Share

บทที่ 5 ภวังค์ฝัน (1)

last update Terakhir Diperbarui: 2025-06-11 12:00:39

นับตั้งแต่จูฟางหรงอภิเษกเข้ามาเป็นพระชายาของโหย่วอี้อ๋อง นางก็ถูกไทเฮาเรียกเข้าเฝ้าทุกวันไม่ขาด วันนี้ก็เช่นเดียวกันพลังกายทั้งหมดของนางได้ประเคนแด่ไทเฮาไปเสียหมดแล้ว จูฟางหรงลากสังขารอันแสนโรยแรงเข้ามาภายในห้องบรรทมดั่งร่างไร้วิญญาณ 

“โอ๊ย เหนื่อยจะแย่ ข้าปวดเมื่อยไปทั้งตัวเลย ไทเฮาช่างโหดร้ายจริงแท้ แทบไม่ให้ข้านั่งเลย ขาแข็งไปหมด”

“พระชายา เป่าชุนนวดให้นะเพคะ”

จูฟางหรงพยักหน้าหงึกหงัก แม้ไทเฮาเอ็นดูจูฟางหรงเป็นอย่างมาก ทว่านางก็ยังถูกไทเฮาเคี่ยวกรำเรื่องมารยาทอย่างหนักตลอดทั้งวัน เพราะจูฟางหรงถนัดแต่จับดาบง้างธนู ไหนเลยจะสันทัดกับการวางตัวเป็นกุลสตรีสูงศักดิ์ในวังหลวง หลายวันมานี้จูฟางหรงขลุกตัวอยู่แต่เพียงตำหนักไทเฮาไม่เป็นอันทำอะไร ทั้งยังไม่เคยพบหน้าสวามีของตนแม้สักเสี้ยว ดูเหมือนนางกำลังเล็งเห็นจังหวะเหมาะ 

“เป่าชุน เจ้าว่าคืนนี้เขาจะมาหรือเปล่า”

เป่าชุนยิ้มแหย “พระชายา ถ้าหมายถึงท่านอ๋องล่ะก็...ดูเหมือนท่านอ๋องไม่เฉียดมาที่ตำหนักรองตั้งนานแล้วนะเพคะ เกรงว่าวันนี้คง…”

“ดี ไม่มานั่นล่ะ ดีที่สุด เช่นนั้นวันนี้ข้า…” จูฟางหรงยิ้มพราย 

เป่าชุนลุ้นจนตัวโก่งนางไม่ทราบว่าจูฟางหรงต้องการทำสิ่งใดกันแน่

จูฟางหรงกวักมือเรียกเป่าชุนหย็อย ๆ “เอียงหูมานี่”

เป่าชุนค่อย ๆ โน้มใบหน้าเข้าหาจูฟางหรงด้วยท่าทีกล้า ๆ กลัว ๆ “พระชายา จะทำอันใดเพคะ”

“เหอะน่า ข้าไม่ได้จะส่งเจ้าไปทำเรื่องเสียหายสักหน่อย”

เพราะเป่าชุนเอาแต่อึกอัก ขยับเชื่องช้าเป็นเต่าคลาน ช่างไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลย จูฟางหรงจึงคว้าไหล่แคบลงมาฉับพลัน 

“เป่าชุน ฟังข้านะ…”

จูฟางหรงเริ่มอธิบายเรื่องราวที่ตนต้องจัดการในค่ำคืนนี้ให้อีกฝ่ายฟัง จูฟางหรงสังเกตหลายวันจนแน่ใจแล้วว่าหลงโหย่วอี้จะไม่โผล่มา และใช่จูฟางหรงไม่ทราบว่าหลงโหย่วอี้ลอบส่งองครักษ์เงามาสะกดรอยตามนาง เช่นนั้นจูฟางหรงจะตลบหลังเขาดูเสียหน่อย คิดว่านางไร้สมองจนไม่รู้ว่าถูกจับตามองหรือ เขาคิดน้อยเกินไปหน่อยแล้ว 

