แชร์

บทที่ 3 สายใย

ผู้เขียน: moonlight -mini
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-09-07 18:17:55

บทที่ 3 สายใย

ความเงียบในเรือนเมฆขาวหนักอึ้งจนได้ยินแม้เสียงลมหายใจตนเอง แสงแดดยามบ่ายส่องลอดม่านบาง ๆ สะท้อนบนผืนกระดาษสีขาวซีดในมือหญิงสาว ราวกับฉายให้เห็นเงาของอดีตอันเจ็บปวดที่ซุกซ่อนอยู่ระหว่างบรรทัด…

หลานฮวานั่งลงช้า ๆ บนเบาะ หน้าตรงกับแสง พับชายอาภรณ์เรียบร้อยก่อนจะค่อย ๆ คลี่จดหมายนั้นออก

สายตาก้มมองจดหมายที่เริ่มคลี่ออกอย่างระมัดระวัง ตัวอักษรหวัด ๆ อ่อนช้อย ลายมือที่นางเคยคุ้นแต่เลือนหายไปจากความทรงจำ เป็นลายมือของคนที่เคยเขียนชื่อของนางบนกล่องไม้ใต้ต้นหลิว…ครั้งยังเยาว์วัย ตัวอักษรทุกตัวถูกจรดด้วยมือละเมียดละไม น่าจะเขียนด้วยน้ำหมึกชั้นดี เพราะยังไม่ซีดจางแม้ผ่านกาลเวลา

ถึงฮวาเอ๋อร์ของพี่…ข้าคงเห็นแก่ตัวมากที่เขียนจดหมายฉบับนี้ไว้โดยไม่บอกใคร

แต่หากเจ้าได้อ่าน แสดงว่าข้าไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้วจริง ๆ

ข้ารู้ ว่าจดหมายฉบับนี้อาจไม่มีวันไปถึงเจ้า

แต่ข้าก็ยังเขียน ด้วยความหวังบาง ๆ ว่า… หากข้าหายไปจริง ๆ

จะมีใครซักคน…อาจเป็นเจ้า…ที่ได้อ่านมัน

ข้าไม่รู้ว่าข้าเกิดมาเพื่อตัวเอง หรือเพื่อเป็นภาพลวงตาที่ครอบครัวนี้ใช้บังแสงเงาของเจ้า

เจ้าคือข้า และข้าก็คือเจ้า เราคือเงาสะท้อนกันและกันในโลกที่ไม่เคยยอมรับการมีอยู่ของสองคน

พี่ขอโทษ ที่ได้ทุกอย่าง ทั้งที่ไม่สมควรได้อะไรเลย

แต่พี่…ไม่เคยลืมเจ้า ไม่เคย

ใต้ต้นหลิวหลังเรือนน้อยที่เคยซ่อนจดหมายกัน พี่ยังเก็บกล่องไม้เล็ก ๆ ไว้อยู่

ในนั้น…มีบางอย่างที่เจ้า ควรรู้

หลานฮวาชะงักเมื่ออ่านถึงตรงนี้หัวใจที่นิ่งแน่นกลับเต้นแรงขึ้นจังหวะหนึ่ง มือที่เคยเย็นชากลับกำกระดาษแน่นโดยไม่รู้ตัว

ถ้าข้าต้องจากไปก่อน…โปรดอย่าให้อภัยใครง่าย ๆ แม้แต่ครอบครัวของเราเอง

เพราะบางที ความจริง ที่เจ้าไม่เคยรู้…อาจเปลี่ยนทุกอย่าง

รักจาก…หลานเมย

หลานฮวาสูดลมหายใจเข้าลึกใจที่เคยแข็งดังเหล็กกลับเต้นแรงไม่เป็นส่ำมือที่เคยแน่วแน่กลับสั่นเล็กน้อย ยามที่ตาสบกับถ้อยคำตรงหน้า

หลานฮวากำจดหมายแน่นขึ้น ดวงตาเย็นชาค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นวาวโรจน์

