“ท่านหมอนางเป็นเช่นไรบ้าง”
“อีกไม่กี่ชั่วยามก็ฟื้น ท่านอย่าได้กังวล”
“ขอบคุณท่านมาก ข้าไม่ส่ง”
“มิบังอาจ มิบังอาจ” คนที่ถูกเรียกว่าหมอยกมือขึ้นประสานกันด้านหน้า ผงกมือขึ้นลงสองสามครั้งท่าทางเคารพทว่าสายตาที่มองมากลับเผยความดูถูกอย่างไม่ปิดบัง
เป็นเพียงบุรุษไร้ประโยชน์ผู้หนึ่ง เขาไม่จำเป็นต้องให้ความเคารพ แต่ที่ยอมมาตรวจอาการสตรีผู้นี้ เพราะเห็นแก่หน้าตระกูลใหญ่ และเงินตอบแทนหนักไม่เบา
ชายหนุ่มเห็นสายตาดูแคลนที่มองมาก็ได้แต่เก็บงำประกายความรู้สึกเอาไว้ มือซึ่งซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อกำเข้าหากันแน่น
ใครใช้ให้เขากลายเป็นคนไร้ประโยชน์ไปแล้วเลา จากผู้ที่เคยถูกเรียกว่าความหวังของตระกูล เคยอยู่ในจุดที่มีแต่คนชื่นชม ประจบสอพลอ ร่วงหล่นสู่จุดต่ำสุดกะทันหันยามหมอเอ่ยออกมาว่า ไม่สามารถฝึกปราณต่อไปได้ รวมไปถึงขาทั้งสองข้างที่ไม่อาจรักษาหาย
เขาทำได้เพียงเก็บความรู้สึกไม่ยุติธรรมเอาไว้ในใจ ไม่คิดยอมแพ้ให้กับความฝันวัยเด็กยังคงพยายามหาทางรักษาอยู่เสมอ แต่ความหวังชั่งริบหรี่เหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นหมอเก่งกาจมากแค่ไหน มีชื่อเสียงโด่งดังมากเพียงใด ก็ยังไม่มีผู้ใดสามารถหาวิธีรักษาขาและเส้นลมปราณที่เสียหายได้เลย
ชายหนุ่มเงียบปากทำทีเป็นไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้น เก็บซ่อนความรู้สึกมากมายเอาไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย ทั้งเจ็บใจ โกรธแค้น เกลียดชัง
บุรุษใบหน้าหล่อเหลาใช้สองมือผลักรถเข็นมาข้างเตียง มองดูภรรยาซึ่งแต่งเข้ามาเพียงหนึ่งคืนก็เกิดเป็นลมไม่ได้สติ ภรรยาผู้นี้ได้มาเพราะหมอดูบอกกล่าวว่าเขาต้องแต่งภรรยาและย้ายออกจากตระกูลมิเช่นนั้นจะเกิดเรื่องร้ายแรงส่งผลต่อความ ก้าวหน้าของคนในตระกูล
มิหนำซ้ำยังเป็นสตรีที่ไม่รู้ที่มาที่ไป เป็นสตรีซึ่งถูกพบอยู่กลางป่าตามคำบอกเล่าของหมอดู ในใจหานลั่วอี้รู้สึกเช่นไรหาได้มีใครเข้าใจ
บุรุษหนุ่มพิศมองใบหน้างดงามหมดจนภายใต้ร่างกายซูบผอมด้วยสายตาลุ่มลึก ชีวิตหานลั่วอี้ในยามนี้ไร้สิ่งที่เป็นของตนอย่างแท้จริง จึงได้แต่หวังว่าภรรยาที่ไม่ต้องการตบแต่งยามฟื้นขึ้นมาจะทำดีต่อกันสักนิด อย่างน้อยในบรรดาสิ่งของมากมายที่ถูกยึดคืนยังมีภรรยาผู้เป็นของเขาอย่างแท้จริง ทั้งยังคาดหวังในส่วนลึกว่าสตรีตรงหน้าจะไม่ใช่คนของสตรีผู้นั้น
