“I can’t believe that was our last gig.”
(ไม่น่าเชื่อเลยว่า นั่นคือโชว์สุดท้ายของพวกเราแล้วว่ะ)
เสียงเหนื่อยล้าดังขึ้นจากหนุ่มผมเฮเซลนัทที่นั่งเอนพิงพนักโซฟาเหมือนหมดแรงทั้งตัว
“Kinda sucks,” หนุ่มผมบลอนด์ตอบเสียงเนือย “Playing live is the best part of this job, hands down.”
(โคตรเซ็งเลย เล่นสดนี่มันคือส่วนที่ดีที่สุดของงานนี้ ไม่มีอะไรสู้ได้ละ)
“Hell no – I’m ready to throw myself into bed and pass out till next month. Or maybe next year.”
(ไม่อะ ฉันพร้อมจะโยนตัวเองลงเตียงแล้วนอนยาวยันเดือนหน้า... หรือไม่ก็ปีหน้าไปเลย)
อีกคนบ่นงึมงำพลางหาวหวอด เอเดนเองก็ยกมือปิดปากหาว สีหน้าเหมือนพลังงานในตัวเขากำลังจะหมดลงเหลือครึ่งเดียว เสียงแจ้งเตือนจากมือถือดังขึ้นเบา ๆ ตรงมุมโซฟา ก่อนที่หนุ่มผมเฮเซลนัทจะหยิบขึ้นมาดูแล้วหันไปหาเขา
“Hey, Kenneth. Rachel texted. Wants to know if we’re up to hang – she’s got some new friends with her.”
(เฮ้ เคนเนธ เรเชลส่งข้อความมาว่าถ้าเราว่าง อยากจะไปแฮงค์ด้วยกันไหม—เธอพาเพื่อนใหม่มาด้วยนะ)
เอเดนขยับตัวเล็กน้อย แล้วตอบสั้น ๆ พลางถอนหายใจ
“Have fun.” (ขอให้สนุก)
“You’re not coming?” (ไม่ไปด้วยเหรอ?)
“That Thai girl’s exhausting as sh*t,” เขาพูดเสียงเบาแต่ชัดเจนพอจะรับรู้ได้ถึงความหงุดหงิด “Last time she tried to glue herself to me. Literally.”
(ยัยสาวไทยคนนั้นน่ะ น่าเหนื่อยใจจะตาย… รอบที่แล้วหล่อนพยายามจะเอาตัวมาติดฉันจริง ๆ นะ)
หนุ่มผมแดงหน้าตาเหมือนลูกครึ่งเอเชียหลุดหัวเราะเสียงดัง ขณะที่เอเดนยังคงพูดต่อ สีหน้าเอือมระอา
“Sex doesn’t make up for that kind of crazy.”
(ต่อให้เก่งเรื่องบนเตียงแค่ไหน ก็ไม่คุ้มกับความบ้าแบบนั้นหรอก)
“Man, I’d hold her damn hand if it gets me laid,” หนุ่มผมบลอนด์หัวเราะหยัน
(โว้ย ฉันจับมือเธอก็ได้ ถ้ามันจะทำให้ได้ฟันอะ)
“I guess I’ve got higher standards than you, bro.”
(ฉันก็แค่มีมาตรฐานสูงกว่านายนิดหน่อยน่ะ เพื่อน)
“No, you don’t,” หนุ่มผมเทาแทรกขึ้นมาทันทีพร้อมกับเบ้หน้า “You don’t even give a sht who you fck.”
(ไม่มีหรอก นายมันไม่แคร์ด้วยซ้ำว่าไปนอนกับใครมา)
“What the hell?” เอเดนขมวดคิ้ว (อะไรวะเนี่ย?)
“You don’t even remember what they look like.”
(นายแม่งจำหน้าผู้หญิงที่เคยนอนด้วยไม่ได้ด้วยซ้ำอะ)
“Rachel’s blonde, right?” เขาพยายามนึก
(เรเชลผมบลอนด์ใช่ป่ะ?)
“She’s a brown-haired Asian, dumb*ss.” หนุ่มผมเฮเซลสวนกลับทันควัน
(เธอเป็นเอเชียผมสีน้ำตาลเว้ย ไอ้ง่าว)
“…Oh.” เอเดนหน้าเจื่อนไปทันที
(…โอ้)
“Shut the hell up, Kenneth. You’re just as bad as the rest of us.”