นางลุกพรวดพราดตรงไปดิ่งไปยังตู้เสื้อผ้าเมื่อครู่ ดึงถึ้งอาภรณ์ทั้งหมดออกมาจากตู้

หลานเมยเคยเขียนบอกนางว่าชอบสีฟ้า ดั่งท้องฟ้า มันหมายถึงอิสระ แต่ในตู้มีเพียงอาภรณสีกลีบดอกบัว

“เจ้าถูกคนพวกนั้นบีบบังคับแม้กระทั่งสีของเครื่องแต่งกายเลยหรือ”

เสียงคำรามในลำคอดังขึ้นเบา ๆ แต่ชัดเจนพอจะฟังออกว่าเต็มไปด้วยความคั่งแค้น

หลานฮวาคุกเข่าลงตรงหน้ากองอาภรณ์ที่กระจัดกระจายอยู่ตรงพื้นปลายนิ้วไล้ผ่านเนื้อผ้าเนื้อดีทีละชุดล้วนแล้วแต่เป็นสีชมพู กลีบดอกบัวอ่อน ๆ ไปจนถึงสีพีชบาง ๆ ไม่แม้แต่จะมีเงาของสีฟ้าให้เห็นแม้เพียงริ้วเดียว

“สีฟ้าคืออิสระ…พวกเขาไม่แม้แต่จะให้เจ้าหายใจเป็นตัวของตัวเองเลยด้วยซ้ำ”

เสียงของนางแผ่วเบา ทว่าข้างในกลับแหลมคมดั่งเข็มพันเล่ม ปลายนิ้วหยุดลงบนผืนผ้าผืนหนึ่ง ก่อนจะกำแน่น แล้วลุกขึ้น

“เจ้าถูกจับขังไว้ในกรงทอง ให้ยิ้ม ให้พยักหน้า ให้แต่งตัวให้เหมือนคนที่เขาต้องการ แล้วสุดท้าย…เขาก็ผลักเจ้าลงเหวเหมือนกับที่ทำกับข้า”

หลานฮวาหยิบชุดสีชมพูอ่อนที่ดูหรูหราที่สุดขึ้นมา แล้วเหวี่ยงมันลงบนเตียงอย่างไม่ไยดี

นางเดินตรงไปยังกล่องไม้เครื่องประดับ เปิดมันออกแววตาแข็งกร้าวเมื่อเห็นว่าแม้แต่ปิ่นปักผม สร้อยคอ กำไล ทุกชิ้นล้วนเป็นลวดลายของกลีบบัวอ่อนราวกับถูกจัดวางตามแบบเดียวกัน

“ดี…ตั้งใจจะให้ข้ากลายเป็นหลานเมยแทนอย่างนั้นหรือ” หลานฮวาหัวเราะเย็นเสียงหัวเราะที่ไร้ความสุข ไร้ความรู้สึกก่อนที่นางจะพูดเสียงต่ำ ดุจคำสัญญาที่กลั่นออกจากเลือดและน้ำตา

“หากเจ้าถูกบังคับให้สวมบทบาทดาวนำโชค…ข้าจะทำให้ทุกคนต้องชดใช้ที่เคยพรากเจ้าจากท้องฟ้า” นางเดินไปหยิบกรรไกรมาตัดอาภรณ์ท้องหมดเป็นชิ้นเล็กชิ้น

เสียงตัดผ้า กร๊อบ กร๊อบ ดังสะท้อนในความเงียบของเรือน จนแม้แต่ผนังไม้เก่าแก่ยังสั่นสะท้าน

หลานฮวานั่งคุกเข่ากับพื้น พับผ้าชั้นดีที่ถูกตัดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยวางซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบ

ไม่มีแม้แต่ความลังเลในแววตา

นางลงมือทำราวกับมันคือพิธีกรรมพิธีล้างคำสาปของพี่สาวผู้ถูกกักขัง และบ่มเพาะความแค้นของตนให้หนาแน่นยิ่งขึ้น