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปกี่ชั่วยาม หานลั่วอี้ยังคงนั่งอยู่ตำแหน่งเดิม เท้าศอกบนที่วางแขน วางคางบนหลังมือหลับตาพักผ่อน
คนหลับสนิทตลอดครึ่งวันรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาแล้ว หญิงสาวกะพริบตาไล่ความขุ่นมัว หลังสายตาคมชัดสิ่งที่เข้ามาเป็นอย่างแรกคือเพดานห้องไม่คุ้นเคย คนบนเตียงขยับศีรษะมองซ้ายขวา ภายในห้องตกแต่งเรียบง่ายมีหน้าต่างบานหนึ่ง ตู้หลังหนึ่ง โต๊ะตัวหนึ่ง เก้าอี้สอง และเตียงที่นางนอนอยู่ สภาพห้องเป็นห้องกลางเก่ากลางใหม่ไม่ได้งดงามสะอาดสะอ้าน
พอขยับตัวลุกขึ้นร่างกายก็คล้ายไม่มีแรง คนบนเตียงจึงยกมือขึ้นมาดู เห็นว่าเป็นมือผอมแห้งคู่หนึ่งหนังแทบหุ้มกระดูก
สิ่งแรกที่เข้ามาในหัวคือ มือใคร? สตรีบนเตียงคิ้วลองขยับมือซ้ายขวา มือตรงหน้าก็ขยับตาม
นี่มือฉันเหรอ? นั่นคือเสียงในความคิดของเธอ
หญิงสาวมองสำรวจห้องอีกครั้งที่แท้เพดานที่เห็นกลับไม่ใช่เพดานแต่เป็นหลังคาเตียง
เจ้าของร่างผอมแห้งพยุงตัวลุกขึ้น การขยับตัวเล็กน้อยส่งผลให้คนบนรถเข็นรู้สึกตัว หานลั่วอี้ลืมตาขึ้นไม่กล่าวอะไร มองสำรวจการเคลื่อนไหวภรรยาเงียบ ๆ
คนบนเตียงลุกขึ้นนั่งได้แล้ว แต่ก่อนสายตาจะพลันเหลือบไปเห็นใครอีกคนในห้อง ความทรงจำสายหนึ่งพลันแล่นผ่านสมองให้รู้สึกปวดแปลบ
มือผอมแห้งยกขึ้นจับหัวใบหน้าบิดเบี้ยว เม็ดเหงื่อผุดผายตามใบหน้า
ความทรงจำของใครบางคนแล่นเข้ามาในหัว เป็นความทรงจำขาดหายไม่ชัดเจนราวกับว่ามีใครบางคนปิดกั้นความทรงจำที่เหลือเอาไว้
ภาพเหตุการณ์มากมายหายไปหมดแล้วพร้อมกับความเจ็บปวดที่ทุเลาลง
ลมหายใจหอบหนักของหญิงสาวกลับมาเป็นปกติในเวลาไม่นาน ตอนนี้เองถึงพอเข้าใจได้ราง ๆ ว่า สถานที่ที่เธออยู่ไม่เหมือนเดิม รวมไปถึงในห้องมีใครอีกคนอยู่
ดวงตาฉ่ำน้ำแดงเรื่อใบหน้าแดงก่ำมองสบเข้ากับดวงตาสีรัติกาลลุ่มลึก เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติ ในความทรงจำซึ่งวาบผ่านเมื่อสักครู่บอกกับเธอว่าเขาคือ สามี ที่พึ่งตบแต่งกันได้ยังไม่ถึงหนึ่งวันดี
หากไม่ใช่เพราะว่ามีผ้าม่านบดบังเตียงเอาไว้ครึ่งหนึ่ง หญิงสาวคงรู้ตัวเร็วกว่านี้
“ทะ...ท่าน” น้ำเสียงแหบพร่าลำคอแห้งผาก หานลั่วอี้เห็นว่าภรรยายกมือขึ้นจับลำคอจึงเลื่อนรถเข็นไปเทน้ำให้ดื่ม
หญิงสาวมองนิ่งรับถ้วยน้ำในมือมากระดกลงคออึกใหญ่ ยื่นไปให้อีกฝ่ายอีกครั้ง คล้ายเข้าใจความนัย เขาจึงเทน้ำใส่ถ้วยให้อีกครึ่ง พอดื่มน้ำเข้าไปมากพอควรร่างกายก็คล้ายมีแรงขึ้นมาเล็กน้อย ลำคอไม่รู้สึกเจ็บเท่าตอนแรก