(หุบปากไปเถอะ เคนเนธ นายก็เลวพอ ๆ กับพวกเรานั่นแหละ)
“Worse,” หนุ่มผมแดงเสริมทันที “At least we talk to them before we get down. You? Straight to the point.”
(แย่กว่าด้วยซ้ำ พวกเราน่ะ อย่างน้อยยังคุยก่อนลงมือ แต่นายเหรอ? เข้าประเด็นทันที)
“So what? It’s my fault I’m physically gifted enough to skip the small talk?”
(แล้วไงล่ะ? มันผิดเหรอที่ฉันมีพรสวรรค์ทางร่างกายจนไม่ต้องพูดจาไร้สาระนั่นน่ะ)
“God, you’re annoying.” หนุ่มผมเฮเซลพ่นลมหายใจแรง
(พระเจ้า... แกมันน่ารำคาญจริง ๆ)
“I can teach if you want,” เอเดนยักไหล่พลางยิ้มมุมปาก “You already know where to put it, right?”
(ฉันสอนได้นะ ถ้าอยากรู้… ยังจำได้ใช่ไหมว่ามันต้องใส่ตรงไหน?)
เสียงหัวเราะระเบิดขึ้นทันที เมื่อหนุ่มผมเฮเซลง้างหมัดชกเข้าไหล่ของเอเดนอย่างแรง แล้วห้องทั้งห้องก็ดังสนั่นไปด้วยเสียงหัวเราะคิกคักของเหล่าชายหนุ่มที่ไม่รู้จักโตเลยแม้แต่นิดเดียว
ของขวัญเฝ้ามองทุกอย่างอยู่จากด้านนอกผ่านประตูกระจกด้วยสีหน้าที่เริ่มเปลี่ยนจากตกใจเป็นผิดหวัง
ให้ตายสิ—พวกนี้มันสวะชัด ๆ!
เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ก่อนจะได้รู้จักกันจริง ๆ เอเดนจะเป็นคนแบบนี้... หรือว่านี่คือบทสนทนาธรรมดาของผู้ชายกันแน่?
“ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามองใกล้ ๆ แล้วพวกเขาจะดูดีขนาดนี้...”
เสียงกระซิบเบา ๆ จากต้นหอมดังขึ้นราวกับละเมอ เธอหันขวับไปมองเพื่อนแทบไม่ทัน — เดี๋ยวนะ ยัยนี่ไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดเลยสักคำเหรอ!?
“ฉันจะเข้าไปแนะนำตัว...”
“หา?!” ของขวัญคว้าแขนเพื่อนไว้ทันทีแทบจะในเสี้ยววินาทีที่ต้นหอมก้าวเท้า “เธอบ้าไปแล้วเหรอ ต้นหอม! แกคิดว่าพวกเขาเป็นคนดีมากขนาดไหนกันเชียว?”
“แต่ว่าฉันแค่อยากจะ—”
ยังไม่ทันที่ต้นหอมจะพูดจบ เสียงหนึ่งก็แทรกขึ้นมา
“Do you hear something?”
(นายได้ยินอะไรไหม?)
เสียงจากชายหนุ่มผมเฮเซลนัทดังขึ้นเบา ๆ แต่ของขวัญได้ยินชัดเจนทุกคำ
โอ้ไม่...
เธอคว้าข้อมือเพื่อนสุดตัว แล้วลากเธอออกจากจุดนั้นทันทีโดยไม่ลังเล หัวใจเต้นแรงเหมือนกำลังหนีตาย นี่มันเรื่องบ้าอะไรอีก! ยัยหอมจะคลั่งรักวงนี้ก็ให้มันพอดีหน่อยไม่ได้หรือยังไง!?
ขนาดของขวัญที่เคยหลงรักเอเดนจนหัวปักหัวปำ ยังรู้สึกเฟลจนไม่ไหวเลยในตอนนี้...
แล้วต้นหอมล่ะ — ไม่มีความรู้สึกแบบนั้นบ้างเลยหรือยังไง!?