เป่าชุนได้ฟังเรื่องที่จูฟางหรงวางแผนก็ตระหนกตื่น จูฟางหรงกำลังกุเรื่องว่าอยากออกไปเที่ยวชมจันทร์นอกราชวัง อันที่จริงนางมีภารกิจที่ต้องจัดการต่างหาก “พระชายา ท่านจะไปชมที่ใดเจ้าคะ ที่ราชวังก็ชมได้ไยต้องออกไปด้วย หากคืนนี้ท่านอ๋องเกิดอยากมาพบท่านจะทำเช่นไร”

จูฟางหรงรู้ดีว่าหลงโหย่วอี้รังเกียจตนเพียงไหน แม้แต่หน้าของนางเขาก็ไม่อยากจะมอง ชาติก่อนนางและเขายังไม่เคยร่วมหอกันสักครา ชาตินี้อย่าได้เอ่ยถึง เขาทำราวกับเหม็นขี้หน้านางจะแย่ ไม่เข้าใจเลยจริงเชียว ยามเห็นหน้าสตรีสะสวยเช่นนางนกเขาของเขามันเหี่ยวหดหรืออย่างไร 

“ก็ดวงจันทร์นอกราชวังงามกว่านี่นา เจ้าไม่ต้องห่วง เขาหวงตัวอย่างกับสตรี ท่านอ๋องไม่มีทางมาหาข้าแน่นอน วางใจได้”

“แต่…”

“ไม่ต้องแต่แล้ว ข้าเหลือเวลาไม่มาก แล้วจะรีบกลับ” จูฟางหรงตัดบท กระซิบต่อเสียงค่อย “ไม่ต้องกลัว ข้าสัญญาจะกลับมาให้ทันยามโฉ่ว [1]

เป่าชุนหน้าเผือดสี แต่ไม่อาจขัดผู้เป็นนาย ทั้งสองเปลี่ยนอาภรณ์กันเรียบร้อย เป่าชุนขึ้นไปนอนบนเตียงและหันหลังให้ธรณีประตูเพื่อแสร้งเป็นจูฟางหรงด้วยใจไหวระทึก คืนนี้นางคงต้องภาวนาอย่าให้โหย่วอี้อ๋องอุตริอยากมาหาพระชายาเลย

“เป่าชุน พักผ่อนไปงีบเดียวเท่านั้น เจ้าไม่ต้องกลัว หากเกิดอะไรขึ้น ข้าจะรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว”

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยจูฟางหรงจึงลอบสังเกตการหักเหของแสงจากดวงจันทร์ เร้นกายด้วยชุดพรางตัวสีเข้มอยู่นาน กระทั่งเงาบนหลังคาเริ่มขยับ จูฟางหรงจึงได้จังหวะกระโจนหายลับมุ่งสู่ความอนธการ

วันนี้เป็นคราที่จูฟางหรงต้องรายงานความเคลื่อนไหวของหลงโหย่วอี้แก่หอหงฮวา ต่อให้จูฟางหรงหวังปลดระวางจากการเป็นมือสังหารและอยากชำระแค้น แต่นางก็ไม่อาจผลีผลาม จูฟางหรงจะต้องรอบคอบกว่านี้เพื่อหาทางหลุดพ้นอย่างสิ้นเชิง ไม่เช่นนั้นอาจกลายเป็นการสร้างศัตรูถึงสองฝั่งจะลำบากเอาได้ ใคร่ครวญไม่นานร่างระหงที่เดินทางด้วยวิชาตัวเบาก็มาถึงที่หมาย

จูฟางหรงค้อมศีรษะเล็กน้อย “ท่านอาจารย์”

“หรงเอ๋อร์ มาแล้วหรือ”

.

.