เศษผ้าสีอ่อนยังอุ่นไอจากมือของนางหลานฮวานั่งทรุดอยู่กลางกองผ้าที่เพิ่งตัดขาดอ้อมแขนกอดมันแน่นเข้ากับอก ราวกับมันคือร่างของใครบางคนที่ไม่อาจหวนคืน

ริมฝีปากเม้มแน่น

เสียงกรีดร้องอัดแน่นในลำคอ ถูกกลั้นไว้จนกลายเป็นเสียงสะอื้นเงียบ ๆ นางไม่กล้าเปล่งเสียงเพราะกลัวคนด้านนอกจะได้ยินกลัวใครจะมาพรากช่วงเวลาเศร้าโศกส่วนตัวนี้ไป กลัวแม้แต่เพียงเสี้ยวของความรู้สึกนี้จะหลุดรอดไปถึงหูของผู้ที่ไม่ควรรู้

แม้บิดาจะทอดทิ้งนาง

แม้ผู้คนจะมองว่านางคือดาวหายนะ

แต่มีเพียง หลานเมย เท่านั้น…ผู้เดียวในโลกนี้ ที่ไม่เคยมองนางเช่นนั้น

นางยังจำได้…

“หลานฮวา เจ้าสบายดีหรือไม่ ท่านทวดให้อ่านตำรายาวันละสามเล่มหรือเปล่า”

“วันนี้ข้าได้เรียนร้อยดอกไม้กับแม่ใหญ่ สีชมพูนั้นเหมือนกลีบบัวมากเลย ข้าคิดถึงเจ้า…ที่นั่นมีดอกไม้หรือเปล่า”

ตัวอักษรบรรจงประสานเป็นลายมืออ่อนหวาน ปลอบประโลมใจดั่งยามฝนโปรย

หลานฮวาเคยอ่านมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนแทบจะจำได้ทุกคำพี่สาวคือผู้เริ่มต้นส่งจดหมายถึงนางก่อน แม้แต่ตอนที่นางยังเขียนหนังสือไม่คล่อง หลานเมยก็ยังเขียนให้ นางก็เขียนตอบกลับไปด้วยตัวอักษรเบี้ยว ๆ ไม่เป็นระเบียบ

เดือนแล้วเดือนเล่า

ปีแล้วปีเล่า

สายใยนั้นไม่เคยขาด

แม้นางจะอยู่กลางหุบเขาพิษ แม้จะอยู่ในถ้ำกลางฤดูหนาวอันเหน็บหนาว จดหมายของพี่สาวยังคงเดินทางไปถึง กล่องไม้ใบเดิมยังคงเต็มไปด้วยข้อความห่วงใยที่ไม่มีใครรู้

หลานฮวาซุกหน้าเข้ากับเศษผ้า กลั้นเสียงสะอื้นไว้ในลำคอ ราวกับยอมให้น้ำตากัดกร่อนหัวใจตัวเอง

“พี่เมย…ท่านรู้ใช่หรือไม่ ว่าข้าไม่มีใครอีกแล้ว…”

จู่ ๆ แววตาโศกก็หลายเป็นเครียดแค้นในแับพลัน

“พวกเจ้าต้องการให้ข้าเป็นหลานเมยใช่หรือไม่…งั้นก็จงจำไว้ให้ดี ว่า ตัวแทนหลานเมย ที่พวกเจ้าพากลับมา ไม่ได้ชักจุงง่ายดั่งหลายเมยที่พวกเจ้าเคยมี”

เมื่อผืนผ้าเฉดสีอ่อนพังพินาศกลายเป็นเศษชิ้น เศษเสี้ยวหลานฮวาลุกขึ้น ก้าวยาวไปยังห่อผ้าน้อย แล้วนำอาภรณ์ของตนเองในห่อผ้าออกมาแขวนแทนสี