“แกเป็นบ้าไปแล้วเหรอ!” ของขวัญโวยวายทันทีที่พวกเธอมาถึงลานจอดรถ “แกไม่ควรโผล่ออกไปให้พวกเขาเห็นด้วยซ้ำ นั่นมันรุกล้ำความเป็นส่วนตัวนะ รู้ตัวบ้างไหม!”
“มันไม่เป็นไรหรอก!” ต้นหอมเถียงกลับทันควันขณะทรุดตัวลงที่เบาะคนขับ “พวกเขาเป็นคนดี ฉันรู้สึกได้—มั่นใจมากเลยด้วย!”
“แล้วถ้าพวกเขาคิดว่าแกเป็นแฟนคลับขี้ตื๊อล่ะ จะทำยังไง? โดนแจ้งความขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบ!”
ต้นหอมเม้มปากแน่น สีหน้าไม่สบอารมณ์ ขณะที่สตาร์ทรถ เสียงเงียบก็เข้าครอบคลุมทั้งคัน—ความเงียบที่หนาหนักและอึดอัดจนไม่มีใครอยากพูดอะไรอีก แต่เมื่อรถมาหยุดหน้าหอพักของของขวัญ พวกเธอก็โผเข้ากอดกันแน่น ราวกับว่าเรื่องเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้นเลย
“ฉันจะคิดถึงแกมากแน่ ๆ เลย ของขวัญ...” ต้นหอมพูดเสียงเครือ สองแขนรัดแน่นไม่ยอมปล่อย “แล้วแบบนี้ฉันจะไปกวนใครดีล่ะ — ใครจะคอยบ่นฉันเวลาฉันไม่ยอมตื่นไปทำงาน จะมีใครห่วงฉันเหมือนแกอีกไหม...”
ของขวัญหัวเราะเบา ๆ น้ำเสียงเหมือนกลั้นความรู้สึกบางอย่างไว้
“ฉันเองก็คงจะเหงาแย่ถ้าไม่มีแกอยู่ด้วย...”
“โทรหาฉันทุกวันนะ เข้าใจไหม!” ต้นหอมย้ำเสียงแข็ง “ไม่งั้นฉันจะโทรหาทุกวันเลย คอยดู!”
“ได้แน่นอน ถ้าฉันมีเวลา...” ของขวัญยิ้มบาง ๆ ก่อนตอบกลับ “ฉันรักแกนะ เพื่อนรัก”
“ฉันก็รักแกเหมือนกัน” ต้นหอมยิ้มทั้งน้ำตา
พวกเธอแยกจากกันตรงนั้น และเมื่อของขวัญเดินกลับขึ้นมาถึงห้อง ภาพของลีวายก็ผุดขึ้นมาในหัวอย่างไม่ทันตั้งตัว
สองปี — เธอคบกับเขามาสองปีเต็ม เชื่อใจเขาอย่างหมดหัวใจ ไม่เคยรุกล้ำ ไม่เคยสงสัย... ไม่แม้แต่จะคิดว่าผู้ชายคนนั้นจะกล้าทำเรื่องแบบนั้นกับเธอ
พวกเขาเคยเดินเล่นด้วยกัน กินข้าว หัวเราะกับเรื่องไร้สาระ เธอเคยคิดว่า ความสัมพันธ์ของพวกเขาจะไปถึงจุดที่แม่เธอหวังไว้ — แต่งงาน มีบ้าน มีชีวิตคู่ที่มั่นคง
แต่เรื่องอย่างว่า... เธอไม่เคยคิดจะให้เขาได้มัน
เธอแค่อยากเรียนให้จบ ตั้งหลักให้ตัวเอง แล้วค่อยคิดเรื่องนั้นในเวลาที่พร้อมจริง ๆ แต่ตอนนี้ ทุกอย่างมันจบลงแล้ว—จบลงแบบไม่มีวันหวนกลับ
และเธอก็จะไม่มีวันยอมให้เขาเข้ามายุ่งกับชีวิตของเธอได้อีก
ของขวัญล้มตัวลงบนเตียง กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มจากผ้าห่มเก่าผืนบางลอยอวลเข้าจมูก กล่อมหัวใจที่เพิ่งผ่านวันที่หนักหนาให้ค่อย ๆ สงบลง
วันนี้เป็นวันแรกที่เธอได้ย้อนกลับมา...