หมอกควันสีจางพวยพุ่งขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะเลือนหายไปเนิบช้า ภาพเบื้องหน้าพลันปรากฏร่างชายหนุ่มวัยสิบแปดนั่งคุกเข่าท่ามกลางสายฝนจนกายเปียกชุ่ม สภาพของเขายามนี้ทั้งอ่อนล้าและโรยแรง ใบหน้าวสันต์ซีดขาว ร่างกายสั่นเทาเพราะความหนาวเหน็บ

เพราะเขามักพ่ายแพ้ในการประลองกระบี่กับพี่ชายอยู่เสมอ ไม่ว่าทำอย่างไร ทุ่มสุดกำลังเพียงไหนเขาก็ไม่อาจเอาชนะพี่ชายของตนได้แม้เพียงเสี้ยว บิดาจึงได้สั่งลงโทษเขาโดยให้คุกเข่าบนพื้นเย็นเยียบทั้งยังสกปรก

ขาแกร่งชาหนึบไม่อาจขยับไหว เขาทราบดีว่าบิดาไม่เคยภูมิใจในตนแม้แต่น้อย ยิ่งเกิดเป็นบุรุษที่มีร่างกายอ่อนแอขี้โรคด้วยแล้วก็ยิ่งเป็นที่ชิงชังของบิดาและเป็นที่ขบขันของพี่น้อง

ด้วยเกรงว่าวรยุทธ์ของเขาจะไม่รุดหน้าเฉกเช่นองค์ชายคนอื่น ๆ จนอาจนำไปสู่การช่วงชิงอำนาจ จึงเป็นเหตุให้ฮ่องเต้เคี่ยวกรำโอรสคนรองของตนอย่างหนัก ผู้เป็นบิดาคงหลงลืมไปว่าเขาเองก็เป็นลูกอีกคนที่ต้องการความรักและความอบอุ่น 

ใบหน้าขาวโทรมแหงนมองฟากฟ้าที่เทกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง ดุจกำลังตอกย้ำความอ่อนแอภายในใจ ต่อให้ชนะศึกนอกจนเป็นที่โดดเด่นแล้วอย่างไร สุดท้ายก็ยังแพ้ศึกในอยู่ดี ตำแหน่งแม่ทัพวัยเยาว์นี้เขาไม่ต้องการเลยสักนิด หากเลือกได้เขาอยากเป็นเพียงปุถุชนคนธรรมดา ขณะที่ชายหนุ่มกำลังตัดพ้อสิ้นหวัง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นเพื่อเรียกสติ

“พี่ชาย ท่านหนาวหรือไม่เจ้าคะ”

เด็กหญิงอายุราวสิบหนาวใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพรายืนถือร่มฉีกยิ้มกว้างดั่งโลกใบนี้สดใสเสียเต็มประดา เขาไม่ได้ตอบกลับนาง แต่เลือกเบือนหน้าหนี พริบตาชายหนุ่มกลับรู้สึกว่าหยาดฝนไม่ต้องกายของตนแล้ว

ใบหน้าหล่อเหลาเปียกพราวด้วยหยาดน้ำแหงนมองอีกฝ่าย เขาจึงเห็นว่าเด็กหญิงคนนั้นกำลังยืนกางร่มให้ตนอยู่ ในขณะที่ไหล่อีกฝั่งของนางต้องเปียกชื้นไปด้วยน้ำฝนเพราะได้ปันร่มที่มากกว่าครึ่งเพื่อช่วยบดบังหยาดพิรุณให้เขา

“ถอยไป”

เสียงทุ้มแข็งกระด้าง แต่ดูเหมือนเด็กหญิงไม่สะทกสะท้านใด ร่างเล็กยังคงยืนนิ่งไม่ยอมขยับ รอยยิ้มก็ประดับบนใบหน้าอยู่ตลอด

“ท่านพ่อบอกว่าหากตากฝนจะไม่สบายเอาได้ พี่ชายท่านอยากป่วยหรือ”

“ไม่ต้องยุ่ง”

เด็กหญิงยังไม่ยอมแพ้ นางล้วงบางอย่างในสาบเสื้อออกมา จากนั้นยื่นให้เขา นัยน์ตาคมมองตามของที่อยู่ในมืออีกฝ่ายก็พบว่าเป็นลูกกวาด