ผ้าสีดำขลับถูกแขวนแทนที่เครื่องแต่งกายของพี่สาว ชุดสีดำสนิทตั้งแต่ไหล่จรดชายกระโปรงแถบขอบเงินบาง ๆ เงาวับเย็นเยียบ แม้จะมืดมน แต่กลับสง่างามจนหยุดหายใจ

หลานฮวาเปลี่ยนชุดเงียบ ๆ

นางปล่อยผมยาวดำสนิทลงมาไม่รวบ ไม่ประดับ ไม่แซมดอกไม้ แค่เพียงยืนอยู่ตรงนั้นก็คล้ายวิญญาณกลางหุบเขาเหมันต์ที่เพิ่งออกมาล่าเลือด

ในเงาสะท้อนของกระจก ไม่มีอีกแล้ว ‘คุณหนูจ้าว’ ที่อ่อนแอ หรือเด็กสาวผู้มีตราดาวหายนะติดตัวเหลือเพียงหญิงสาวที่แบกคำสาบานไว้เต็มสองบ่า และจ้องมองความพินาศของสกุลจ้าวด้วยดวงตาสงบนิ่ง…จนขนลุก

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • กลิ่นพิษบุปผา   ตอนพิเศษ 6 พ่อลูกสายรบ แม่สายยาพิษ

    ตอนพิเศษ 6 พ่อลูกสายรบ แม่สายยาพิษเมื่อแม่จับลูกกินยาตั้งแต่ขวบครึ่ง“ขมมาก…” เด็กชายตัวน้อยน้ำตาคลอเมื่อหลานฮวาหยดยาสีดำลงปาก“อือ อมไว้” นางว่าเสียงเรียบ“ท่านแม่…ข้าอยากกินขนม”หลางหานเจิ้งรีบเข้ามาอุ้มลูกพร้อมมองภรรยาอย่างอ้อนวอน“ฮวา…ลูกยังเล็กนัก”“หากท่านออกรบแล้วโดนพิษ ท่านจะหวังให้ลูกกินขนมรอท่านรอดกลับมาหรือ”“…ข้าจะเตรียมจดหมายพินัยกรรมไว้แต่เนิ่น ๆ ก็แล้วกัน…”การฝึกเชิงยุทธของพ่อลูกตั้งแต่ซื่อเหยียนอายุห้าขวบ หลางหานเจิ้งก็ให้เขาเริ่มฝึกหมัดพื้นฐาน“ข้าเจ็บ” เด็กน้อยครวญเมื่อฝ่ามือถลอกจากไม้กระบอง“แม่เจ้าเคยขุดสมุนไพรด้วยมือเปล่ากลางหิมะ ยังไม่ร้องเลย เจ้าเป็นชายจะร้องไห้เชียวหรือ”ซื่อเหยียนมองหน้าบิดา ก่อนเงียบและฝืนฝึกต่อจากนั้นหลางหานเจิ้งก็หันหลังไปซับน้ำตา…ของตัวเอง“ใจเจ้ากล้ากว่าใจข้าเสียอีก ซื่อเหยียน…” เขากระซิบเบา ๆ ด้วยเสียงสะเอื้อน จำต้องฝึกให้บุตรชายแข็งแกร่ง แต่ก็แอบน้ำตาซึมทุกคราที่เห็นเขามีน้ำตาอุบัติเหตุจากห้องปรุงยาวันหนึ่ง ซื่อเหยียนแอบเข้าห้องของมารดาคิดว่าเป็นครัว หยิบขวดที่คิดว่าเป็นน้ำหวานขึ้นมาชิม…ตื่นมาพบตัวเองนอนอยู่ในตั่ง ห่มผ้าแน่นหนาหลาน

