แสงอรุณทอประกายเหนือกำแพงสูงใหญ่ของ นครจิ้งโจว เมืองหลวงแห่งอาณาจักรต้าเจา มองจากมุมสูงจะเห็นยอดหลังคาพระราชวังสีทองอร่ามสลับกระเบื้องมรกตลุกวาวดุจคลื่นทะเลในยามเช้า
มหานครจิ้งโจว แห่งนี้คือศูนย์กลางแห่งความรุ่งเรือง ผู้คนต่างเรียกขานว่า ‘หัวใจแห่งต้าเจา’ ถนนสายใหญ่ทอดตรงจากประตูเมืองสู่พระราชวัง ที่ประดับพื้นด้วยหินอ่อนที่ปูเรียงกันเป็นแนวยาวเป็นประกายวาววับเมื่อแสงแดดสาดส่อง
สองฟากถนนหลวงสายหลักเต็มไปด้วยหอคณิกาหรูหรา โรงสุรามีชื่อ และโรงน้ำชาที่ขุนนางและนักปราชญ์แวะเวียนไม่ขาด เสียงพิณขับกล่อมแว่วจากหน้าต่างชั้นสองคลอเคล้ากับเสียงหัวเราะรื่นเริงของบรรดานักกวี
มีร้านผ้าไหมจากแดนซูโจวแขวนแพรพรรณหลากสีงดงาม ล่อตาล่อใจสตรีในตระกูลสูงศักดิ์ให้หยุดชม
ตลาดย่านตะวันออกอบอวลด้วยกลิ่นเครื่องเทศหอมกรุ่นจากแดนไกล หีบชาเขียวจากแคว้นหนานหรงกองสูงเป็นภูเขา
ถัดไปเป็นร้านขายหยกและทองคำที่เปล่งประกายราวภูผาเงินภูผาทอง เสียงพ่อค้าเรียกลูกค้าขายแข่งกันดังขรม ขณะที่เกวียนสินค้าจากหัวเมืองต่างก็ทยอยเข้ามาในนครไม่ขาดสาย
เหนือหลังคาร้านค้าเป็นหอชมวิวสูงเสียดฟ้า แขวนระฆังทองทุกทิศ เมื่อกระแสลมพัดผ่าน เสียงกังวานดังก้องประหนึ่งบทเพลงสวรรค์ ผู้มาเยือนนครหลวงจึงมักเงยหน้าชมด้วยความตะลึง
ก่อนก้มลงมองฝูงชนบนถนน ตั้งแต่ขุนนางในอาภรณ์ไหมทอง ชาวบ้านในชุดผ้าฝ้ายสะอาด ไปจนถึงนักพรตผู้แบกคัมภีร์และพระภิกษุที่เดินโปรดสัตว์ หลอมรวมเป็นภาพชีวิตที่คึกคักมีชีวิตชีวา
กระทั่งยามเหม่า (ตีห้า) เสียงฆ้องและกลองจากหอประตูวังหลวงก็ดังกังวาน ประกาศการเสด็จของผู้สูงศักดิ์ ไม่ช้าขบวนรถม้าใหญ่ก็เคลื่อนพ้นซุ้มประตู ผู้คนจึงได้เห็นชัดว่าเป็นขบวนของ หลีไทเฮา มารดาแผ่นดิน และ ฉางหลันจ่างกงจู่ หลิ่วถิงเยว่
ม้าศึกนับร้อยตัวในชุดเกราะเงินสลับทองเรียงรายสองฟากถนน เงาหอกและทวนสะท้อนแดดวับวาว นำหน้าด้วยธงแพรสีแดงปักลายมังกรหงส์โบกสะบัดกลางสายลม องครักษ์หลวงยืนขวางผู้คนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย จนได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าม้าสะท้อนก้องไปไกลเป็นลี้
รถม้าหลวงประดับลายหงส์สี่ตัวกำลังกางกรงเล็บเหนือกลีบเมฆ ห้อยระย้าด้วยม่านมุขและระฆังเงินนับร้อย ทุกครั้งที่ล้อรถม้าเคลื่อนไป เสียงกระดิ่งเงินจะประสานดุจท่วงทำนองสวรรค์ รอบขบวนยังมีรถม้าน้อยของนางกำนัลและขันทีเรียงรายเป็นแถวแน่นหนา
ชาวเมืองที่มุงดูต่างพากันซุบซิบเสียงตื่นตะลึง
“นั่นคือฉางหลันจ่างกงจู่…แม้เห็นเพียงเงาเลือนรางก็ยังงามสง่าถึงเพียงนี้เสียดาย…”
“หุบปาก เจ้าอยากตายหรือ นางคือดวงใจของไท่หยางฮ่องเต้และหลีไทเฮา หาใช่ผู้ใดจะนำมาเอ่ยซุบซิบนินทาได้!”