วันแรก ที่เธอต้องเผชิญหน้ากับความจริงทั้งหมดอีกครั้ง
วันแรก... ที่เธอได้เจอ คนที่จากไปนานแล้ว
และแค่วันแรก มันก็เหนื่อยจนเธอแทบจะหายใจไม่ทัน
แล้วพรุ่งนี้ล่ะ... เธอจะไหวไหม?
ไม่สิ เธอต้องไหว เพราะเธอคือคนเดียวที่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
คนเดียวที่มีโอกาสเปลี่ยนทุกอย่าง
คนเดียวที่—จำได้ว่าจุดจบมันเลวร้ายแค่ไหน
เธอหลับตาลงอย่างเงียบงัน หัวใจยังเต้นแรงด้วยคำสัญญาที่ให้ไว้กับตัวเอง
ไม่มีใครย้อนเวลากลับมาด้วย
ไม่มี “พระเจ้า” คนไหนจะช่วยเธอ
ไม่มีปาฏิหาริย์ใด ๆ ทั้งนั้น
มีแค่เธอ—ของขวัญ
กับอดีตที่ยังไม่ได้รับการให้อภัยและความจริงที่เธอยังพูดไม่ทันได้เอ่ยออกไปเลยสักครั้ง...
คราวนี้...ฉันจะไม่ยอมพลาดอีกแล้ว
นาตาลีใช้แอปฯ เรียกรถให้มารับที่หน้าคอนโดฯ แล้วปักหมุดไปยังจุดหมายที่เธอจำได้แม่นยำราวกับมันฝังอยู่ในดีเอ็นเอ — ท่าเรือแคมบริดจ์ พอร์ทรหัส USY ที่นั่นมีโกดังหลังหนึ่งซึ่งจากภายนอกดูเก่าคร่ำคร่าเกือบจะร้าง ทั้งที่ความจริงแล้วมันถูกจัดแต่งอย่างจงใจให้ดูโทรม — “โทรมแบบมีคอนเซปต์” มากกว่าโทรมจริงการจะเข้ามาถึงจุดนี้ได้ไม่ง่ายเลย ด่านรักษาความปลอดภัยหลายชั้นทำเอาเธอแทบถอดใจกลางทาง แต่ในที่สุด... ก็ยืนอยู่ตรงหน้าโกดังหมายเลข 7 — โกดังเก็บของขนาดใหญ่ที่ต้นสังกัดซื้อไว้เพื่อใช้เป็นสถานที่ซ้อมลับเฉพาะของวง ไซเรนจำนวนรถยนต์ที่จอดเรียงรายอยู่ด้านหน้าโกดังชัดเจนพอจะฟันธงได้ว่า... ลิงทั้งห้า น่าจะอยู่กันครบถ้วนทุกตัวแน่นอนนาตาลีเลือกใช้ทางลับ — เส้นทางที่ไม่มีใครรู้ นอกจากเธอกับเอเดน ทางที่เคยใช้ด้วยกันเป็นประจำในอดีตชาติที่เธอจำได้ไม่ลืมหัวใจเธอหวิวขึ้นมาเล็กน้อยในระหว่างที่ก้าวเดินอย่างเงียบเชียบผ่านตรอกแคบ ๆ ข้างโกดังเขาจะสงสัยไหมว่าเธอรู้ได้ยังไง?หรืออาจจะถามเลยว่าเธอเป็นใครกันแน่?หรือไม่ก็แค่จ้องมาด้
นาตาลีตื่นขึ้นมาในเช้าวันหยุดด้วยใบหน้าบวมเป่ง ราวกับเพิ่งโดนฝ่ามือของความจริงตบซ้ำซากหลายครั้งไม่ให้ทันตั้งตัว ขอบตาคล้ำลึก เครื่องสำอางเก่าที่ไม่ได้เช็ดออกจนหมดทำให้ดวงตาดูเลอะเลือนคล้ายงานศิลป์ที่เปียกฝน และเส้นผมกระเซอะกระเซิงเหมือนคนเพิ่งรอดพ้นพายุมาไม่ต้องส่องกระจกก็รู้—สภาพเธอตอนนี้แย่เกินจะออกไปรับแดดเธอถอนหายใจแรง ๆ ยกมือขึ้นกุมขมับเมื่อความปวดหัวแล่นขึ้นมาราวกับคีมเหล็กบีบสมอง ทั้งเสียงของแม่ที่ยังวนเวียนในหัวไม่หยุด