  • กลิ่นพิษบุปผา   ตอนพิเศษ 5 ท่านแม่ทัพกับลูกน้อย

    ตอนพิเศษ 5 ท่านแม่ทัพกับลูกน้อยใครจะคิดว่าแม่ทัพผู้ดุดันแห่งแคว้นจะกลายเป็น บิดาผู้คลั่งรักลูกได้ถึงเพียงนี้แม้จะยังคงเป็นแม่ทัพที่ศัตรูหวาดกลัวในสนามรบ แต่ภายในจวนหลาง เขาคือชายผู้เงอะงะในยามอุ้มลูก และเคร่งเครียดยิ่งกว่าออกศึกยามลูกน้อยร้องไห้กลางดึกคืนแรกหลังจากลูกเกิดหลังหลานฮวาคลอด ลูกชายตัวน้อยถูกตั้งชื่อว่า หลางซื่อเหยียน หมายถึงหมอกเย็นแห่งขุนเขาคืนแรกหลังจากลูกเกิด หลางหานเจิ้งนั่งเฝ้าข้างเปลตลอดทั้งคืน“เขาจะหายใจไม่ออกไหม”“ไม่เจ้าค่ะ เด็กทุกคนก็เป็นแบบนี้”“แน่ใจหรือหรือเราควรมีหมอเฝ้าไว้ตลอดยามค่ำ”บ่าวรับใช้ต่างพากันอมยิ้มเมื่อเห็นแม่ทัพแห่งชายแดนผู้ไม่เคยย่อมคุกเข้าให้ใคร กำลังนั่งพับเพียบอยู่หน้าตั่งของลูกน้อย ดวงตาที่เคยดุดันกลับอ่อนโยนลงราวแสงจันทร์ที่สาดลงบนยอดหญ้าเมื่อเขาอุ้มลูกครั้งแรก หลางหานเจิ้งอุ้มดาบได้หลายร้อยเล่ม แต่พออุ้มลูกกลับแข็งทื่อประหนึ่งถือศิลาต้องคำสาป“ข้า…อุ้มแบบนี้ถูกหรือไม่”“ผิดหมดเลยเจ้าค่ะ เอาท้องคุณชายน้อยแนบอก ไม่ใช่แนบแขนแข็ง ๆ ของท่าน”แต่แล้วเมื่อซื่อเหยียนเงียบเสียงและซุกหน้าลงกับอกของเขา หลางหานเจิ้งนิ่งไปนาน…ก่อนจะค่อย ๆ ก้มลงจ

  • กลิ่นพิษบุปผา   ตอนพิเศษ 4 เริ่มต้นชีวิตคู่…และชีวิตใหม่ในครรภ์

    ตอนพิเศษ 4 เริ่มต้นชีวิตคู่…และชีวิตใหม่ในครรภ์หลังจากที่หลานฮวาตัดสินใจ ลองใช้ชีวิตเยี่ยงสามีภรรยา กับหลางหานเจิ้ง ชีวิตประจำวันของทั้งสองค่อย ๆ แปรเปลี่ยนจากความเคยชินสู่ความผูกพันที่ลึกซึ้งเขาเริ่มลุกก่อนทุกเช้า ชงชาสมุนไพรให้นาง นางเริ่มคอยรอเขากลับจากว่าราชการ แล้วตักข้าวให้ในมื้อค่ำบางวันเขาจะนั่งแกะผลไม้อย่างเงียบ ๆ ให้นาง บางวันนางจะถักด้ายให้เขาเอาไปเย็บผ้าคลุมไหล่ใหม่ไม่มีคำรักพร่ำเพรื่อ ไม่มีพิธีรีตรองแต่การกระทำเล็ก ๆ เหล่านี้ค่อย ๆ เติมเต็ม ใจ ที่เคยด้านชาจากอดีตจนกระทั่งวันหนึ่ง…ยามสายของฤดูใบไม้ผลิหลานฮวารู้สึกคลื่นไส้อย่างไร้สาเหตุมาแล้วหลายวันในที่สุดนางก็ยอมให้หมอประจำจวนตรวจดู“คุณหนู…มิใช่ ฮูหยิน…ขอแสดงความยินดีด้วยขอรับ ท่านตั้งครรภ์แล้ว”นางนิ่งไปครู่หนึ่งไม่ใช่เพราะตกใจ แต่เพราะจิตใจนาง…ไม่เคยเตรียมรับข่าวนี้จริง ๆบุตรคนหนึ่ง…ในร่างของนางบุตรของนางกับเขาเมื่อหลางหานเจิ้งกลับมาถึงเรือนเขารู้ได้ทันทีว่านางมีเรื่องจะบอก หลานฮวาไม่ได้พูดอะไรทันที นางเพียงวางมือเขาเบา ๆ บนหน้าท้องของตนเอง แล้วกระซิบช้า ๆ“ท่านจะได้เป็นบิดาแล้ว”เขาชะงักไปชั่วขณะจากนั้นคุกเข