เมื่อม่านแพรสีทองของรถม้าหลวงเผยช่องว่าง แสงอรุณสาดต้องปรางค์พักตร์ หลิ่วถิงเยว่ จ่างกงจู่ผู้สูงศักดิ์ ใบหน้านวลละอองดุจจันทรา ดวงตาลุ่มลึกดังประกายน้ำในบึงหยก กิริยาสง่างามสูงส่งจนผู้คนยากจะละสายตา
ขบวนเสด็จเคลื่อนไปตามถนนสายหลัก มุ่งหน้าสู่ อารามหลวงบนเขาถานไถ่ เพื่อบำเพ็ญกุศลใหญ่ ฟ้าดินคล้ายหยุดมอง ความโอฬารของขบวนและความงามขององค์หญิง กับหลีไทเฮาได้ตราตรึงอยู่ในความทรงจำของชาวนครจิ้งโจวเช้าวันนั้น วันที่จันทรางามแห่งต้าเจ้าปรากฏขึ้นต่อหน้าฟ้าดิน
หลิ่วถิงเยว่ จ่างกงจู่ผู้สูงศักดิ์แห่งอาณาจักรต้าเจา ด้วยฐานะน้องสาวแท้ ๆ เพียงคนเดียวของไท่หยางฮ่องเต้ นางได้รับการเลี้ยงดูฟูมฟักด้วยความรักและความลำเอียงมาตั้งแต่วัยเยาว์ สิ่งใดอยากได้ก็ต้องได้ สิ่งใดอยากทำก็ไร้ผู้ใดห้ามปราม
นางเติบโตมาอย่างดื้อรั้น เอาแต่ใจ และชินชากับการมีผู้คนคอยตามใจ ทั่วทั้งราชสำนักและตระกูลใหญ่ไม่มีใครไม่รู้ชื่อเสียง “ฉางหลันจ่างกงจู่” หญิงงามผู้เลื่องลือว่ามีนิสัยอันธพาล
หากขัดใจเพียงน้อยนิด คุณชายตระกูลใหญ่หรือบ่าวไพร่ต่างเคยลิ้มรสหมัดและเท้าของนางมาแล้วทั้งสิ้น นางหัวเราะเมื่อได้ในสิ่งที่ต้องการ และไม่ลังเลจะระบายโทสะเมื่อถูกขัดขวาง ผู้คนล้วนร่ำลือว่า
“หากฉางหลันจ่างกงจู่โปรดปรานใครก็ยกย่องปานดวงจันทร์ แต่หากชังน้ำหน้า ต่อให้เป็นบุตรแม่ทัพใหญ่ก็อาจถูกนางถีบตกสระได้!”
ทว่าไม่มีผู้ใดคาดคิดเลยว่า สตรีเอาแต่ใจผู้นี้จะต้องเผชิญชะตาพลิกผันด้วย หยกแขวนลึกลับ เพียงชิ้นเดียว เครื่องรางที่นางซุกซนหยิบฉวยมาจากเบื้องหน้าองค์พระในอารามถานไถ่เมื่อสองเดือนก่อน!
