รู้สึกคิดถึงอดีตฮ่องเต้เช่นกัน”เช่นนี้ก็หมายความว่ายอมจำนน บ่งบอกว่ายอมถูกกักบริเวณและคัดคัมภีร์นางคิดมาโดยตลอดว่าฮ่องเต้ยังชันษาน้อย คงจะจำอะไรไม่ได้มาก แต่ดูจากตอนนี้ เหมือนว่าฮ่องเต้จะยังจำได้มิน่าเล่า เขาถึงได้ไม่ยืนอยู่ฝั่งของนางกับสกุลเซี่ย เอาแต่เข้าข้างราชเลขาธิการเมื่อพูดถึงท่านอ๋องใหญ่ หรือก็คือพระเชษฐาต่างมารดาของฮ่องเต้ นางเซี่ยมีอาการตกใจเช่นกัน เกี่ยวกับเรื่องเมื่อตอนนั้น นางยอมรับว่าไทเฮาเลอะเลือนไปเล็กน้อยฮ่องเต้น้อยมีท่าทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยิ้มว่า “ในเมื่อเรื่องนี้จบลงแล้ว เช่นนั้นเราจะกลับไปจัดการราชกิจก่อน”เฉินเ

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 467

    แม้แต่ฮ่องเต้น้อยก็ยังต้องยกนิ้วหัวแม่มือให้หรงจือจือในใจ ไม่แปลกเลยที่ท่านราชเลขาธิการจะชอบนาง ช่างฉลาดหลักแหลม แม้แต่วิธีแก้ปัญหาเช่นนี้ก็ยังสามารถคิดออกมาได้ นางเซี่ยรีบพูดด้วยรอยยิ้ม “ความจริงจวนอ๋องเฉียนของพวกข้าก็ไม่เลว หากมหาราชครูหรงต้องเลือกระหว่างสองสกุลก็คงตัดสินใจได้ยากเช่นกัน”“จือจือ เจ้าลองเลือกใหม่อีกครั้งดีหรือไม่ หากเจ้าเลือกอู๋เหิง บิดาของเจ้าก็ไม่น่าจะว่าอะไร”“เจ้าก็รู้ แม่สามีของข้าชอบเจ้ามากมาโดยตลอด หลายปีมานี้ก็ปกป้องและรักใคร่เจ้าไม่น้อย”หัวคิ้วของหรงจือจือกระตุก เข้าใจว่านางเซี่ยกำลังยกพระชายาอ๋องเฉียนมาเพื่อโน้มน้าว อยากให้นางเห็นแก่การดูแลที่พระชายาอ๋องเฉียนมีต่อตัวเองตลอดหลายปีมานี้และเลือกจีอู๋เหิงไทเฮาฟังถึงตรงนี้ก็ตรัสเช่นกัน “พระชายาซื่อจื่อพูดได้ถูกต้อง! หรงจือจือ ตอนนี้ข้าต้องการให้เจ้าแต่งงานกับอู๋เหิง ส่วนฮ่องเต้นั้นต้องการให้เจ้าแต่งงานกับราชเลขาธิการเฉิน”“พวกข้าสองแม่ลูกแทบจะบาดหมางกันเพราะเจ้าอยู่แล้ว เจ้าลองตรองดูให้ดีว่าจะแต่งงานกับผู้ใด!”“ในเมื่อเจ้าแต่งเพราะคำสั่งของบิดา คิดว่าหากมีข้าอยู่ด้วย ต่อให้เจ้าเลือกอู๋เหิง บิดาเจ้าก็คงไ