  • กลิ่นพิษบุปผา   ตอนพิเศษ 3 มือหนึ่ง…และรอยยิ้มแรก

    ตอนพิเศษ 3 มือหนึ่ง…และรอยยิ้มแรกบรรยากาศบนเรือนเหม่ยฮวานิ่งสงบเสียงใบไม้ไหวแผ่วเบา คล้ายเสียงกระซิบของหัวใจหลางหานเจิ้งยังคงนั่งอยู่ข้างนางมือเขายังประสานกับมือนางอย่างแผ่วเบาราวกับกลัวว่าแรงไปเพียงนิด จะทำให้นางผละหนีเวลาผ่านไปเพียงครู่หรืออาจเนิ่นนานกว่าที่ใครจะรู้หลานฮวาที่เคยมองลงต่ำพลันขยับนิ้วมือเล็กน้อยก่อนที่ปลายนิ้วของนางจะค่อย ๆกุมมือเขาตอบ อย่างเงียบงัน และมั่นคงหลางหานเจิ้งไม่ได้หันมามองทันทีแต่หัวใจเขาเต้นถี่ขึ้นราวกับจะขาดไม่ใช่เพราะหวังว่านางจะรักแต่เพราะรู้ว่า…นางเริ่มเชื่อใจและในจังหวะที่สายลมพัดเอาเส้นผมของนางปลิวมาสะบัดเบา ๆนางกลับยกมืออีกข้างมาจัดมันอย่างเงียบ ๆพร้อมกับ ยิ้มบาง ๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัวรอยยิ้มที่ไม่ใช่เพื่อปกปิด ไม่ใช่เพื่อเย้ยหยันแต่เป็นรอยยิ้มแท้จริง เหมือนบุปผาที่ผลิบานโดยไม่ทันได้รู้ตัวว่า ฤดูใบไม้ผลิได้มาเยือนแล้วหลางหานเจิ้งเห็นรอยยิ้มนั้นจากหางตาเขาไม่พูดอะไร เพียงแต่โน้มตัวลงเล็กน้อยใช้แขนอีกข้างประคองลมเย็นที่พัดมาทางนางไม่ให้โดนตัว“หนาวหรือไม่”เสียงของเขายังแผ่ว อ่อนโยนเหมือนเดิมหลานฮวาส่ายหน้าช้า ๆก่อนจะเอนศีรษะพิงกับเสาเรือนอย่า