ในรถม้าหลวงคันงาม ถิงเยว่หลับตาลง พลันหวนรำลึกถึงเหตุการณ์วันนั้น
นางติดตาม หลีไทเฮา หรือหลีเหรินลี่ ผู้เป็นมารดา เสด็จขึ้นเขาศักดิ์สิทธิ์ถานไถ่ เพื่อสักการะและอธิษฐานเบื้องพระพักตร์เทพเจ้าสวรรค์เช่นปกติ ข้างกายนั้นมี ติ้งกงกง ขันทีคนสนิท และ หลินหมัวมัว นางกำนัลผู้รับใช้คู่กายคอยตามติดไม่ห่าง…
ข้างกายของนาง มีทั้ง อาหลิว นางกำนัลวัยสิบแปด และ อากุ่ย ขันทีคู่ใจในวัยเดียวกัน คอยติดตามปรนนิบัติราวเงาตามตัว
สายลมฤดูวสันต์พัดกลีบดอกเหมยปลิวว่อนตามขั้นบันไดศิลา เสียงระฆังวัดกังวานคลอด้วยสาธุการจากวิหารใหญ่ด้านบน บรรยากาศศักดิ์สิทธิ์สงบเย็นยิ่งนัก
หลีไทเฮา ก้าวเดินอย่างสงบสง่า สมฐานะมารดาแห่งแผ่นดินที่อายุยังน้อยเพียงสามสิบเจ็ดปีเท่านั้น
ตรงกันข้ามกับบุตรสาวผู้ซุกซน แม้สวมอาภรณ์งดงามก็ยังมิอาจขัดขวางการเล่นสนุกของนางได้ นางแอบยกชายกระโปรงวิ่งไล่จับกลีบดอกเหมยที่ปลิวว่อน พลางหัวเราะคิกคักให้เหล่านางกำนัลแตกตื่น
“ถิงเยว่! เจ้าลูกคนนี้…”
เสียงตำหนิแผ่วต่ำของหลีไทเฮาดังก้องกลางลม ดวงพักตร์งามสง่าแฝงความระอา แต่สายตายังคงอ่อนโยนดังเดิม
“ขึ้นเขามาสักการะ ไม่ใช่ให้เจ้ามาวิ่งเล่นเหมือนอยู่ในสวน”
“หม่อมฉันเพียงเห็นดอกเหมยงามนัก เลยอยากเก็บไว้ชมบ้างเพคะ เสด็จแม่อย่ากริ้วเลย!”
ถิงเยว่วิ่งกลับมากล่าวเสียงเจื้อยแจ้ว พลางหัวเราะแก้เก้อ หลีไทเฮาส่ายพระเศียรเบา ๆ ไม่ได้กล่าวตำหนิอีก นางรู้ดี บุตรสาวคนนี้เอาแต่ใจมาตั้งแต่เล็ก หากขัดใจ ก็มักต้องมีผู้ใดเจ็บตัวอยู่ร่ำไป
ขบวนเสด็จใกล้ถึงวิหารตะวันออก หลีไทเฮาแยกเข้าไปสนทนากับ สือเหล่าซือไท่ ส่วนถิงเยว่ผู้ไม่โปรดการถกปัญหาธรรม กลับเดินเลี่ยงตรงไปยังเบื้องหน้าองค์พระใหญ่ บริเวณนั้นมีผู้คนน้อย จึงเป็นที่ที่นางชอบใช้หลบเลี่ยงมารดาอยู่เสมอ
พลันสายตาของนางสะดุดกับแสงสะท้อนวาววับสะท้อนจากเปลวเทียนหลายสิบเล่มตรงฐานหินด้านข้าง นางก้าวเร็วเข้าไป หยิบสิ่งนั้นขึ้นมาพลิกดู
เป็น หยกแขวนสีเขียวเข้ม แกะลวดลายประหลาดดุจมังกรคดเคี้ยวพันดอกไม้
“อะไรกันนี่…หยกลายแปลกตานัก!”
ถิงเยว่ายกขึ้นส่องกับแสงเทียน ดวงตาเป็นประกายพลางยิ้มชอบใจ
อาหลิวรีบโค้งลง มองแล้วเอ่ยเสียงเบา
“จ่างกงจู่เพคะ…หรือจะมีผู้ใดทำตกไว้ หากเป็นของมีค่า ควรตามหาเจ้าของให้พบกระมัง”
ถิงเยว่วางมือลงบนเอว เบ้ปากทันที
“ของตกอยู่ต่อหน้า ย่อมเป็นของสวรรค์ประทาน! เช่นนี้ ย่อมเป็นของเปิ่นกงจู่แล้วสิ!”