“ท่านดูอารมณ์ไม่ดีนะเจ้าคะ กินนี่ท่านจะรู้สึกดีขึ้น”

ชายหนุ่มยังทำหน้าขรึมและไม่ตอบกลับ หูของเขาได้ยินการเคลื่อนไหวบางอย่าง เพราะร่มบนศีรษะมันเอียงกระเท่เร่จากการที่นางเอาด้ามเหน็บบริเวณใต้รักแร้

“ตายจริง คุณหนู ไปทำอะไรตรงนั้นเจ้าคะ”

ครั้นเห็นว่าสาวรับใช้ของตนใกล้เข้ามามือเล็ก ๆ ก็ยัดเจ้าก้อนขนมหวานเข้าปากเขาอย่างไม่ลังเล

“นี่เจ้า!”

“พี่ชาย ข้าอยู่เป็นเพื่อนท่านต่อไม่ได้เสียแล้ว เช่นนั้นร่มนี่ข้ายกให้ท่าน ขนมนั่นก็เช่นกัน”

ชายหนุ่มตัวแข็งทื่อตะลึงค้าง ความหวานละมุนกำลังอบอวลอยู่ในโพรงปาก ร่มคันเล็กถูกยัดเข้ามาในมืออันเย็นเยียบ ไม่ทันเอ่ยถาม เจ้าของร่างเล็กก็วิ่งฝ่าลมฝนห่างออกไปเสียก่อน

“ยัยตัวยุ่ง เดี๋ยว!”

หลงโหย่วอี้สะดุ้งเฮือก เขาผุดลุกขึ้นนั่ง ใบหน้าหล่อเหลาเปียกชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อพราวระยับ

“ท่านอ๋อง ฝันอีกแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”

หลงโหย่วอี้หอบหายใจถี่ระรัว เขาผินหน้ามองเฉินกงแต่ยังไม่ได้เอ่ยสิ่งใด มือกว้างยกขึ้นคลึงขมับชั่วครู่ จากนั้นก็เหลือบมองร่มคันเก่าที่วางทิ้งไว้ข้างหัวเตียงมานับสิบปี

“ยามใดแล้ว”

“ปลายยามจื่อ [2] พ่ะย่ะค่ะ”

หลงโหย่วอี้พยักหน้า วันนี้เขานอนไม่หลับเสียแล้ว และดูเหมือนว่าเขาอยากไปเยือนตำหนักพระชายาของตนดูเสียหน่อย ไม่รู้เช่นกันว่าผีสางตนใดดลใจให้เขาอยากไปพบนาง

หลงโหย่วอี้ลุกยืนเต็มความสูง เฉินกงเอ่ยถามด้วยความงุนงง “ท่านอ๋อง จะไปที่ใดพ่ะย่ะค่ะ”

“ตำหนักรอง”

เฉินกงนิ่งเงียบ ร้อยวันพันปีหลงโหย่วอี้แทบไม่โผล่ไปที่นั่น เหตุใดวันนี้จึงคิดอยากไปเยือนตำหนักรองกันเล่า หรืออารมณ์บุรุษกำลังพลุ่งพล่าน เพียงเผลอคิดเช่นนั้นเฉินกงก็หน้าร้อนผ่าว

“แต่…พระชายาน่าจะบรรทมไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เพราะเขาได้รับรายงานจากองครักษ์เงาเป็นที่เรียบร้อย ว่าจูฟางหรงนั้นเข้านอนตามเวลาปกติ

“แล้วอย่างไร หลายวันมานี้นางทำตัวเชื่อฟังผู้อื่นไปหมดทุกอย่าง นางเป็นชายาของข้า จำเป็นต้องเกรงใจนางด้วยงั้นหรือ ข้าอยากไปข้าก็จะไป หรือเจ้ามีปัญหาใด”

