อัญญานั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง มือเรียวยังกำแน่นกับซองเงินเล็กๆ ที่เธอเพิ่งได้มาจากค่าจ้างงานพิเศษในสัปดาห์นี้ คิดอยู่ว่าจะนำไปฝากหรือนำมาใช้
เสียงประตูไม้เก่าๆ ถูกผลักเข้ามาพร้อมเสียงถอนหายใจหนักของหญิงวัยกลางคน อัญญาหันไปมองแม่ของเธอที่เพิ่งกลับมาจากข้างนอก ใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยความเหนื่อยล้ากับดวงตาที่เริ่มแดงก่ำบอกทุกอย่างโดยไม่ต้องเอ่ยปาก
“อัญญาลูกอยู่บ้านเหรอ” วิภามีสีหน้าตกใจเล็กน้อย ปกติลูกสาวจะอยู่หอพักมากกว่า หรือไม่ก็ออกไปทำงาน
“อืม” เสียงตอบเบาๆ ของอัญญาดังมาจากมุมห้อง เธอยังไม่เงยหน้าขึ้นจากซองเงินในมือ
“แม่ เอ่อ แม่ขอยืมเงินหน่อยนะลูกสักห้าพันก็พอ” แม่เดินเข้ามาใกล้ หย่อนตัวลงนั่งข้างๆ
“แม่จะเอาไปทำอะไรเหรอคะ” อัญญาถามทั้งที่คำตอบเธอรู้ดีอยู่แล้ว
“ก็ไปต่อลมหายใจนิดหน่อยน่ะลูกเมื่อวานเกือบได้อยู่แล้วเชียวขาดอีกนิดเดียวจริงๆ คราวนี้แม่เห็นทางเลยนะ
มันต้องได้แน่ๆ”อัญญานิ่งเธอไม่พูดอะไรอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ พูดด้วยเสียงเรียบ
“แต่หนูก็เพิ่งให้แม่ไปเมื่อสองวันก่อนเองนะคะ แม่ก็พูดแบบนี้…”
“โอ๊ย อีอัญญาอย่ามาทำเป็นพูดประชดกูสิ เอ่อ แม่ก็แค่อยากให้เรามีชีวิตดีขึ้น จะได้ไม่ต้องมานั่งทำงานหนักอย่างที่ลูกทำอยู่ทุกวันไง!”
เมื่อรู้ว่าตัวเองพูดจาไม่ดีเลยรีบเปลี่ยนน้ำเสียง เดี๋ยวนี้ลูกรู้ทันหมดทุกอย่าง
“แต่แม่คิดว่าการเล่นพนันมันจะทำให้ชีวิตเราดีขึ้นจริงๆ เหรอคะ?” น้ำเสียงของอัญญาเริ่มสั่นแม้พยายามควบคุมไว้ก็ตาม
วิภาเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะยื่นมือมาแตะแขนลูกเบาๆ
“แม่รู้ว่าแม่ไม่ดีแม่พลาดแต่ครั้งนี้แม่รู้จริงๆ นะลูก แม่สัญญาถ้าได้มาแม่จะคืนให้หมดเลย”
อัญญาหลุบตามองซองเงินในมือมันคือเงินที่เธออดหลับอดนอนทำงานพิเศษได้มาทีละเล็กละน้อย แต่สุดท้ายก็เธอยื่นมันให้แม่โดยไม่พูดอะไร