อากุ่ยที่ยืนอยู่ด้านหลังเหลือบตามอง ก่อนรีบหลุบตาลง กลัวถูกลากเข้าเรื่องเอาแต่ใจอีก อาหลิวเองก็เม้มปากเงียบ ไม่กล้าโต้แย้งต่อ
ครั้นถิงเยว่นำเรื่องไปบอกมารดา หลีไทเฮามองบุตรสาวที่หัวเราะพลางคล้องหยกไว้กับสายรัดเอว ก็เพียงทอดถอนพระทัย
“เจ้าลูกคนนี้…สิ่งใดอยู่ตรงหน้า ก็มักคิดว่าเป็นของตน หากบังเอิญเป็นหยกต้องห้าม จะทำอย่างไรเล่า”
“เสด็จแม่วางใจ อาเยว่ชอบนัก ต่อให้ผู้ใดมาแย่งก็ไม่ยกให้เด็ดขาด!”
ถิงเยว่เชิดหน้าตอบอย่างมั่นใจ ริมฝีปากคลี่ยิ้มซุกซน หาได้ล่วงรู้ไม่ว่า
หยกแขวนเพียงชิ้นเดียวนี้ กำลังจะเปลี่ยนชะตาของนางและทั้งแผ่นดินต้าเจาไปตลอดกาล…
คืนนั้น ตำหนักฉางหลันตกอยู่ในความเงียบงัน แสงจันทร์สาดลอดหน้าต่างสูง เงาม่านไหมสีเงินพลิ้วระริกดุจต้องมนต์จากฟ้าดิน
หลิ่วถิงเยว่ ค่อย ๆ หลับตา ทว่าในชั่วพริบตาก้าวเข้าสู่ห้วงฝันอันสะพรึง!
นางเห็นตนเองนั่งบนเตียงผ้าไหมสีชาด มือเรียวประคองครรภ์ที่กำลังเติบโต ดวงหน้าฉายความหวังของมารดา ทว่าความสงบกลับถูกฉีกทึ้ง
เสียงฝีเท้าหนักแน่นแว่วมา ประตูไม้หนาถูกผลักเปิดอย่างแรง ร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์ดำขลับก้าวเข้ามา ใบหน้าถูกกลบด้วยเงามืด เห็นเพียงเค้าโครงเลือนรางไม่ชัดเจน หัวใจถิงเยว่สั่นสะท้าน น้ำตารื้นขึ้นโดยไม่รู้เหตุ ริมฝีปากกลับเผลอเอ่ยชื่ออย่างแผ่วเบา
“อวิ๋นโม่…”
ราวกับวิญญาณในกายของนางจดจำเขาได้ ทั้งที่นางแน่ใจว่าตนเองไม่เคยพบบุรุษรูปร่างเช่นนี้มาก่อน ทว่ากลับคุ้นเคยจนน่าตกใจ เหมือนเขาคือสามี ผู้เคยเป็นที่รักและพึ่งพิงที่สุดในชีวิตของนาง แต่แววตาที่ส่องมาจากเงามืดนั้นกลับเย็นเฉียบ ไร้ซึ่งอาวรณ์ใด ๆ
เพียงพริบตาเดียว แสงจันทร์สะท้อนคมดาบที่ถูกชักขึ้นสูง สายฟ้าผ่าเปรี้ยงกลางราตรี คมดาบกรีดผ่านครรภ์อันเปราะบาง โลหิตสดนองพื้นหิน เสียงหยดเลือดกระทบพื้นดังสะท้านไปทั้งห้อง
ร่างถิงเยว่ทรุดลง ความเจ็บปวดแล่นวาบแทบขาดใจ โลกตรงหน้าพลันสั่นไหว เปลี่ยนเป็นภาพเพลิงสงครามในท้องพระโรง เสียงฆ้องกลองสะท้อนสนั่น เลือดนองบันไดหินสลัก หลิ่วเยี่ยนเฟย พี่ชายของนาง ถูกฟันคอสิ้นชีวิต หลีไทเฮา มารดาถูกผลักล้มลง ก่อนตวัดดาบฟันซ้ำ เลือดสดไหลรินทั่วลาน
“ไม่! ได้โปรดอย่าทำพวกเขา!!”
ถิงเยว่กรีดร้อง แต่เสียงถูกกลืนหายไปในเพลิงและคมดาบ บุรุษลึกลับหันกลับมาทางนางอีกครั้ง แม้ใบหน้ายังไม่ชัดเจน แต่ดวงตาคู่นั้นกลับเย็นเยียบประหนึ่งมัจจุราช
คมดาบพุ่งตรงเข้าหา…
“อวิ๋นโม่…เหตุใดเจ้าต้อง…”
เสียงยังไม่ทันสิ้น ร่างถิงเยว่เหมือนถูกผลักตกหน้าผาสูง วูบหายไปในห้วงว่างเปล่า
เฮือก!!!