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 466

    ฮ่องเต้หย่งอันเข้าใจแล้วว่า เหตุใดท่านราชเลขาธิการได้ยินว่าเสด็จแม่เรียกตัวหรงจือจือมาพบแล้วจึง…เขามองไทเฮาพร้อมกับตรัสด้วยความเสียใจ “โอ้? มันสายไปแล้ว! ลูกพระราชทานสมรสไปแล้ว ราชโองการก็เขียนเสร็จแล้ว ประทับตราพระราชลัญจกรแล้วเช่นกัน!”“เหตุใดเสด็จแม่จึงไม่หารือกับลูกตั้งแต่เมื่อวาน หากเป็นเมื่อวาน เรื่องนี้คงพอมีหนทางให้ตกลงกันได้”ไทเฮาตรัสอย่างไม่เชื่อ “เป็นความจริงหรือ?”ฮ่องเต้หย่งอัน “ย่อมเป็นความจริง ราชโองการยังอยู่ในมือเซิ่งเฟิงอยู่เลย!”ตอนแรกเขาจะให้ขันทีอาวุโสหยางเป็นคนถือ ประเดี๋ยวหรงจือจือกลับสกุลหรงไปแล้วค่อยประกาศราชโองการ แต่ท่านราชเลขาธิการไม่วางใจยืนกรานที่จะขอรับไป ให้เซิ่งเฟิงเป็นคนเก็บรักษาไทเฮาพิโรธมากนางเซี่ยร้อนใจเช่นกัน รีบคุกเข่าว่า “ฝ่าบาท ได้โปรดถอนราชโองการด้วยเถิด อู๋เหิงต้องการแต่งงานกับท่านหญิงเช่นกัน!”ฮ่องเต้หย่งอันยิ้มเยาะ “พระชายาซื่อจื่อกล่าวเช่นนี้ ฟังดูเหมือนท่านราชเลขาธิการไม่ได้ตั้งใจจะแต่งงานกับหรงจือจืออย่างไรอย่างนั้น สินสอดแปดร้อยหาบ เกรงว่านี่คงเป็นครั้งแรกตั้งแต่ก่อตั้งแคว้นต้าฉีมา!”นางเซี่ยรีบพูด “ฝ่าบาท จวนอ๋องเฉียนของพ

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 465

    ฮ่องเต้น้อยเห็นนางเซี่ยยอมรับผิดรวดเร็วแบบนี้ก็ไม่ได้ทำให้นางลำบากใจอีก อย่างไรเมื่อครู่นี้เขาก็เห็นว่า อีกฝ่ายก็พยายามช่วยขอความเมตตาให้หรงจือจืออย่างสุดความสามารถ แต่เมื่อฮ่องเต้น้อยมองไปที่นางกำนัลนางนั้น เขายิ่งคิดก็ยิ่งโมโหเดินเข้าไปถีบอีกฝ่าย “ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง แม้แต่ท่านราชเลขาธิการก็ยังกล้าสาด! เจ้าจงสวดภาวนาให้ท่านราชเลขาธิการปลอดภัย มิเช่นนั้น ครอบครัวเจ้าทั้งเก้าชั่วโคตรก็ยังชดใช้ไม่ได้!”นางกำนัลถูกถีบกลิ้งกับพื้นรู้สึกได้รับความอยุติธรรม นางจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านราชเลขาธิการจะมาและช่วยบังน้ำเย็นให้กับท่านหญิง หากรู้มาก่อน ต่อให้นางจะใจกล้าเพียงใดก็ไม่กล้าทำแบบนี้แต่ฮ่องเต้กำลังพิโรธ นางไม่กล้าร้องว่าอยุติธรรม กลัวว่าฮ่องเต้จะพิโรธหนักกว่าเดิมได้แต่คำนับศีรษะด้วยความเคารพ “บ่าวสมควรตาย ฝ่าบาทโปรดประทานอภัย!”เจาซีมองด้วยความสะใจ เมื่อครู่นี้นางกำนัลคนนี้ใช้อำนาจข่มขู่ บอกว่าเป็นคำสั่งของไทเฮา ห้ามขัดขืนเด็ดขาดตอนนี้ ฮ่องเต้จะทุบตีนางอย่างไร สั่งสอนนางอย่างไร นางก็ได้แต่ทนรับไว้เสียงความเคลื่อนไหวด้านนอกย่อมดังเข้าไปในตำหนักเมื่อฮ่องเต้หย่งอันเข้าไป พระ

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 464

    หรงจือจืออยากอธิบายว่าตัวเองไม่ได้กลัว แต่เมื่อสบเข้ากับสายตาห่วงใยของเขา จู่ๆ นางก็พบว่าตัวเองพูดอะไรไม่ออก ภายในใจอ่อนระทวยไปหมดทั้งๆ ที่เขาถูกราดน้ำเย็น ทั้งๆ ที่เขากำลังหนาวทว่าเขากลับไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย มีเพียงความรู้สึกที่เป็นห่วงนางนางรีบนำผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำเย็นบนใบหน้าเขาโดยไม่ได้มาสนใจว่าชายหญิงไม่ควรถูกเนื้อต้องตัวกัน อย่างไรก็จะแต่งงานกับเขาอยู่แล้วเฉินเยี่ยนซูผงะ ดวงตาหงส์เร่าร้อนขึ้นมาหลายส่วนฮ่องเต้น้อยตรัส “มัวทำอันใดกันอยู่? ยังไม่รีบไปเตรียมเสื้อผ้าสะอาดกับน้ำร้อนให้ท่านราชเลขาธิการอีก!”“หากท่านราชเลขาธิการป่วยไข้ขึ้นมา! เราจะตัดหัวพวกเจ้าให้หมด”“น้ำขิงด้วย! เตรียมน้ำขิงให้ท่านหญิงกับท่านราชเลขาธิการทันที!”หรงจือจือจะบอกตัวเองไม่ต้องการน้ำขิง แต่เมื่อเห็นท่าทีของฮ่องเต้หย่งอัน นางก็ไม่ได้ปฏิเสธนางกำนัลที่ราดน้ำเย็นใส่เฉินเยี่ยนซูตกใจกลัวจนน้ำตาแทบเล็ด คุกเข่าตัวสั่นเทิ้มร่วมกับนางกำนัลคนอื่นๆผู้ที่ถูกราดน้ำเย็นคือท่านราชเลขาธิการ นั่นคือท่านราชเลขาธิการของฮ่องเต้เชียวนะ ก่อนที่ฮ่องเต้จะทรงว่าราชกิจ พระองค์จะต้องถวายการคำนับแด่ท่านราชเลขาธิการตาม

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 463

    ไทเฮาโกรธจนหน้าเขียว ชี้นิ้วไปที่นาง “ดี ดี ดี เจ้าดีมาก!”แม้ภายในใจนางจะไม่พอใจถึงขีดสุด กระนั้นก็มีความนับถือบางส่วนเจืออยู่ด้วยอดนึกถึงถ้อยคำที่อดีตฮ่องเต้เคยพูดกับตัวเองไม่ได้ มหาราชครูหรงเป็นเสาหลักของบ้านเมือง อุทิศความสามารถและความทุ่มเททั้งหมดเพื่อชาติบ้านเมือง เขาถึงกล้ากราบทูลฎีกาที่ภัยถึงชีวิต เสียก็แต่เถรตรงเกินไปมองหรงจือจือตอนนี้แล้วเหมือนบิดาของนางมาก!ทว่า ความชื่นชมนี้ไม่อาจระงับเพลิงโทสะภายในใจนางแต่อย่างใด “ไปเตรียมน้ำเย็นเดี๋ยวนี้ ข้าอยากเห็นนักว่าเจ้าจะมีชีวิตรอดไปเห็นผู้บันทึกประวัติศาสตร์กล่าวโทษข้าหนือไม่!”นางเซี่ย “ไทเฮา!”ไทเฮามองนางปราดหนึ่ง พูดด้วยหน้าบึ้งตึง “พอแล้ว พี่หญิงนั่งลงเถอะ ข้าเองก็ทำเพื่อสั่งสอนลูกสะใภ้ในอนาคตให้ท่าน!”นางเซี่ยเห็นหรงจือจือเดินออกไปภายในใจปั่นป่วนว้าวุ่น จากนั้นลุกขึ้นเพื่อเข้าไปห้ามปรามด้วยตัวเองพระพักตร์ของไทเฮาย่ำแย่กว่าเดิมเมื่อเห็นพี่หญิงของตนเป็นเช่นนี้สั่งว่า “ห้ามพระชายาซื่อจื่อเอาไว้ อย่าให้นางก่อกวน!”บรรดานางกำนัล “เพคะ!”หรงจือจือคุกเข่าท่ามกลางหิมะ มองนางกำนัลยกถังน้ำเย็นเข้ามา ส่วนนางเซี่ยที่จะเข้

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status