“ขอบใจนะลูกแม่สัญญาเลยนะว่าคราวนี้ต้องได้” วิภารับไปด้วยสีหน้าดีใจอย่างเห็นได้ชัด
อัญญายิ้มจางๆ แต่มุมปากสั่นเล็กน้อยเธอไม่ได้เชื่อในคำสัญญานั้นหรอก แต่ก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรอีกเพราะลึกๆ แล้วเธอยังอยากเป็นความหวังเดียวของคนเป็นแม่ แม้จะเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม
“แล้วแม่จะออกไปไหนอีก”
“แม่ก็จะออกไปแก้มือนะสิ ขอบใจมากนะลูกรัก”
หากวันไหนเธอไม่มีเงินให้แม่มักจะด่าทอเธอประจำ ตั้งแต่พ่อจากไปบ้านหลังนี้ก็ไม่อบอุ่นอีกเลย
เงินก้อนสุดท้ายที่ต้องเอาไปจ่ายค่าเทอมก่อนที่จะจบการศึกษาเทอมนี้ แต่ตอนนี้ให้แม่ไปบางส่วนไม่รู้ว่าจะหาเงินมาทันหรือไม่ อัญญาหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้าแม่ไม่เคยถามว่าเธอเป็นยังไงบ้าง เหนื่อยบ้างไหมที่ต้องหาเงินส่งเสียตัวเองเรียน
อัญญามีเพื่อนสนิทอยู่หนึ่งคนที่คบหากันเป็นเพื่อนตั้งแต่ปีหนึ่งจนถึงตอนนี้ เพื่อนของหญิงสาวเป็นลูกคุณหนูมีเงิน แต่กระนั้นเธอก็ไม่ได้กล้าที่จะรบกวนเรื่องเงินมากขนาดนั้นกับเพื่อน อัญญาแค่อยากให้เพื่อนอย่างนินนี่ช่วยหางานให้ตัวเองทำที่เงินดีก็เท่านั้น
นินนี่มองหน้าเพื่อนที่นั่งหนักใจเล่าความทุกข์ให้เธอฟังอยู่บ่อยครั้ง คนจนก็จนมากคนรวยก็รวยล้นฟ้าเทีบบกันไม่ติดเลย
“แล้วจะทำยังไงต่อ” เธอถามแต่ไม่ได้สนใจเท่าไร
“คงลองหางานพิเศษเพิ่ม”
“ที่ทำอยู่ไม่เรียกว่างานพิเศษหรือไง จนไม่มีเวลานอนอยู่ล่ะ” นินนี่ตำหนิเพื่อนที่ไม่ค่อยดูแลตัวเอง สนใจแค่ปากท้องของแม่
“อัญญาหมดหนทางแล้วจริงๆ” หากไม่มีเงินไปจ่ายค่าเทอมเทอมนี้เกรดคงไม่ออก
นินนี่คิดเริ่มคิดร้ายในใจอิจฉาเพื่อนที่สวยแบบไม่ต้องทำอะไร ผู้ชายที่เธอหมายปองมักจะชอบอัญญาทั้งนั้น หากหญิงสาวมีตำหนิผู้ชายเหล่านั้นคงเลิกสนใจ
เคยมีครั้งหนึ่งที่แฟนหนุ่มของเธอตามจีบอัญญา แต่เพื่อนไม่สนใจนินนี่เลยเข้าไปแทรกกลาง จนได้คบกับแฟนหนุ่มจนถึงปัจจุบัน
“ไปทำงานกับคนที่ฉันรู้จักไหม?”