ถิงเยว่าสะดุ้งตื่นกลางดึก เหงื่อเย็นชโลมกาย หอบหายใจราวถูกผีร้ายไล่ล่า สองตายังพร่ามัวด้วยน้ำตา แต่หัวใจสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวดและเสียใจอันไม่อาจอธิบาย
นับจากคืนนั้น หลิ่วถิงเยว่ไม่เคยได้หลับอย่างสงบอีกเลย…
คืนแล้วคืนเล่า ภาพฝันสลับหมุนวน บ้างก็สยดสยอง เลือดนองและเสียงกรีดร้อง บ้างก็เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ทุกครั้ง…
…มันกลับเกิดขึ้นจริงภายในไม่เกินเจ็ดวัน!
ครั้งหนึ่ง นางฝันเห็นถ้วยชาโปรดตกจากโต๊ะและแตกกระจาย รุ่งเช้าเพียงยกขึ้นจิบ กลับลื่นจากมือหล่นแตกตามภาพในฝัน
อีกครั้ง นางฝันเห็นแจกันหยกริมหน้าต่างโถงกลางเอียงคล้ายจะล้ม ไม่นานลมแรงพัดผ้าม่านสะบัดชน แจกันนั้นก็หล่นกระแทกพื้นแตกจริง
บางคืน นางฝันเห็นอากุ่ย ขันทีคนสนิท สะดุดหกล้มหน้าบันไดศิลา เพียงสามวันถัดมา เหตุการณ์ก็เกิดขึ้นจริงไม่ผิดเพี้ยน
กระทั่งคืนหนึ่ง นางฝันเห็นอาหลิว นางกำนัลคู่ใจ ถูกมีดบาดนิ้วจนเลือดซึม รุ่งขึ้นขณะช่วยนางแกะผลไม้ มีดเล็กก็กรีดผ่านปลายนิ้วอาหลิว เลือดหยดลงบนผ้าเช็ดปากสีขาวดั่งต้องคำสาป
แรกเริ่มถิงเยว่ายังหัวเราะกลบเกลื่อน บอกตนเองว่าเป็นเรื่องบังเอิญ ทว่าครั้นเหตุเล็กน้อยทุกสิ่งกลับเป็นจริง…ไม่เว้นสักครั้งเดียว หัวใจของนางก็ค่อย ๆ หนักอึ้ง ความหวาดกลัวกัดกินราวเงามืดที่คืบคลานยามค่ำคืน
หรือหยกนี้จะเป็นหยกปีศาจ!
ความกลัวทำให้นางนอนไม่หลับจนสุขภาพถดถอย ไท่หยางฮ่องเต้ถึงกับกลัดกลุ้มด้วยความอาทรน้องสาวจึงให้หมอหลวงตรวจรักษา
แต่สองเดือนไม่ดีขึ้นหลีไทเฮาจึงตัดสินพระทัยพาถิงเยว่หวนกลับขึ้นเขาถานไถ่อีกครั้ง หวังนำหยกแขวนลายแปลกตานั้นมาคืนสถานที่เดิม และสวดมนต์ขับไล่ฝันร้ายให้หมดสิ้น…
ตอนที่ ๒๔ || ตามหารอยสักหมาป่าคำรามดังนั้นพอถึงวันถัดมา หลิ่วถิงเยว่ตื่นขึ้นด้วยดวงตาที่ใต้ดวงตาดำคล้ำ แต่ความมุ่งมั่นกลับหนักแน่นยิ่งกว่าเดิมหลิ่วถิงเยว่นำภาพวาดที่ตนเขียนไว้ติดตัวออกจากตำหนักฉางหลันหลังนางกินมื้อเช้าเรียบร้อยแล้ว ขันทีนางกำนัลพากันขบวนติดตาม นางกำนัลประจำหอตำราหลวงต่างรีบออกมาก้มศีรษะต้อนรับด้วยความเคารพ หลังอากุ่ยไปแจ้งว่าฉางหลันจ่างกงจู่ต้องการศึกษาตำราฉางหลันจ่างกงจู่ ผู้สูงศักดิ์เสด็จมาอ่านตำรา ใครเล่าจะกลัวขวางทาง