เจ้าของร่างมีชื่อว่า เยว่ฉี ชั่งน่าแปลกที่ชื่อของนางเหมือนชื่อของเธอในชาติก่อน เจ้าของร่างเป็นสตรีไม่ทราบที่มา ไม่รู้ว่าครอบครัวเป็นใคร
ในความทรงจำเมื่อสักครู่มีเพียงช่วงเวลาก่อนจะมาแต่งงานกับชายหนุ่มและความรู้เกี่ยวกับโลกนี้เพียงเล็กน้อย
พ่อแม่เป็นใครแล้วทำไมถึงถูกขายให้พ่อค้าทาสชีวิตก่อนหน้านั้นล้วนไม่อยู่ในความทรงจำ
ใช่ เยว่ฉีเป็นสตรีที่ถูกขายเป็นทาสก่อนจะถูกลูกค้าเงินหนาผู้ลึกลับซื้อมา จากนั้นนำไปทิ้งไว้กลางป่า ตอนถูกนำไปทิ้งเยว่ฉีถูกปิดตามัดมืออยู่ตลอด จวบจนถึงที่หมายคนเหล่านั้นถึงได้ปล่อยตัวนางเป็นอิสระ ก่อนจากไปยังข่มขู่ทั้งยังบอกว่าห้ามขยับไปไหนไม่เช่นนั้นจะฆ่าทิ้งเสีย แต่สุดท้ายเยว่ฉีก็เสียชีวิตลงหลังจบงานแต่งได้ไม่นาน
เยว่ฉีไม่ทราบแน่ชัดว่าเหตุใดคนคนนั้นถึงได้ไปซื้อนาง ก่อนจะถูกพาตัวให้มาแต่งงานกับชายหนุ่มตรงหน้า แถมท่าทีของผู้คนในวันแต่งงานยังเปี่ยมไปด้วยความยินดีระคนดูถูก
ตอนที่ฟื้นขึ้นมายังคงสับสนว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับตัวเอง ก่อนหน้าจะตื่นขึ้นมาเธอกำลังเดินทางกลับบ้านพร้อมลูกชิ้นปิ้งในมือ ทว่าต่อมาก็มีสุนัขตัวสูงประมาณหัวเข่าตัวหนึ่งวิ่งเข้ามาเห่าเธอเสียงดังลั่น
หญิงสาวสะดุ้งตกใจทำไม้ลูกชิ้นหล่นลงพื้น หงายหลังหัวกระแทกพื้น
คงไม่ได้ตายด้วยเหตุการณ์นั้นหรอกใช่ไหม?
พอลืมตาขึ้นมาก็อยู่ในร่างไม่คุ้นเคยกับความทรงจำแปลกประหลาด
หากไม่ใช่ว่าสิ่งที่สัมผัสได้เหมือนจริงไม่คล้ายฝัน อีกทั้งบุรุษตรงหน้ายังตรงตามสิ่งที่ได้เห็น เธอคงไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองจะเข้ามาสวมร่างผู้อื่นเหมือนในนิยายหลาย ๆ เรื่อง
“ประหลาดสุด ๆ”
“เจ้ากล่าวอันใด” ทั้งที่เป็นเพียงการพึมพำแผ่วเบาแต่สำหรับผู้ฝึกปราณเช่นหานลั่วอี้กับได้ยินชัดทุกประโยค เพียงไม่แน่ใจว่าที่นางพูดหมายถึงสิ่งใด
“ท่านคือสามีข้า?” เยว่ฉีไม่ตอบแต่เลือกที่จะถามเพื่อยืนยันสิ่งที่กำลังเผชิญ
“เจ้าสับสน? เราทั้งคู่เข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินกันแล้วย่อมถือเป็นสามีภรรยา”น้ำเสียงยามเอ่ยประโยคนี้ราบเรียบไม่ต่างจากพูดเรื่องทั่วไป เขาพูดพร้อมกับจ้องมองนาง แววตาหญิงสาวตรงหน้าแปลกไป หานลั่วอี้สัมผัสได้ว่านางแปลกไปไม่เหมือนเดิม
สตรีที่พบเมื่อวานมักจะชอบก้มหน้าไม่ยอมสบตา แววตาหวาดกลัวเลื่อนลอย แผ่นหลังงองุ้ม ตัวสั่นอยู่ตลอด ต่างจากแววตาที่สบกับเขาตอนนี้ แม้จะมีความสับสนซ่อนอยู่แต่ก็เปล่งประกายสดใส เด็ดเดี่ยว