เฉินกงกลืนน้ำลายหนืดเหนียวลงคอ “ไม่พ่ะย่ะค่ะ”

ไม่นานหลงโหย่วอี้ก็ระเห็จออกจากห้องของตนด้วยความเร่งร้อน

เหตุใดข้าต้องมาหานางกันนะ

หลงโหย่วอี้หงุดหงิด แต่ไม่อาจทานแรงร่ำร้องในใจได้ เขารู้สึกว่ากำลังมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล

เฉินกงเดี๋ยวเดินเดี๋ยววิ่งไล่หลังผู้เป็นนายด้วยความสับสน ไม่นานบุรุษทั้งสองก็ถ่อมาถึงหน้าประตูของตำหนักรอง หลงโหย่วอี้ลังเลเล็กน้อย จากนั้นจึงตัดสินใจทาบฝ่ามือลงบนบานประตู เพราะไม่ต้องการให้อีกฝ่ายรู้ตัวเขาจึงเลือกเสียมารยาทผลักมันเข้าไป

ผลัวะ!

หลงโหย่วอี้ผงะ เฉินกงที่ยืนไม่ห่างก็เช่นเดียวกัน นัยน์ตาคมปลาบตวัดมององครักษ์ข้างกายก็เห็นอีกฝ่ายอ้าปากค้าง เสียงทุ้มกระแอมเบา เฉินกงได้สติจึงเร่งหันหลังขวับ

สตรีร่างระหงนอนเหยียดขาเปลือยเปล่า แขนเรียวชันศีรษะอยู่บนเตียงนอนในสภาพอาภรณ์หลุดลุ่ย ผิวขาวราวหิมะแรกสาดสะท้อนเข้าม่านดวงตาคมกริบเสียจนต้องเบือนหนี เพราะมันกำลังส่งผลต่อจิตใจจนเลือดลมสูบฉีดพิกล หลงโหย่วอี้ไม่คิดยอมรับว่าเป็นเพราะนาง เขาคิดเพียงว่าตนอาจเดินอย่างเร่งร้อนเกินไป จึงเป็นเหตุให้ใจเต้นระส่ำ

ริมฝีปากสีกุหลาบแย้มยิ้มอวดฟันเรียงสวย เสียงใสเอ่ยหยอกล้อ “เสด็จพี่ วันนี้อยากนอนกับหม่อมฉันหรือเพคะ”

เชิงอรรถ

^ยามโฉ่ว (丑:chǒu) คือ 01.00 – 02.59 น.

^ยามจื่อ (子:zǐ) คือ 23.00 – 24.59 น.

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • กลวิธีพิชิตใจอ๋องปีศาจ   บทที่ 7 แผนการสร้างความไว้ใจ (2)

    จูฟางหรงผละจากระเบียงเรือ หลงโหย่วอี้สังเกตบทสนทนาของสตรีทั้งสองอยู่ตลอดเพื่อรอจับพิรุธ ไม่นานร่างระหงก็ย่างกรายออกไปที่ลานด้านหน้าไม่ห่างจากเขามากนัก นัยน์ตาคมกริบปรายมองเรือนร่างระหงตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าชิ! อย่าตาค้างแล้วกัน ข้าควรส่งสัญญาณให้พวกเขาสังหารท่านไปเสียเลยดีหรือไม่เสียงบรรเลงจากคงโหวดังขึ้นอีกครั้ง จูฟางหรงยอบกายลงแช่มช้า นางค่อย ๆ ร่ายรำด้วยท่วงท่าอ่อนช้อย หลงโหย่วอี้ยังนั่งนิ่งประหนึ่งหุบเขาน้ำแข็ง ทั้งที่ภายในใจของเขามันเต้นเร้าโครมคราม ไยนางจึงทำให้อกซ้ายเขามันคันยุบยิบอยู่เรื่อย จูฟางหรงทำราวกับนางมีเสน่ห์จิ้งจอกอยู่ บางคราก็ทำให้เขาเผลอไผลโดยไร้สาเหตุจูฟางหรงหมุนตัวเพื่อลอบสบตาสตรีบนเรือสำราญอีกฝั่ง นางสังเกตหาเงาของมือสังหารที่ซ่อนตัวอยู่บนเรือลำนั้น ทำนองของดนตรีเริ่มเพิ่มจังหวะความเร็ว จูฟางหรงพยายามควบคุมลวดลายการวาดมือ และเคลื่อนไหวเรือนร่างอรชรเข้าใกล้หลงโหย่วอี้อย่างแนบเนียนเดิมทีหลงโหย่วอี้แทบไม่คิดเหลือบแลนางสักเสี้ยวเพราะกำลังเร่งสงบใจ แต่ยามนี้จูฟางหรงสามารถทำให้เขาต้องย้ายสายตามาชมการแสดงได้แ