“งานอะไรเหรอ” อัญญาดูมีความหวังขึ้นมา
“งานในผับดูแลลูกค้าเงินมากเลยน่ะ บางคนได้ติปเป็นหมื่น”
“นินนี่แน่ใจเหรอว่าที่นั่นโอเค?” อัญญาถามด้วยเสียงเบาดวงตาสั่นไหวด้วยความลังเล
นินนี่ยิ้มกว้างก่อนจะเอื้อมมือมาแตะแขนอัญญาเบาๆ
“แน่นอนสิอัญญาแกสวยขนาดนี้ ไปทำงานที่ผับนะ รับรองได้เงินเยอะกว่าไปนั่งแจกใบปลิวแถวห้างแน่ๆ ฉันมีคนรู้จักอยู่ เขาเป็นผู้จัดการที่นั่นแค่ฉันโทรไปบอกเดี๋ยวเขาก็รับแกเข้าเลย”
“แต่…มันจะไม่อันตรายใช่ไหม อัญญาก็ไม่เคยทำงานกลางคืน”
“เฮ้ย อย่าคิดมากน่า” นินนี่หัวเราะเบาๆ แต่แววตาไม่ได้ยิ้มตาม
“แค่เสิร์ฟเหล้าฟังเพลงดูแลลูกค้าหน่อยๆ มันก็แค่นั้นเองไม่ใช่เรื่องไม่ดีสักหน่อย”
อัญญาพยักหน้าเบาๆ แม้ในใจยังรู้สึกลังเลอยู่ลึกๆ เธอไม่เคยทำงานแบบนี้ ไม่ชินกับโลกแบบนั้นเลยแต่เมื่อมองดูเงินในกระเป๋าสตางค์ที่แทบจะว่างเปล่าเธอก็ต้องกัดฟัน
“ถ้านินนี่บอกว่าปลอดภัยอัญญาก็เชื่อ”
“ดีเลย เดี๋ยวฉันโทรหาพี่เขาให้ตอนนี้เลย” นินนี่คลี่ยิ้มอย่างพอใจก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
แต่เบื้องหลังรอยยิ้มใจดีนั้นกลับมีบางอย่างซ่อนอยู่ในแววตาของนินนี่ แววตาเย็นเยียบเต็มไปด้วยความอิจฉา
‘ให้มันสวยไปเหอะ เดี๋ยวก็รู้ว่าโลกจริงมันโหดร้ายแค่ไหน’
เธอไม่ได้โทรหาผู้จัดการผับอย่างที่บอกไว้ แต่กลับโทรหาคนสนิทของอีกคน นักธุรกิจแก่ๆ ที่อยู่ในวงการเทา เป็นผู้ชายที่ทั้งน่ากลัวและมีอิทธิพลอย่างมากในย่านนี้
“ไอซ์ ใช่ พอจะมีเด็กใหม่แล้วคนนี้เด็ดเลยนะ หน้าหวานหุ่นดีไม่เคยผ่านงานสนใจปะ?” เธอพูดเสียงเบาขณะหันหลังให้อัญญา
“อืม ราคาก็ตามที่เคยตกลงนั่นแหละ เดี๋ยวฉันส่งรูปให้”
เสียงอีกฝ่ายในสายตอบรับด้วยความพอใจ ก่อนวางสายไปนินนี่หันกลับมาหาอัญญาด้วยรอยยิ้มสดใส
“เรียบร้อยแล้วพรุ่งนี้เขานัดให้เข้าไปคุยงานนะอย่าลืมแต่งตัวสวยๆ ล่ะ”
“ขอบใจมากนะนินนี่ดีกับอัญญามากเลย” อัญญาจับมือเพื่อนไว้ ไม่มีครั้งไหนที่เพื่อนไม่ช่วยเหลือจนบางครั้งรู้สึกเกรงใจ
ขณะเดียวกันทางฝั่งของนักธุรกิจเอง เขานั่งอยู่ในห้องส่วนตัวของคลับหรูดวงตาคมมองรูปของอัญญาบนหน้าจอมือถือก่อนจะพึมพำกับตัวเอง
“น่าสนใจ…”
อริญดา ศิริภพ ชื่อเล่น อัญญา อายุ20 สูง 165 ซม. เขานั่งอ่านประวัติของหญิงสาวไปเรื่อยๆ จนไปสะดุดตากับรูปถ่ายใบหนึ่งที่ทำให้เขาละสายตาไม่ได้