เยว่ฉีทำความเข้าใจได้อย่างรวดเร็วเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นและเรื่องที่กำลังเผชิญอยู่ ถึงจะยังสับสนอยู่บ้างแต่ถึงยังไงก็ได้ชื่อว่าเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว อีกทั้งชั่วชีวิตที่เหลือเธออาจจะไม่มีโอกาสกลับโลกเดิมได้อีก
ในเมื่อแต่งงานกันแล้วก็เท่ากับว่าชายหนุ่มคือคนในครอบครัว ตลอดชีวิตที่ผ่านมาในอดีต เธอสูญเสียครอบครัวไปตั้งแต่ยังเด็ก พอมีคนให้เรียกว่าครอบครัวก็อดรู้สึกคันยุบยิบในใจไม่ได้
หวังว่าบุรุษผู้นี้จะใจดีกับนาง
ถึงเขาจะขาไม่สมบูรณ์เยว่ฉีก็ไม่คิดทิ้งขว้าง ยินดีดูแลด้วยความเต็มใจ
บุรุษที่ในอนาคตจะกลายเป็นครอบครัวและเพื่อนเพียงคนเดียวของนางในโลกใบนี้ เพราะดูจากความทรงจำแล้ว คนในบ้านหลังนี้ไม่ได้ต้อนรับเจ้าของร่างเสียเท่าไหร่
“ยินดีที่ได้รู้จัก ข้าหวังว่าเราทั้งคู่จะมีแต่ความใจดีให้แก่กัน” หานลั่วอี้เลิกคิ้วมองมือซึ่งยื่นมาตรงหน้า ดวงตาสีรัติกาลมีประกายความรู้สึกวาบผ่าน
มองสำรวจใบหน้างดงามซูบผอมก็เห็นเพียงความจริงใจ เขาเองก็หวังเช่นเดียวกับนาง หวังว่านางจะไม่ใช่คนของผู้อื่น
บุรุษหนุ่มชั่งใจเพียงชั่วครู่ก่อนจะยื่นมือออกไป ในเมื่อนางยื่นไมตรีมาให้เขาก็อยากจะลองเชื่อในไมตรีของนาง
“หากเจ้าดีต่อข้า ข้าก็จะดีต่อเจ้า ถึงอย่างไรเจ้าก็ได้ชื่อว่าภรรยาข้าแล้ว ข้าอาจจะไม่สามารถช่วยเหลือเจ้าได้ในหลาย ๆ เรื่อง แต่ข้าก็จะพยายามเท่าที่สามารถทำได้”
ในน้ำเสียงแน่วแน่มีความหวั่นไหวเคลือบอยู่จาง ๆ เยว่ฉีเข้าใจในคำพูดของบุรุษตรงหน้าทันที สายตาที่มองนางเต็มไปด้วยความจริงใจไร้การหลอกลวง
เขาหมายถึงขาที่ไม่สามารถเดินเหินได้สะดวกอาจจะทำทั้งสองคนลำบาก แต่เยว่ฉีก็หาได้ใส่ใจมากเท่าที่ควร ขอเพียงเขาดีกับนาง ไม่คิดเอารัดเอาเปรียบ หักหลัง ไม่ว่าจะลำบากเพียงใดเยว่ฉีล้วนทนได้
นางไม่เชื่อว่าชีวิตคนเราจะลำบากไปตลอด
“ท่านไว้ใจข้าได้” สองมือประสานกันแน่น คล้ายคำสัญญาว่าจะไม่ทิ้งกันไปไหน
เยว่ฉีไม่มีทางทราบได้ว่า ในอนาคตอันใกล้ เพราะความเชื่อใจที่มีให้กันตั้งแต่ต้นจะนำมาซึ่งความสัมพันธ์อันยากจะตัดขาด