  • กลวิธีพิชิตใจอ๋องปีศาจ   บทที่ 7 แผนการสร้างความไว้ใจ (1)

    เรือสำราญขนาดใหญ่ล่องอยู่เหนือทะเลสาบเจียงซี นึกไม่ถึงเลยว่าบนเรือลำนี้จะมีการจัดแสดงนางระบำ ทั้งยังมากด้วยอาหารรสเลิศพร้อมสรรพจูฟางหรงและหลงโหย่วอี้นั่งอยู่คนละฝั่งระหว่างโต๊ะสำรับทรงกลม วันนี้หลงโหย่วอี้ไม่อยากออกมาด้วยซ้ำ แต่เพราะเป็นกระแสรับสั่งของฮ่องเต้ ไทเฮาก็คะยั้นคะยอไม่เลิก เขาจึงจำใจต้องมาอย่างเสียไม่ได้ ดูเหมือนการอภิเษกของเขาช่างเป็นที่น่าสนใจมากเสียจริง“ท่านอ๋อง เอาแต่จ้องหน้าหม่อมฉันเช่นนี้ คงไม่อิ่มหรอกนะเพคะ” จูฟางหรงเอ่ย ทั้งที่ยังเคี้ยวหมูน้ำแดงเต็มปากจนแก้มตุ่ยดั่งกระต่าย“หนวกหู”น้ำเสียงเย็นเยียบที่เปล่งออกมาเป็นเหตุให้เพลงที่บรรเลงอยู่ต้องหยุดลงเดี๋ยวนั้นเพราะเข้าใจผิด พวกเขาเกรงว่าจะถูกหลงโหย่วอี้ระบายโทสะจึงเร่งถอยห่างออกไป แม้คำที่บอกว่าหนวกหูจะเป็นการต่อว่าจูฟางหรง ทว่าเสียงดนตรีที่สงัดลงก็ทำให้ใจของเขาสงบได้เช่นกัน หลงโหย่วอี้จึงไม่ได้ทัดทานใดขึ้นยัยตะกละทุกอย่างน่าเบื่อเพียงนี้ ทว่าจูฟางหรงกลับไม่แยแสเขาสักกระผีกริ้นนางเอาแต่สนใจละเลียดชิมอาหารตรงหน้าราว

  • กลวิธีพิชิตใจอ๋องปีศาจ   บทที่ 6 ลูกกวาดเจ้าปัญหา (2)