  • กลิ่นพิษบุปผา   ตอนพิเศษ 2 ใต้เงาจันทร์ ใจหนึ่งเผยความจริง

    ตอนพิเศษ 2 ใต้เงาจันทร์ ใจหนึ่งเผยความจริงหลานฮวานั่งมองเปลวเทียนที่สั่นไหวในยามค่ำคืน แสงอุ่นนั้นคล้ายคลึงกับดวงตาของหลางหานเจิ้งที่มองนางอย่างไม่เคยเปลี่ยน ตั้งแต่วันที่เขาแต่งนางเข้าจวน…จนถึงวันนี้ เขายังคงเป็นเช่นเดิมเขาอยู่ตรงนั้นเสมอ“ความรักระหว่างชายหญิง ข้าเคยเห็นมานัก…แต่ไม่เคยเข้าใจ”นางพึมพำกับตนเอง “บางที…มันอาจจะไม่ต่างจากความรู้สึกที่ข้ามีให้พี่สาวฝาแฝด ความรู้สึกอุ่นใจเมื่อได้อยู่ใกล้ ความเงียบที่ไม่อึดอัด ความคิดถึงในยามจากไกล”แม้นางจะบอกกับหลางหานเจิ้งว่า “ข้าอาจจะรักท่าน”แต่นางก็ไม่รู้ว่า รักเช่นนั้นลึกซึ้งเพียงใดนางไม่รู้ว่ารักคือแรงปรารถนาอันเร่าร้อนหรือคือความเข้าใจอันลึกซึ้งระหว่างวิญญาณสองดวง แต่สิ่งหนึ่งที่นางรู้แน่คือ…“เมื่ออยู่ใกล้เขา ข้ารู้สึกปลอดภัย รู้สึกว่าตนไม่ต้องเข้มแข็งตลอดเวลา”กับคนอื่น หลานฮวาต้องปั้นหน้า ต้องระวังคำพูด ต้องคอยรับมือกับอันตรายรอบด้าน แต่กับเขา…นางแค่นั่งนิ่ง ๆ เงียบ ๆ ก็พอ เขาไม่เร่งเร้า ไม่คาดหวังนางไม่รู้ว่าเรียกสิ่งนี้ว่ารักหรือไม่แต่หาก “รัก” คือการไม่อยากให้อีกฝ่ายหายไปจากชีวิต นางก็กลัวอยู่ลึก ๆ ว่า หากวันหนึ่งเขาหายไ

  • กลิ่นพิษบุปผา   ตอนพิเศษ 1 เกี้ยวภรรยาตนเองมิผิด

    ตอนพิเศษ 1 เกี้ยวภรรยาตนเองมิผิด“ขอเพียงเจ้าอยู่ตรงนี้… ข้าจะรอ”หลังจากเรื่องราวทั้งหมดจบลง หลานฮวาไม่เคยแสดงความยินดีหรือให้ความสนิทสนมกับสามีของตนแม้แต่น้อย นางยังคงใช้ชีวิตเช่นเคย มีเรือนของตน ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับคนอื่น และไม่เปิดใจรับใครเข้ามาเพิ่มทว่า แม่ทัพหลางหานเจิ้งกลับไม่เคยบังคับ เขาเฝ้ามองอยู่ห่าง ๆ และรอ ราวกับเชื่อมั่นว่าสักวันหนึ่ง ดอกไม้พิษดอกนี้จะยอมเผยกลีบงามให้เขาเห็นด้วยตนเอง“วันนี้เจ้ากินข้าวหรือยัง”“ท่านแม่ทัพอย่ากังวล ข้าไม่ใช่คนลืมกินข้าว”“เจ้ากินแต่อาหารที่คนครัวทำ ข้าฝึกฝีมือมาหลายเดือน… ลองชิมดูหน่อยสิ”หลานฮวาเหลือบมองถ้วยซุปปลาที่เขายื่นมา รอยยิ้มเล็ก ๆ ผุดขึ้นตรงมุมปาก “ท่านทำเอง”“ด้วยมือของข้าเอง ขนาดแม่ทัพยังต้องล้างปลา นั่นเรียกว่าความรักใช่หรือไม่”“ไม่แน่ใจ อาจจะเรียกว่าความว่างงาน”แม่ทัพหลางหัวเราะร่วน เสียงหัวเราะนั้นทำให้สาวใช้แถวนั้นพากันกลั้นยิ้ม เพราะไม่ค่อยมีใครได้เห็นแม่ทัพหน้านิ่งของพวกนางยิ้มเช่นนี้บ่อยนักในคืนหนึ่งที่ฝนตกหนัก พายุกระหน่ำจวนจนประตูเรือนหลายแห่งเปิดกระแทกเสียงดัง สาวใช้ทุกคนรีบหาที่หลบ ฝนสาดเข้าเรือนเหม่ยฮวาจนเปี

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status