ทันทีที่ก้าวเข้ามาในบ้าน เยว่ฉีก็เห็นเฟิงซิ่วกำลังนั่งแกะสลักอยู่ไม่ไกลจากประตูเรือน อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นผงกหัวทักทายนางเล็กน้อย หลัวหรูจึงใช้โอกาสนี้เรียกสามีให้มานั่งด้วยกันทั้งสามคนนั่งล้อมโต๊ะอาหารบนลานเล็ก ๆ หน้าบ้าน เยว่ฉีมองหลัวหรูทีมองเฟิงซิ่วทีพร้อมยิ้มกรุ้มกริ่ม จากนั้นจึงหยิบอาหารออกมาวางบนโต๊ะ กลิ่นหอมนำมาก่อนใครเพื่อน ก่อนจะตามมาด้วยหน้าตาอาหารดูน่ารับประทาน สีสันสวยงามตัดกันได้อย่างลงตัวเรียกความต้องการอยากของกระเพาะได้เป็นอย่างดีกลิ่นหอมนี้ส่งผลให้ทั้งสองคนถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ“พี่หลัว พี่เฟิงพวกท่านลองชิมดู” ทั้งสองคนพยักหน้าขึ้นลง ก่อนจะใช้ตะเกียบที่เยว่ฉีนำมาด้วยคีบอาหารเข้าปากสิ่งแรกที่สัมผัสได้คือความอร่อยล้ำไม่ต่างจากอาหารในร้านชื่อดังในเมือง พอเคี้ยวไปเรื่อย ๆ ความอร่อยล้ำก็เปลี่ยนเป็นความประหลาดใจ และเมื่ออาหารถูกกลืนลงท้องสิ่งที่ตามมายิ่งทำให้ทั้งสองคนต้องตกตะลึงเบิกตากว้างมองเด็กสาวซึ่งกำลังยิ้มกว้างมาให้“พี่หลัว พี่เฟิงเป็นเช่นไรบ้าง”“เจ้าทำได้เช่นไร !!!” สองเสียงประสานกันเสียงดังทำเยว่ฉีตกใจสะดุ้งโหยงก่อนจะหัวเราะออกมา นางเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ“พี่ทั้งสอง
ผ่านมาครึ่งเดือนนับจากวันที่แยกออกมาจากจวนตระกูลหาน ทุก ๆ วันของพวกเขาเรียกได้ว่าราบรื่น นอกจากการปะทะกันเล็ก ๆ น้อย ๆ กับหานลั่วเหมยวันนั้นทางตระกูลหานก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดอีกเลยครึ่งเดือนมานี้เยว่ฉียังไม่ได้เริ่มกิจการหาเงินอย่างจริงจัง ด้วยตัวนางต้องการบำรุงร่างกายซูบผอมนี้ให้กลับมามีน้ำมีนวลและแข็งแรงมากกว่านี้ ทุกวันเยว่ฉีจะตื่นแต่เช้าตรู่ หุงหาอาหาร ต้มยำสำหรับหานลั่วซานและผสมน้ำแห่งชีวิตให้สามีดื่มร่างกายที่บำรุงอย่างดีตลอดครึ่งเดือนเรียกได้ว่าสมความตั้งใจ ร่างกายผอมแห้ง ใบหน้าซูบผอมมีน้ำมีนวลขึ้นไม่น้อย รอยคล้ำแดดเองก็ลดลงไปมาก ทำให้สามารถเห็นโครงหน้าและเรือนกายขาวเนียนกระจ่างดุจหยกเนื้อดีของร่างนี้ได้ชัดเจนขึ้นเยว่ฉีกระพริบตาปริบ ๆ มองเครื่องหน้างดงามซึ่งสะท้อนอยู่บนผืนน้ำ สตรีผู้นี้ช่างงดงามจนนางเองยังอดใจสั่นไม่ได้ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่ใช่ใบหน้างดงามหมดจด ทว่ากลับเผยความงดงามมีเสน่ห์ดึงดูดน่าทะนุถนอมเยว่ฉียกมือจับแก้มนวลที่เมื่อก่อนไร้ซึ่งไขมัน มาตอนนี้กลับให้สัมผัสนุ่มมือไม่ต่างจากผิวเด็กทารก“งามนัก” เสียงพึมพำแผ่วเบาพร้อมรอยยิ้มกว้างสะท้อนบนผืนน้ำ ไม่คิดว่าหลังบำรุงต