ไม่ว่านางจะไปแห่งหนใด ขุนนางทั้งหลายล้วนต้องถอยหลีกทางร่างอรชรก้าวเข้าสู่หอตำราหลวงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แสงอาทิตย์สาดลอดหน้าต่างสูงสะท้อนคัมภีร์และตำราที่เรียงรายสุดสายตา เสียงฝีเท้าของถิงเยว่ดังก้องไปตามทางเดินที่ถูกขันทีและนางกำนัลผู้ดูแลหอตำราขัดถูจนสะอาดเงาวับตลอดวันนั้น นางกางภาพหมาป่าดำเทียบกับตำราไปไม่น้อย มือเล็กหยิบเล่มแล้วเล่มเล่า ไล่ค้นทั้งหมวดสัตว์ป่าหวงห้าม ตำราพิธีบูชา ไปจนถึงบันทึกตำนานโบราณ ทว่าทุกเล่มล้วนเงียบงันไร้คำตอบวันเดียวไม่พอ…สองวันก็ยังว่างเปล่าจนกระทั่งครบเจ็ดวันเต็ม นางยังวนเวียนอยู่ที่หอตำราหลวง ใบหน้างามมีแต่ซีดขาวเพ
ตอนที่ ๒๓ ||ใต้หล้าล้วนผิดต่อข้า!เสียงฆ้องสามครั้งดังสะท้อนทั่วตำหนักจิ้งหยางหลังไท่หยางฮ่องเต้มีดำรัสให้เลิกงานเลี้ยงเพียงเท่านี้ แขกเหรื่อแตกตื่นลุกขึ้นก้มศีรษะคำนับตามรับสั่ง ไท่หยางฮ่องเต้เสด็จออกจากท้องพระโรงพร้อมหลีไทเฮาเหลือทิ้งไว้เบื้องหลังเพียงเสียงซุบซิบอื้ออึงของเหล่าบัณฑิตและขุนนางที่ยังไม่ทันดื่มกินให้สำราญใจ งานเลี้ยงที่ควรเป็นเกียรติสูงสุดกลับถูกยุติกลางคันด้วยเหตุการณ์ไม่คาดฝันในความวุ่นวายนั้น ซ่งอวิ๋นโม่ ยืนนิ่งราวถูกตอกตรึงไว้กับพื้น ริมฝีปากเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง ดวงตาที่เคยสว่างวาบไปด้วยความหลงใหล กลับมืดครึ้มลงอย่างน่ากลัวเพียงเพราะหญิงงาม เขากลับหลงลืมภารกิจสำคัญไปจนสิ้น!ซ่งอวิ๋นโม่กำหมัดแน่น เล็บจิกลงบนฝ่ามือจนเลือดซึม ร่างสั่นสะท้านด้วยความโกรธแค้นต่อตนเองที่หลงลืมเพลิงแค้นยี่สิบปี เพียงสบตากับซือหม่าอวี้ หลงลืมเป้าหมายที่จะโดดเด่นต่อไท่หยางฮ่องเต้ และทำตนให้สะดุดตาฉางหลันจ่างกงจู่อวิ๋นโม่เอ๋ย อวิ๋นโม่ เจ้าช่างโง่งมสิ้นดี! เจ้ามาเพื่อแก้แค้น เพื่อชะตาตระกูล ที่สูญสิ้นเพราะพวกคนแซ่เหลิ่วมิใช่มาเพื่อจมอยู่ในห้วงรักแรกพบที่ไร้ค่า!ใบหน้าที่เคยสงบนิ่งกลับบิดเ