ดวงตาพิมพ์ใจได้รูปหยดน้ำ จมูกโด่งเป็นสัน ปากอิ่มเอิบสีระเรื่อ คางเรียวแหลมได้รูป ผิวขาวเนียนดุจไข่มุก หากเขาได้สัมผัสคงดีไม่น้อย
ถึงจะเด็กไปหน่อยแต่พอจะเป็นงาน เด็กสมัยนี้แค่เห็นเงินก็พากันยอมง่ายๆ แล้ว
“ฉันเอาคนนี้”
“ไม่เด็กไปหน่อยเหรอครับ” สมชายเอ่ยขึ้นเพราะเจ้านายไม่เคยสนใจเด็ก
“มึงถามมากไอ้สมชายชื่อเชยเหมือนหน้าตาและสมอง” เคนด่าเพื่อนร่วมงานที่รู้ใจกันมานาน หากเจ้านายอยากได้ใครจะกล้าขัด
“ปกติคุณไลอ้อนชอบนางแบบหุ่นสูงๆ แบบรู้งาน” เอาแบบไม่ต้องสอนอะไรเลย
“ฉันหรือนายที่เป็นเจ้านายทำตามที่ฉันสั่ง”
“ครับ”
เขาส่งสัญญาณให้ลูกน้องจัดการไปรับตัวหญิงสาวตามที่ได้รับข้อมูลมา
ไลอ้อน อิงครัต แลงคาสเตอร์ ลูกครึ่งไทย-อเมริกัน วัย 32 ปี ผู้เป็นเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังและเจ้าของธุรกิจส่งออกอันดับต้นๆ ของประเทศ ใครที่ได้พบเห็นเขาครั้งแรกมักหยุดมองโดยไม่รู้ตัว
ชายหนุ่มสูงถึง 190 เซนติเมตร รูปร่างสมส่วนบึกบึนจากการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ บ่าไหล่กว้างเต็มเสื้อเชิ้ตตัดพอดีตัว ผิวขาวอมแทนแบบคนที่เติบโตท่ามกลางแดดเมืองนอก
ใบหน้าคมเข้มมีเสน่ห์ ปากได้รูป จมูกโด่งตรงรับกับสันคิ้วเข้มชัด ดวงตาสีเทาเข้มที่มักกวาดมองคนรอบข้างด้วยแววตาเรียบนิ่ง ราวกับอ่านใจคนได้ทุกคำพูดโดยไม่ต้องเอ่ยถาม เส้นผมสีน้ำตาลตัดสั้นเซตอย่างลวกๆ แต่กลับดูดีราวกับตั้งใจ
บุคลิกของเขาสงบนิ่ง สุขุม ไม่ใช่คนพูดมาก แต่ทุกคำที่เปล่งออกมาเต็มไปด้วยพลังและอำนาจโดยไม่ต้องออกแรงแสดงตัว
ชุดสูทเรียบหรูที่เขาสวมอยู่ทุกครั้งที่ออกงาน เสริมให้เขายิ่งดูเป็นบุรุษผู้ทรงอิทธิพล ไม่ต่างจากเจ้าชายผู้หลุดออกมาจากโลกอีกใบหนึ่ง
คนในวงการต่างขนานนามเขาว่า ‘เสือเงียบ’ เพราะแม้จะไม่ส่งเสียงคำราม แต่ทุกย่างก้าวของเขาเต็มไปด้วยแรงสั่นสะเทือน
และหากใครได้สบตากับไลอ้อนตรงๆ เพียงไม่กี่วินาที ก็ยากนักจะลืมภาพนั้นได้ลง
ค่ำคืนบรรยากาศในห้องมืดสนิท ไฟในห้องปิดไปหมด สะท้อนแสงเพียงเล็กน้อยจากหน้าต่างที่สั่นไหวตามลมเบาๆ ไลอ้อนนอนหลับตาอย่างเหนื่อยล้า แต่ในความมืดที่ปิดกั้นโลกภายนอกนั้น ก็กลับมีสิ่งที่รอคอยเขาอยู่ในความฝันในฝันเขาตื่นขึ้นในวัดมืดๆ ทั้งสภาพแวดล้อมรอบตัวคลุมไปด้วยเงาดำ และเงามืดจากต้นไม้ที่โอนเอนพัดไปตามลมที่ไม่มีเสียงเขามองเห็นภาพของอัญญา แต่เธอยืนอยู่ตรงหน้าประตูวัดปากของเธอเหมือนจะขยับ แต่เสียงของเธอกลับไม่หลุดออกมาเป็นคำพูดราวกับเป็นแค่ภาพลวงตา“อัญญา” ไลอ้อนพูดออกไปเสียงสั่นพยายามเข้าใกล้แต่ทุกย่างก้าวเหมือนจะเดินไปในอากาศ ดวงตาของเขาลึกลงไปในความมืดที่พยายามกลืนกินทุกสิ่ง“เธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”แต่ในตอนนั้นบางสิ่งยื่นมือออกมาจากความมืด จับข้อมือเขาไว้แน่น ก่อนที่เขาจะถูกดึงไปในความมืดจนหมดหนทางหลบหนี เสียงคำรามดังขึ้นรอบตัว“หากมึงไม่ทำตามสัญญาลูกชายของมึงต้องเป็นของกู” เสียงนี้เหมือนจะสะท้อนกลับมาจากทุกทิศทาง บีบคั้นหัวใจให้แหลกสลาย “ไม่! อย่ามายุ่งกับลูกชายฉัน” ไลอ้อนร้องลั่นเขาพยายามจะยื้อร่างของตัวเองให้หลุดพ้นจากแรงดึงนั้น แต่ร่างกายเขากลับช้าเหมือนเคลื่อนที่ในน้ำ แค
อัญญาในชุดเจ้าสาวสีงาช้างเรียบหรู ก้าวเข้ามาช้าๆ พร้อมมือที่กุมท้องตัวเองไว้อย่างทะนุถนอมดอกไม้ในแจกันวางเรียงตามแนวทางเดิน ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ไปทั่วห้องพิธีพื้นไม้เก่าเอี๊ยดอ๊าดเบาๆ เมื่อแขกเหรื่อไม่กี่คนเริ่มทยอยเข้ามานั่งแถวหน้ามีชายหญิงวัยกลางคนพ่อแม่ของไลอ้อนนั่งยิ้มอย่างตื้นตันข้างๆ กันคือไทเกอร์ในชุดทักซิโด้ตัวจิ๋วสีครีม ผูกเนคไทสีชมพูตอนนี้ไทเกอร์อายุเพียงสิบเอ็ดเดือน แต่ตาเป็นประกายเหมือนรู้ดีว่า วันนี้พ่อกับแม่ของเขากำลังทำสิ่งสำคัญไลอ้อนยืนรออยู่ที่หน้าแท่น ดวงตาของเขาเริ่มแดงตั้งแต่เห็นเธอเดินเข้ามาเพียงไม่กี่ก้าว และพอเธอยิ้มให้เขาก็กลั้นไม่อยู่น้ำตาไหลอย่างเงียบงันลงบนแก้ม ขณะที่อัญญาก้าวเข้ามาใกล้จนยืนอยู่ตรงหน้า“คุณร้องไห้ทำไมคะ” เธอกระซิบถามเขา“ก็ฉันไม่คิดว่าจะโชคดีขนาดนี้”เขาเช็ดน้ำตาเบาๆ อายแขกที่มาร่วมงาน เขาจัดงานแต่งในโบสถ์เล็กๆ มีแค่ลูกน้องและพ่อแม่มาเป็นสักขีพยานอัญญาบีบมือเขาแน่น ดวงตาเธอเองก็พร่าไปด้วยน้ำตาเสียงของผู้ประกอบพิธีดังขึ้นอ่อนโยน ท่ามกลางความเงียบสงบและอากาศที่อบอุ่นราวฤดูใบไม้ผลิ“อิงครัตคุณยินดีจะอยู่เคียงข้างอริญดา ทั้งในวันที่สุขและวัน