และภาพเมื่อคืนที่เอเดนโอบเธอไว้แน่นยังฝังแน่นอยู่ในความทรงจำ“ไม่ ไม่สิ — หยุด! ของขวัญ แกต้องตั้งสติ”เสียงในหัวเธอสั่งอย่างนั้นนาตาลีรีบล้างหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้า และเดินออกมาจากห้องนอนราวกับหนีออกจากฝันร้าย แพนเค้กง่าย ๆ สักสองสามแผ่นอาจพอช่วยให้สมองของเธอกลับมาทำงานได้ในห้องครัวที่เงียบเกินไป เสียงตีแป้งกลับชัดเจนราวกับมีไมค์จ่ออยู่ ความคิดที่พยายามผลักไสก็เริ่มกระซิบขึ้นมาอีกครั้ง…ทำไมถึงได้มาอยู่ที่นี่กับเขา — กับคนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นคนไกลแสนไกล และไม่คิดว่าจะได้เข้
เสียงริงโทนเก่า ๆ ดังขึ้นภายในกระเป๋า สะท้อนก้องไปในลิฟต์ที่เงียบสงัดราวกับห้องสารภาพบาป นาตาลีหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาช้า ๆ — ลึก ๆ เธอหวังว่าอาจจะเป็นต้นหอม แต่ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอกลับไม่ใช่...“ค่ะ แม่…”[เดินทางไปถึงแล้วใช่ไหม เป็นยังไงบ้าง]“ก็ดีค่ะ... หมายถึงโดยรวม”[แม่ไม่ได้หมายถึงแบบนั้น แนต — แม่หมายถึงงาน เรียน แล้วก็ที่สำคัญที่สุด... เรื่องของ ‘ลีวาย’]ลมหายใจของเธอขาดช่วงแผ่วเบาในลิฟต์ที่เงียบสนิท ราวกับคำพูดของแม่กดทับอะไรบางอย่างในอก — ไม่ใช่ห่วง แต่เป็น... ความคาดหวังที่ไม่เคยมีที่สิ้นสุด“งานโอเคค่ะ... หัวหน้าก็ดี เพื่อนร่วมงานก็ดีมากเลย บริษัทก็บรรยากาศดี—เรื่องเรียน แม่ไม่ต้องห่วงเลย หนูคิดว่าสิ่งที่ได้จากงานนี้ช่วยให้หนูเรียนได้ดีขึ้นแน่นอนค่ะ”[แล้วลีวายล่ะ?]ความเงียบยาวเกิดขึ้น ราวกับเวลาถูกยืดออกด้วยแรงโน้มถ่วงจากชื่อที่เอ่ยถึง คำตอบนั้นอยู่ที่ริมฝีปากเธอแล้ว เพียงแต่... ไม่ว่าจะพูดออกไปยังไง มันก็ “ผิด” สำหรับแม่อยู่ดี
“มันจะช่วยอะไรได้จริงเหรอเนี่ย...”วัตสันพึมพำเสียงเบา มือยังยกแก้วน้ำขึ้นจรดริมฝีปากราวกับใช้มันเป็นเกราะกำบังจากโลกภายนอก เธอไม่แม้แต่จะปรายตามามองคู่สนทนา สายตาของเธอทอดยาวออกไปยังบรรยากาศโดยรอบห้องวีไอพี ที่เริ่มวุ่นวายขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับตลาดยามค่ำคืน“ดูคนพวกนั้นสิ...” เธอเสริม น้ำเสียงไม่ติดจะเหนื่อยใจ “เหมือนอดอยากความบันเทิงมาทั้งชีวิต”นาตาลีเหลือบตามองตามคำพูดของเพื่อนร่วมงานเบื้องหน้า — เจมส์กำลังกระดกเหล้าเพียว ๆ ราวกับดื่มน้ำผลไม้ สีหน้ารื่นเริงเกินเหตุ ท่ามกลางเสียงเพลง EDM จังหวะยวบ ๆ จากลำโพงที่ไม่มีใครขอ แต่ทุกคนก็ยอมรับมัน“แล้วลมอะไรพัดเธอมานี่ล่ะ” เสียงของนาตาลีดังพอได้ยินแค่กันสองคน หยอกเย้าแต่ก็ซ่อนความสงสัยจริงจังไว้เล็กน้อย “นึกว่าเธอจะรอให้คุณเจรอสโลว์มาด้วยซะอีก ถึงจะยอมขยับตัว”