    อรุณรุ่งมาเยือน จูฟางหรงก็เตรียมตัวออกไปตามนัดหมาย วันนี้นางเลือกแต่งกายด้วยอาภรณ์สีอ่อนสบายตา ส่วนด้านในสวมใส่อาภรณ์ที่ทะมัดทะแมง เพราะจูฟางหรงต้องเผื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินในการเอาตัวรอด หากหลงโหย่วอี้ระแคะระคายขึ้นมา นางจะเลือกกลายเป็นปลาแล้วกระโดดลงแม่น้ำหนีเขาเสียเลย“พระชายา งดงามมากเลยเพคะ”จูฟางหรงเหลือบมองหน้าของเป่าชุน “เป่าชุน วันนี้เจ้าไม่ต้องตามไปปรนนิบัติข้าหรอกนะ”เป่าชุนสลดลง “ทำไมหรือเพคะ เพราะว่าหม่อมฉันดูแลพระชายาไม่ดีหรือเพคะ”“ดูเจ้าสิ” จูฟางหรงยิ้มบาง ร่างระหงลุกยืนเต็มความสูง มือเรียวคว้ามือของเป่าชุนมากุมไว้ จูฟางหรงไม่อยากให้เป่าชุนเอาชีวิตมาเสี่ยงกับตนอีกแล้ว “ไม่ใช่เช่นนั้นเสียหน่อย เมื่อคืนเจ้าก็เห็นว่าข้าลอบออกไปท่องราตรี เจ้าอยู่ที่นี่ทำลายหลักฐานให้ข้าได้หรือไม่”เป่าชุนใจชื้น แท้ที่จริงจูฟางหรงก็มีภารกิจให้นางทำ “เพคะ”“พระชายา รถม้าพร้อมแล้วเพคะ”เสียงของนางกำนัลต้นห้องดังลอดเข้ามา จูฟางหรงรวบรวมลมหายใจจนแก้มโป่งพอง

  • กลวิธีพิชิตใจอ๋องปีศาจ   บทที่ 6 ลูกกวาดเจ้าปัญหา (1)

    หลงโหย่วอี้ยืนทำใจอยู่พักใหญ่ ไม่นานขาสูงก็ย่างกรายเข้ามาด้านในเนิบนาบ จูฟางหรงใจเต้นระรัวตามจังหวะการเหยียบย่างของอีกฝ่าย ทว่าสีหน้ายังแสร้งเผยยิ้มหวานเพื่อยั่วอารมณ์เขานัยน์ตาคมหรี่ลงเล็กน้อย ยามนี้จูฟางหรงหลงเหลือเพียงอาภรณ์บอบบางตัวใน ซ้ำยังเปิดไหล่เผยเนื้อหนัง“ไร้ยางอาย”“หา…ไร้ยางอายอย่างไรเพคะ ที่นี่ห้องหม่อมฉัน อีกอย่างก็ดึกมากแล้วด้วย อยู่ ๆ พระองค์ก็โผล่เข้ามาไม่มีปี่มีขลุ่ย…”ไม่ทันจบประโยค ลำคอขาวผ่องก็ถูกคว้าหมับอย่างไม่ไยดีแค่ก แค่ก“ท่านอ๋อง กำลังทำอันใดเพคะ ปล่อยหม่อมฉันนะ”“เจ้าอย่าคิดว่าข้าดูไม่ออก เจ้ากำลังเล่นละครใช่หรือไม่”จะบ้าตาย ตาอ๋องนี่ขี้ระแวงชะมัดยาด ดีนะที่เรากลับมาทัน“หม่อมฉันจะเล่นละครใดเพคะ พระองค์ระแวงมากเกินไปแล้ว หากไม่เชื่อก็นอนที่นี่ด้วยกันเลยสิเพคะ”มือเรียวคว้าหมับไปยังข้อมือแกร่ง หลงโหย่วอี้สะดุ้งแผ่ว มือของเขาคลายออกจากลำคอระหงทันควัน ไม่ทันผละจากจูฟางหรงก็โผเข้ากอดเอวขอ

  • กลวิธีพิชิตใจอ๋องปีศาจ   บทที่ 5 ภวังค์ฝัน (2)