รองเท้าผ้าใบสีขาวที่ก้าวลากไปกับพื้นลินิเลียมดังก้องไปตามทางเดินยาวของโรงพยาบาลจิตเวช นินนี่ถูกคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่สองคน พาเธอเข้าไปในห้องพักรักษาที่ถูกออกแบบมาอย่างปลอดภัย ใบหน้าเคยสวยหวานของเธอบัดนี้ซีดเซียวและไร้ความรู้สึกดวงตาเบิกกว้างแต่ไร้แววเหมือนคนหลุดออกจากโลกของความจริงไปแล้ว“อัญญา อัญญา อัญญา!” เสียงของเธอเอ่ยชื่อของหญิงสาวซ้ำๆ ด้วยเสียงที่สั่นเครือและหวาดระแวง เธอหัวเราะบางจังหวะ และร้องไห้ในวินาทีถัดมา“ฉันสวยกว่าเธอเขาต้องรักฉันสิ ไลอ้อนเป็นของฉัน เขาเคยบอกว่าเราคู่กันเขาเคยบอก”เสียงเธอพร่ำพูดซ้ำๆ จนเจ้าหน้าที่ต้องฉีดยาระงับประสาท ภาพทั้งหมดถูกบันทึกไว้เป็นหลักฐานยืนยันถึงสภาพจิตที่ไม่สมประกอบของเธอในขณะที่ก่อเหตุเธอถูกตั้งข้อหามีความผิดฐานพยายามฆ่า แต่ด้วยคำวินิจฉัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางจิตเวช ทำให้ศาลมีคำสั่งให้ส่งตัวเข้าสถานพยาบาลแทนการจำคุก เพื่อทำการรักษาอาการทางจิตอย่างต่อเนื่องห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ กลายเป็นโลกใหม่ของนินนี่ที่นี่ไม่มีคำว่าความรัก ไม่มีอัญญาให้เธอแข่งขันด้วยอีกต่อไป มีเพียงเงาสะท้อนในกระจกที่เธอไม่กล้ามองตรงๆส่วนวิภาแม่ของอัญญาถูกตำรวจจับได้แถว
“บอสครับเจอสัญญาณมือถือของคุณอัญญาแล้วครับ ตอนนี้อยู่แถวถนนเลียบคลอง ทางออกเมืองครับ” สมชายรายงานเสียงตื่น บนหน้าจอแท็บเล็ตแสดงตำแหน่งจุดหยุดนิ่งของสัญญาณ GPS“เหยียบให้สุด อย่าแวะที่ไหนทั้งนั้น!” ไลอ้อนไม่พูดอะไรนอกจากเร่งเสียงคำสั่งสั้น ๆรถพุ่งทะยานด้วยความเร็วสูง เสียงเครื่องยนต์คำรามอย่างไม่เกรงใจใครมือของไลอ้อนกำแน่น ใบหน้าเคร่งเครียด เหงื่อผุดเต็มหน้าผาก เขาส่งข้อความหาอัญญาหลายครั้งไม่มีการอ่านไม่มีการตอบ“ขออย่าให้ฉันมาช้าไปได้โปรด”รถเคลื่อนมาถึงโค้งถนนด้านหน้ามีรถพยาบาลและตำรวจจอดเรียงรายไฟไซเรนหมุนวูบวาบ ร่างคนเจ็บนอนเรียงกันอย่างรีบเร่งกำลังรอการเคลื่อนย้าย “ข้างหน้ามีอุบัติเหตุครับ” “ขับเลี่ยงๆ ออกไป” แต่สายตาของเขาหันไปมองรถคันสีดำที่พังยับเยิน เห็นคนเจ็บถูกนำออกจากตัวรถ หัวใจของไลอ้อนเหมือนถูกกระชากออกมาทันที เพราะชุดที่คุ้นเคยที่เห็นอัญญาใส่เมื่อตอนเช้า เป็นชุดที่สั่งตัดเย็บอย่างดีจากแบรนด์ที่เขาสั่งทำ“จอด!! จอดเดี๋ยวนี้!!”เขาเปิดประตูรถก่อนที่จะหยุดสนิทดี วิ่งพุ่งลงไปยังร่างนั้นอย่างคนเสียสติ“อัญญา! อัญญา! ได้ยินฉันไหม” เขาทรุดลงข้างร่างของเธอ มือสั่นแตะที่แก้มแ