ทันทีที่เสียงขันทีใหญ่เอ่ยขานจบ บุตรสาวคนรองแห่งจวนติ้งถิงโหว ซือหม่าอวี้ ก้าวออกจากแถวด้วยกิริยาสงบ ดวงตาคมกริบสะท้อนประกายมั่นใจ งามหยดย้อยแต่แฝงกลิ่นอายดุดันของนักรบหญิงถัดมา ซือหม่าหยวน พี่ชายคนโต ก้าวออกเคียงข้างใน อาภรณ์ขุนนางฝ่ายบู๊สีชาดขลิบทอง สง่างามราวเพลิงไฟ มิใช่ชุดออกศึกเช่นยามอยู่ที่ค่ายทหาร ท่วงท่ามั่นคงดุดันสมฐานะแม่ทัพผู้ปกป้องบูรพาสองพี่น้องหยุดยืนกลางท้องพระโรง ค้อมกายคำนับบัลลังก์มังกร ก่อนที่ขันทีจะส่งกระบี่ยาวคู่หนึ่งเข้ามาในมือเสียงดนตรีพลันเปลี่ยนเป็นจังหวะหนักแน่น กลองใหญ่กระหึ่มก้อง ปี่และขลุ่ยสอดประสานดุจเสียงลมกรรโชกซือหม่าอวี้สะบัดปลายแขนยกกระบี่ขึ้น ฟาดหมุนวาดเป็นวงกลมงดงาม ก่อนพุ่งก้าวไปข้างหน้าเหมือนพยัคฆ์สาวตะปบเหยื่อ กระบี่ในมือนางเปล่งแสงสะท้อนกับแสงโคมไฟระยิบระยับราวอัสนีแลบซือหม่าหยวนโต้ตอบด้วยกระบี่ที่มั่นคงและทรงพลัง ทุกกระบวนท่าผสานรับส่งกับน้องสาวอย่างคล่องแคล่ว หนักแน่นเสมือนขุนเขา แต่ก็พลิ้วไหวราวสายน้ำเสียงเหล็กกระบี่กระทบกันดัง เคร้ง! ก้องกังวานสะท้อนทั่วท้องพระโรง ทุกสายตาจับจ้องร่างทั้งสองที่เคลื่อนไหวประสานกันไม่ต่างจากบทกวีแห่งสงคร
ราตรีหนึ่งในราชสำนักต้าเจาในปลายฤดูร้อนกลางเดือนห้าเจิดจ้าด้วยแสงประทีปนับหมื่นดวงคืนนี้ตำหนักจิ้งหยางอันโอ่อ่าถูกเปิดกว้าง ตกแต่งประดับประดาด้วยผ้าแพรโปร่งหลากสีพาดลดหลั่นดั่งม่านเมฆ ลวดลายมังกรกับหงส์ทองปักด้วยดิ้นเงินดิ้นทองสะท้อนกับแสงโคมไฟจนระยิบระยับราวดวงดาวตกลงมาประดับพื้นดินหอสูงทั้งสี่มุมตำหนักแขวนโคมไฟลวดลายงดงามแปลกตา ริมทางเดินปูพรมผ้าไหมสีชาดทอดยาวตั้งแต่หน้าตำหนักขึ้นสู่บันไดท้องพระโรง เสียงดนตรีพิณ คงโหว ขลุ่ยบรรเลงกล่อมด้วยท่วงทำนองนุ่มนวลต้อนรับแขกเหรื่อ ขับเน้นให้ค่ำคืนนี้หรูหราเกินเปรียบบนโต๊ะยาวเรียงรายทั่วห้องโถง เครื่องคาวและหวานถูกจัดวางอย่างประณีต อาหารเลิศรสจากทั่วทุกหัวเมืองส่งมารวม ณ ที่นี้ ทั้งปลากรายนึ่งซีอิ๊ว ปูทะเลตัวใหญ่แกะเปลือกวางบนจานเงินเนื้อกวางตุ๋นยาจีนหอมฉุย ขนมหวานงดงามอย่างดอกเหมยน้ำผึ้ง ผลไม้หายากจากแดนไกล สายน้ำชาและสุราบ่มนานถูกทยอยรินไม่ให้ขาด นางกำนัลและขันทีเดินกันขวักไขว่ ขับเน้นความเอิกเกริกสมกับเป็นงานเลี้ยงใหญ่ที่ราชสำนักจัดเพื่อต้อนรับบัณฑิตผู้สอบผ่านของปีไท่หยางที่ 7 นี้อย่างใหญ่โอฬารบัณฑิตหนุ่มจากหัวเมืองต่าง ๆ สวมชุดยาวสีน้ำ