    เด็กหญิงอายุราวสิบหนาวใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพรายืนถือร่มฉีกยิ้มกว้างดั่งโลกใบนี้สดใสเสียเต็มประดา เขาไม่ได้ตอบกลับนาง แต่เลือกเบือนหน้าหนี พริบตาชายหนุ่มกลับรู้สึกว่าหยาดฝนไม่ต้องกายของตนแล้วใบหน้าหล่อเหลาเปียกพราวด้วยหยาดน้ำแหงนมองอีกฝ่าย เขาจึงเห็นว่าเด็กหญิงคนนั้นกำลังยืนกางร่มให้ตนอยู่ ในขณะที่ไหล่อีกฝั่งของนางต้องเปียกชื้นไปด้วยน้ำฝนเพราะได้ปันร่มที่มากกว่าครึ่งเพื่อช่วยบดบังหยาดพิรุณให้เขา“ถอยไป”เสียงทุ้มแข็งกระด้าง แต่ดูเหมือนเด็กหญิงไม่สะทกสะท้านใด ร่างเล็กยังคงยืนนิ่งไม่ยอมขยับ รอยยิ้มก็ประดับบนใบหน้าอยู่ตลอด“ท่านพ่อบอกว่าหากตากฝนจะไม่สบายเอาได้ พี่ชายท่านอยากป่วยหรือ”“ไม่ต้องยุ่ง”เด็กหญิงยังไม่ยอมแพ้ นางล้วงบางอย่างในสาบเสื้อออกมา จากนั้นยื่นให้เขา นัยน์ตาคมมองตามของที่อยู่ในมืออีกฝ่ายก็พบว่าเป็นลูกกวาด“ท่านดูอารมณ์ไม่ดีนะเจ้าคะ กินนี่ท่านจะรู้สึกดีขึ้น”ชายหนุ่มยังทำหน้าขรึมและไม่ตอบกลับ หูของเขาได้ยินการเคลื่อนไหวบางอย่าง เพราะร่มบนศีรษะมันเอียงกระเท่เร่จากการที่นางเอาด้ามเหน็บบริเวณใต้รักแร้“ตายจริง คุ

  • กลวิธีพิชิตใจอ๋องปีศาจ   บทที่ 5 ภวังค์ฝัน (1)

    นับตั้งแต่จูฟางหรงอภิเษกเข้ามาเป็นพระชายาของโหย่วอี้อ๋อง นางก็ถูกไทเฮาเรียกเข้าเฝ้าทุกวันไม่ขาด วันนี้ก็เช่นเดียวกันพลังกายทั้งหมดของนางได้ประเคนแด่ไทเฮาไปเสียหมดแล้ว จูฟางหรงลากสังขารอันแสนโรยแรงเข้ามาภายในห้องบรรทมดั่งร่างไร้วิญญาณ“โอ๊ย เหนื่อยจะแย่ ข้าปวดเมื่อยไปทั้งตัวเลย ไทเฮาช่างโหดร้ายจริงแท้ แทบไม่ให้ข้านั่งเลย ขาแข็งไปหมด”“พระชายา เป่าชุนนวดให้นะเพคะ”จูฟางหรงพยักหน้าหงึกหงัก แม้ไทเฮาเอ็นดูจูฟางหรงเป็นอย่างมาก ทว่านางก็ยังถูกไทเฮาเคี่ยวกรำเรื่องมารยาทอย่างหนักตลอดทั้งวัน เพราะจูฟางหรงถนัดแต่จับดาบง้างธนู ไหนเลยจะสันทัดกับการวางตัวเป็นกุลสตรีสูงศักดิ์ในวังหลวง หลายวันมานี้จูฟางหรงขลุกตัวอยู่แต่เพียงตำหนักไทเฮาไม่เป็นอันทำอะไร ทั้งยังไม่เคยพบหน้าสวามีของตนแม้สักเสี้ยว ดูเหมือนนางกำลังเล็งเห็นจังหวะเหมาะ“เป่าชุน เจ้าว่าคืนนี้เขาจะมาหรือเปล่า”เป่าชุนยิ้มแหย “พระชายา ถ้าหมายถึงท่านอ๋องล่ะก็...ดูเหมือนท่านอ๋องไม่เฉียดมาที่ตำหนักรองตั้งนานแล้วนะเพคะ เกรงว่าวันนี้คง…”“ดี ไม่มานั่นล่ะ ดีที่สุด เช่นนั้นวันนี้ข้า…” จูฟางหรงยิ้

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status