“นั่งกลุ้มอันใดกัน” เยว่ฉีเงยหน้าขึ้นมองผู้มาใหม่ นางกำลังนั่งคิดอะไรคนเดียวข้างบ้านจุดเดิมกับที่ทำปังตอปักเอาไว้ หานลั่วอี้ที่ออกมาทีหลังเข็นรถมาจอดข้าง ๆพอเยว่ฉีกลับมาถึงบ้านก็ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองให้หานลั่วอี้ฟัง อีกฝ่ายจึงเล่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหานลั่วเหมย เด็กสาวท่าทางอวดดีผู้นั้นปีนี้อายุสิบสี่ เป็นผู้ฝึกปราณขั้นสอง ลูกสาวคนเล็กของหานฉิงอี้กับภรรยาเอก ส่วนหานลั่วอี้คือบุตรชายคนโตซึ่งเกิดจากภรรยารองหานลั่วเหมยมีนิสัยเอาแต่ใจมาตั้งแต่เด็กด้วยบิดามารดาตามใจและเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของทั้งสองคน รวมไปถึงเกิดในตระกูลใหญ่ ด้วยการเลี้ยงดูเช่นนี้ทำให้นางไม่สนหัวใครหานลั่วเหมยไม่ชอบหานลั่วอี้ด้วยเพราะเก่งกาจมากกว่าพี่ชายของนาง ทุกครั้งที่เจอกันก็มักจะแสดงสีหน้าไม่ยินดีที่ได้พบกัน เขาเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้ บุรุษหนุ่มจึงไม่คิดจะเอาตนเข้าไปยุ่งเกี่ยวเช่นเดียวกันความสัมพันธ์ของทั้งสองคนเป็นเช่นนั้นเสมอมา ไม่แปลกที่เด็กสาวจะเข้ามาหาเรื่องเยว่ฉีเพราะมีความเกี่ยวข้องกับเขานางไม่ชอบใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับหานลั่วอี้“ข้ากำลังคิดว่าจะหาเงินได้จากทางใดบ้าง วันนี้ก่อนจะกลับข้าได้ไ
“เจ้า!!เจ้า !!” เด็กสาวกล่าวพร้อมยกมือชี้หน้าด่า กระทืบเท้าลงพื้นอย่างขัดใจ ไม่คิดว่าสตรีผู้นี้จะบังอาจไม่รู้จักนาง “ข้าหานลั่วเหมย คงมิได้จะพูดว่าไม่รู้จักตระกูลหานใช่ไหม”อ๋อ คนตระกูลหาน มิน่าถึงได้มีกิริยาน่ารังเกียจ คนตระกูลนี้นิสัยเสียกันหมดตระกูลหรือไง? ไม่สิยกเว้นสามีนางไว้คนหนึ่งเยว่ฉีตอบรับออกมาอย่างไม่ใส่ใจ “อ๋อ ตระกูลหาน” ก่อนจะก้าวแยกตัวออกไป คนตระกูลนี้อยู่ให้ห่างหน่อยเป็นดี เดี๋ยวจะถูกเชื้อนิสัยเสียลามมาเปื้อนตัว“เจ้าจะไปไหน ข้ายังไม่อนุญาตให้เจ้าไป” หานลั่วเหมยเดินตามยื่นมือมากระชากแขนเยว่ฉีเต็มแรง เด็กเล็กมักมีแรงมาก นับประสาอะไรกับหานลั่วเหมยที่เป็นผู้ฝึกปราณขั้นสอง ส่วนเยว่ฉีเป็นเพียงคนธรรมดาที่ร่างกายยังบำรุงได้ไม่เต็มที่เด็กสาวเพียงกระตุกมือเยว่ฉีก็แทบหงายหลังต้องรีบก้าวถอยหลังเร็ว ๆ กลับไปความฉุนเฉียวพลันผุดขึ้นในใจ เยว่ฉีใช้แรงที่มีกระชากมือกลับคืนมา“เสียมารยาท!!ข้าไม่ใช่ขี้ข้าของเจ้าที่คิดจะกระชากลากถูหรือขึ้นเสียงอย่างไรก็ได้ ในจวนตระกูลหานเจ้าอาจจะทำกิริยาหยิ่งยโส ยกตนใหญ่โตเพราะผู้อื่นเขาหวาดกลัว แต่ไม่ใช่กับข้า ข้าไม่ใช่คนของตระกูลเจ้าที่คิดอยากจะขึ้นเส