ตอนที่ ๒๐ || ห้วงฝันสีเลือดสายหมอกหนาหนักโอบล้อมครอบคลุมทั่วทั้งหลังเขา ความเงียบวังเวงจนแม้เสียงลมหายใจของตนเอง หลิ่วถิงเยว่ยังได้ยินดังสะท้อนในหู ร่างเล็กก้าวไปเรื่อย ๆ ทั้งที่ใจรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง คล้ายถูกใครบางคนดึงรั้งให้เดินสืบเท้าต่อไปโดยไม่อาจฝืนฉัวะ!เสียงคมดาบฟาดเฉือนผ่านอากาศ ฉับพลันก็ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนสะท้านวิญญาณ เลือดคาวคลุ้งลอยมากับลมเย็นยะเยือกจนขนกายลุกชัน หญิงสาวใจสั่นระรัว อยากหันหลังหนีแต่ร่างกลับแข็งทื่อ เท้าทั้งสองกลับก้าวต่อไปอย่างดื้อรั้น“ไม่นะ!…เจ้าเท้าไม่รักดีห้ามพาข้าไปเห็นเรื่องไม่ควรเห็นสิ!…” นางพึมพำ น้ำเสียงสั่นเครือยิ่งก้าวลึกเข้าไปในหมอก เสียงฟาดฟันโลหะปะทะโลหะก็ถี่กระชั้นขึ้น ทั้งเสียงกรีดร้องคร่ำครวญของมนุษย์ที่ถูกเชือดขาดสะบั้นก้องกังวานทั่วผืนเขา จนหลิ่วถิงเยว่เหมือนจะหูอื้อไปชั่วขณะเมื่อม่านหมอกขาวสลายคลายออก ภาพตรงหน้ากลับทำให้หัวใจนางแทบหยุดเต้นกลางลานดินกว้างเต็มไปด้วย ซากศพ นับร้อย เลือดแดงสดไหลรวมเป็นธารนองพื้น กลิ่นคาวคลุ้งคละคลุ้งสะอิดสะเอียนท่ามกลางกองซากน่าสะพรึงนั้น เด็กชายผู้หนึ่งยังคงยืนหยัด ร่างเล็กวัยเพียงสิบถึงสิบเอ
ตอนที่ ๑๙ || หยกหวนคืนอีกครั้ง!หลังจากถูกอาหลิวกับอากุ่ยพากลับมายังตำหนักฉางหลัน หลิ่วถิงเยว่ก็เอาแต่นั่งนิ่งอยู่ในห้องบรรทม น้ำตาไหลเปียกแก้ม ภาพพี่ชายตะคอกใส่พร้อมทุบหยกและเผาสมุดบันทึกต่อหน้าต่อตายังคงวนเวียนไม่หาย ทุกครั้งที่นึกถึง ใจดวงน้อยก็ปวดร้าวราวถูกฉีกออกเป็นเสี่ยง ๆ“จ่างกงจู่เพคะ ฝ่าบาทคงมิได้ตั้งทัยหรอกเพค” อาหลิวเอ่ยปลอบใจ เพราะทราบดีผู้เป็นนายคงสะเทือนใจไม่น้อย“ไม่ตั้งพระทัยหรือ? เจ้าหรอกใครอยู่กันเล่า อาหลิว พวกเจ้าออกไปเถอะ เปิ่นจ่างกงจู่อยากอยู่ผู้เดียว” กล่าวด้วยสีหน้าเย้ยหยัน แต่มิอาจทราบได้ว่านางเย้ยหยันผู้ใดอยู่ใดกันแน่“แต่ว่า…” อาหลิวยังห่วงนายสาว เนื่องจากฉางหลันจ่างกงจู่นั้นบอบบางราวแก้ว ไท่หยางฮ่องเต้คราวนี้รุนแรงไปแล้ว“ออกไปเถอะ!” หลิ่วถิงเยว่จำต้องทำเสียงเคร่ง เพราะอาหลิวกับอากุ่ยมักเป็นเช่นนี้ในยามที่นางกล่าววาจาดีด้วยก็ไม่ค่อยจะรับฟังชอบให้นางเอ็ดเสียงดัง แต่ในยามนี้เด็กสาวอยากอยู่ลำพังจริงๆ“พี่เยี่ยน…เหตุใดจึงเปลี่ยนไปเช่นนี้” นางพึมพำแผ่วเบา เสียงสะอื้นติดคอ เติบโตมาด้วยกัน หลิ่วเยี่ยนเฟยไม่เคยขาดเหตุผลเช่นนี้ หรือเพราะเมิ่งหรูจื่อ?หลิ่วถิงเยว่สะ