นินนี่นอนเอกเขนกอยู่บนโซฟาหรู สายตาจับจ้องไปที่หน้าจอมือถืออย่างเลื่อนลอย เธอเลื่อนดูฟีดโซเชียลเหมือนทุกวัน แต่แล้วนิ้วของเธอกลับชะงักกึก“ครอบครัวของเรา กำลังจะมีสมาชิกใหม่ ❤️ #BabyOnTheWay”ไลอ้อนโพสต์ภาพอัญญาที่กำลังยิ้มอ่อนโยน มือของเขาวางอยู่บนหน้าท้องของเธอ ภาพนั้นเหมือนฟ้าผ่าลงมากลางใจนินนี่“มะ ไม่จริงอัญญาท้องลูกอีกคนเหรอ” เธอพึมพำ น้ำเสียงสั่นสะท้าน เธอคลิกเข้าไปที่คอมเมนต์ทุกคนแสดงความยินดี เพื่อนเก่าของเธอหลายคนเข้ามาชื่นชม อัญญาดูมีความสุขราวกับโลกนี้เป็นของเธอหัวใจของนินนี่เต้นแรงด้วยความโกรธ แรงอิจฉาและความผิดหวังพุ่งเข้าจู่โจม เธอขบฟันแน่นจนกรามขึ้นเป็นสัน มือที่กำโทรศัพท์สั่นระริก“กรี๊ดดดดดดดดดดดด!!”เสียงกรีดร้องดังลั่นห้อง โคมไฟที่อยู่ใกล้มือเธอถูกปัดตกลงมาแตกกระจาย เสียงกระจกแตกดังสนั่นทั่วบริเวณ แต่เธอไม่สนใจเธอกรีดร้องออกมาสุดเสียง ผลักข้าวของทุกอย่างลงพื้น โต๊ะกลางถูกพลิกกระเด็น จานชามแตกกระจายตามแรงขว้างของเธอ“ทำไมอีอัญญามึงถึงมีแต่คนเข้าหา” ตั้งแต่วันที่เธอดึงเขาเข้ามาจูบ วันนั้นไลอ้อนถอนหุ้นและยกเลิกสัญญาทุกอย่างกับครอบครัวเธอ จนตอนนี้พ่อของเธอไม่มีเงินไป
เสียงลมหายใจแผ่วเบาของลูกชายตัวน้อยที่หลับอยู่ข้างๆ ทำให้บรรยากาศเงียบงันราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุน แต่ในหัวใจของไลอ้อนกลับเต็มไปด้วยเสียงราวพายุโหมกระหน่ำ เสียงคำพูดที่เขาไม่เคยพูดออกไป เสียงความรู้สึกผิดที่เขาไม่กล้าจะยอมรับเขานั่งนิ่งอยู่ปลายเตียงมองรูปคู่ของเขาและเธอที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง รูปที่อัญญายิ้มกว้างขณะอุ้มลูกมือของเขาวางอยู่บนไหล่เธอแบบขอไปที ไม่มีร่องรอยของความรักในแววตาของเขาในวันนั้นหรือบางที อาจเป็นเพราะเขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองรักเธอมากแค่ไหน“อัญญา” เขาพึมพำกับตัวเองน้ำเสียงสั่นเล็กน้อยเธอเป็นผู้หญิงคนเดียวที่เขายอมให้เข้าใกล้หัวใจ ยอมให้เห็นด้านที่เปราะบางที่สุด แต่เขากลับเป็นคนที่ผลักไสเธอเองด้วยคำพูดเฉยชาด้วยความเงียบเย็นที่เหมือนมีดกรีดเขาไม่เคยพูดคำว่ารักไม่ใช่เพราะเขาไม่รู้สึก แต่เพราะเขากลัวว่าจะสูญเสียมันไปหากยอมรับหลังจากวันที่เห็นน้ำตาในตาเธอ วันที่ลูกงอแงแต่เขาไม่เคยอุ้มลูก ไม่เคยพาไปฝากครรภ์ไม่เคยอุ้มชูเลี้ยงดูเพราะความอคติของตัวเองล้วนๆ“ฉันรักเธออัญญา” เขาพูดกับเงาของตัวเองในกระจกซ้ำแล้วซ้ำเล่า“ฉันรักเธอ ขอโทษที่ฉันมันโง่ ขอโทษที่ละเลยเธอ ขอโทษที่