เยว่ฉีออกมาจากร้านค้าหยกก็เดินหามุมลับสายตาคนถอดผ้าคลุมออกจากตัว ก่อนจะทำทีว่าไม่มีเรื่องอันใด แล้วเดินปะปนเข้าไปในฝูงคน ในมือมีเงินเยว่ฉีก็หายใจได้สะดวกขึ้น ใบหน้าติดกังวลก็คลายลงมีเงินก็ต้องใช้เงิน แม้ว่านางมีความคิดจะสร้างบ้านให้ดีขึ้นแต่ตอนนี้สิ่งที่สำคัญกว่าคือ สิ่งของอำนวยความสะดวกภายในบ้านชุดครัวมีน้อยเกินไป นอกจากกระทะใบใหญ่บนเตาอาหารกับหม้อใบเล็กแล้ว สิ่งของอื่น ๆ ล้วนใกล้จะพังจนใช้งานไม่ได้ ขนาดตะเกียบที่ใช้อยู่ตอนนี้ยังเป็นนางที่เหลาจากไม้ไผ่มาใช้ชั่วคราวส่วนถ้วยชามก็มีอย่างจำกัดและสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ ข้าว!!ข้าวในบ้านเหลือไม่มากแล้วเยว่ฉีจึงต้องการซื้อตุนเอาไว้มากหน่อยหญิงสาวเดินไปตามถนนที่ผู้คนพลุกพล่านไม่นานก็เจอร้านขายข้าว นอกจากข้าวแล้วยังมีของใช้ในครัวอื่น ๆ เช่น ถ้วย ชาม ตะเกียบ ไปจนถึงพวกแป้งเยว่ฉีคำนวณในใจ ของที่ต้องการซื้อมีมากมายเหลือเกิน ไม่สามารถขนไปด้วยตัวคนเดียวไหว จึงเอ่ยถามกับลูกจ้างร้านว่าสามารถขนของไปส่งยังจุดจอดรถเทียมลาได้ไหม ลูกจ้างร้านมองหน้ากันไปมาก่อนเอ่ยว่า หากของที่ซื้อมีราคาถึงหนึ่งตำลึงพวกเขาจะนำไปส่งให้เยว่ฉีพยักหน้าเข้าใจจากนั้นเอ่ยถา
“เถ้าแก่ ปกติแล้วดอกแต้มสีชาดคู่มักให้ราคาสูงที่สี่ตำลึงมิใช่หรือ เหตุใดถึงมากกว่าราคาตลอดถึงสองตำลึง” เถ้าแก่ร้านไม่ปิดบังเอ่ยสีหน้าเบิกบาน“คุณภาพพืชวิญญาณต้นนี้สูงมาก ทั้งยังบริสุทธิ์มาก พวกเจ้าไม่ได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่แพร่กระจายออกมาจากพืชตรงหน้าหรือ” ทั้งสามคนก้มหน้ามองพอลองสูดดมดี ๆ ก็ได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ โชยออกมาอย่างที่เถ้าแก่ว่า“ในเมื่อคุณภาพสูง ข้าเองก็ชอบทำการค้าขายแบบยุติธรรมจึงให้ราคาสูงกับพวกเจ้าสองคน” พูดไปก็เอาแต่จ้องพืชวิญญาณในมือไปด้วยคล้ายกลัวว่าหากละสายตา ดอกไม้สีขาวสองดอกนี้จะหายไป“ไปนำกล่องมาใส่พืชวิญญาณสองต้นนี้”“ขอรับ” ลูกจ้างรับคำไม่นานก็กลับมาพร้อมกล่องสำหรับเก็บพืชวิญญาณโดยเฉพาะสองกล่อง ทั้งสองแลกเปลี่ยนสินค้าเป็นเงิน เถ้าแก่ร้านกอดกล่องใส่พืชวิญญาณเอาไว้แน่น มองทั้งสามคนยิ้ม ๆแค่คิดว่าหลังหลอมเป็นโอสถแล้วจะทำเงินได้มากกว่าที่จ่ายไปก็เบิกบานแล้ว ในเมืองโม่ฉีมีไม่กี่ร้านที่สามารถขายโอสถทะลวงขึ้นระดับสาม และตอนนี้ร้านของเขาก็กำลังจะเป็นหนึ่งนั้น“หากพวกเจ้าพบพืชวิญญาณก็นำมาขายให้ร้านได้ ข้าย่อมให้ราคาเป็นธรรม” เถ้าแก่เอ่ยย้ำเป็นมั่นเป็นเหมาะกอดกล่องแล้วเดินกลั