เช้าวันถัดมาหลังจากจัดการตัวเองเรียบร้อย นาตาลีออกจากห้องพร้อมกาแฟแก้วหนึ่งและแซนด์วิชในมือ — ของสองสิ่งที่พอจะยึดเหนี่ยวเธอไว้ในเช้าวันใหม่ได้เธอใช้วันทำงานอย่างตั้งใจจนน่าแปลกใจ แม้เมื่อค่ำคืนก่อนจะเต็มไปด้วยความฝันที่... เอ่อ... วาบหวามเกินจะบรรยาย และถึงแม้ตอนเช้าจะสะดุ้งตื่นตกเตียงไปแบบสิ้นสภาพ นั่นก็ไม่ได้ลดทอนความตั้งใจในการทำงานของเธอลงเลยแม้แต่น้อยเพราะในเส้นทางใหม่นี้ เธอไม่มีเวลาจะหลงทางอีกแล้วช่วงพักกลางวัน นาตาลีเลือกเดินขึ้นไปยังดาดฟ้าของตึก บรรยากาศที่เงียบสงบและลมเย็นที่พัดปะทะใบหน้าเบา ๆ ทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูกแสงแดดอ่อน ๆ กระทบเส้นผมของเธอขณะที่เธอนั่งลงบนม้านั่งไม้ กาแฟแก้วที่สองอยู่ในมือ และแซนด์วิชอีกชิ้นที่ยังไม่ได้แกะห่อวางอยู่ข้างตัวเธอมองไปยังขอบฟ้าที่ไกลลิบ ภาพสะท้อนของตึกสูงเบื้องหน้าเป็นเหมือนโลกอีกใบที่เธอยังไม่เข้าใจ &mdas
หลังมื้ออาหาร เอเดนลุกขึ้นก่อน ค่อย ๆ เก็บจานชามอย่างเงียบ ๆ เขาเดินไปยังอ่างล้างจานโดยไม่พูดอะไรเพิ่ม แผ่นหลังสูงใหญ่เคลื่อนไหวอย่างเป็นจังหวะ ท่ามกลางแสงไฟสลัวที่ส่องกระทบเส้นผมเขาให้ดูอ่อนโยนกว่าปกตินาตาลีมองภาพนั้นเงียบ ๆเขาไม่เคยชอบให้ใครเข้ามาวุ่นวายในพื้นที่ส่วนตัวของเขา ไม่ชอบให้ใครเดินผ่านหลัง หรือทำอะไรโดยไม่บอกล่วงหน้า — เธอรู้ดี เพราะเธอเคยอยู่ตรงนี้มาก่อน...แล้วทำไม ครั้งนี้ถึงต่างออกไป?เธอพยายามบอกตัวเองไม่ให้คิดมาก แต่กลับห้ามไม่ทัน คำถามโง่ ๆ อย่าง “เขาสงสารเราหรือเปล่า?” แล่นขึ้นมาในหัว และที่แย่กว่านั้นคือคำถามที่สอง — “หรือว่า... เขาเริ่มรู้สึกอะไรบางอย่างกับเราแล้ว?”เธอเผลอพูดขึ้นเบา ๆ ขณะมองแผ่นหลังของเขา"...นายดูดีนะ ตอนล้างจานน่ะ"เอเดนหยุดมือไปชั่ววินาที ก่อนจะหันกลับมาพร้อมยิ้มที่ยากจะตีความ"นี่เธอชมฉันเหรอ?" เขาพูดพลางเดินกลับมาช้า ๆ "เขินเลยนะครับเนี่ย"นาตาลีหลบตาเล็กน้อย หัวใจเธอเริ่มเต้นแรงโดยไร้เหตุผลเขามาหยุดอยู่ตรงหน้า กลิ่นโคโลญจ์จาง ๆ ผ