“ดิฉันชื่อใบ...”
เธอกำลังตอบและเงยหน้าขึ้นมองเขา
คำตอบนั้นชะงักไปทันที พร้อมๆ กับดวงตาที่เบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจ
แค่เห็นสีหน้าแบบนี้ หยางหลงเหวินก็รู้ทันทีว่าเขาจำคนไม่ผิด เพราะถ้าไม่เคยรู้จักกัน เธอคงไม่ทำหน้าเหมือนเห็นผีแบบนี้
“ใบข้าว...เธอนั่นเอง”
“...มังกร...”
หญิงสาวพลาดที่หลุดปากออกไป ไม่มีทางจะปฏิเสธได้อีกว่าเธอไม่ใช่คนที่เขาคิด
เพราะดันเรียกเขาด้วยชื่อที่มีเพียงเธอเท่านั้นที่เคยเรียก
“ใช่เธอจริงๆ”
หยางหลงเหวินหัวเราะเครียดๆ ทั้งน้ำเสียงและชื่อเรียกที่เฉพาะเจาะจงนั้นทำให้หัวใจของเขารัวกระหน่ำ
ใบข้าวถอยเท้าหนีอย่างไม่ตั้งใจ หยางหลงเหวินก้าวตาม
เธอก้าวหนีอีกสองก้าว เขาก็ก้าวยาวๆ ไปอีกครึ่งก้าว
เธอก้าวถอยอีกครั้ง คราวนี้พลาดเหยียบน้ำที่ยังเช็ดไม่หมด ถึงกับลื่นหงายหลัง อีกนิดเดียวก้นคงจ้ำเบ้า...แต่หยางหลงเหวินไวกว่า คว้าเอวเธอไว้ได้ทัน พริบตาเดียวร่างผอมบางของเธอก็ถูกเขารัดแน่นท่ามกลางสายตาตื่นตกใจของเฟยจื้อหรงและทีมเลขาฯ ที่อยู่ข้างหลัง
“เป็นเธอจริงๆ ใช่เธอจริงๆ ใบข้าว”
“ไม่ใช่ค่ะ”
เธอได้สติ ปฏิเสธเบาๆ และผลักเขาออก
หลงเหวินยอมปล่อยแขนออกอย่างเสียดาย แต่มือเลื่อนไปจับหัวไหล่เธอไว้ เหมือนกลัวว่าถ้าคลายมือออกเพียงนิดเดียวเธอจะหายวับไปจากตรงนี้ทันที
“จะไม่ใช่ได้ยังไง ต่อให้กลายเป็นผุยผงฉันก็จำเธอได้”
“ฉันไม่ใช่จริงๆ ไม่ใช่คนเดิมคนนั้นแล้ว”
“เหลวไหล ไร้สาระ”
ประธานหนุ่มเอ่ยดุๆ มองเธอปราดเดียวก็เก็บรายละเอียดได้ตั้งแต่หัวจรดเท้า
ข้อแรก เธอเป็นแม่บ้านของที่นี่ ทำงานที่นี่แน่นอน
ข้อสอง เธอผอมและดู...เอิ่ม...โทรมไปมาก มากจนเขาใจหายว่าสิบปีที่ผ่านมามันเกิดอะไรขึ้น
และข้อสาม... เธอคือใบข้าวของเขาแน่นอนล้านเปอร์เซ็นต์!
“ปล่อยเถอะค่ะคุณหยาง คนมองกันหมดแล้ว”
ใบข้าวก้มหน้างุด ในสภาพเช่นนี้ เมื่อมายืนเคียงกันกับชายหนุ่มที่สูงเพรียว แต่งตัวเนี้ยบ ดูดีมีสง่าราศีตั้งแต่หัวจรดเท้า เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นผ้าขี้ริ้วเก่าๆ ที่สมควรถูกปลดระวาง
หยางหลงเหวินยังไม่ยอมปล่อยมือ ก็มีเสียงคนวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาทันที
“เกิด...เกิดอะไรขึ้นคะ”
ที่แท้คนที่รีบเข้ามาคือหัวหน้าสูงสุดของแผนกแม่บ้าน และตอนนี้นางก็กำลังหน้าซีดเพราะกลัวว่าจะเกิดเรื่องตั้งแต่วันแรกที่ประธานหยางมาถึงเมืองไทย
“ถ้าเกิดอะไรขึ้นดิฉันขอโทษด้วยจริงๆ แม่บ้านคนนี้เพิ่งมาทำงานใหม่ ยังทำได้ไม่ถึงสามวันเลยค่ะ ดิฉันจะให้พ้นการทดลองงานทันที...”
“คุณว่าไงนะ”
“...”
หัวหน้าแม่บ้านนิ่งอึ้งไป ก็ที่มีคนวิ่งไปฟ้องบวกกับภาพที่เธอเห็น มันแสดงว่านังแม่บ้านคนใหม่นี่กำลังทำพลาดครั้งใหญ่ไม่ใช่หรือ หล่อนเลยจะแสดงความเด็ดขาดและเป็นมืออาชีพด้วยการบอกว่าจะให้ออกจากงานเลยทันที
แต่ทำไมท่านประธานหยางถึงได้มองหล่อนเหมือนจะกินหัวแบบนั้น
“คุณจะให้เขาออกด้วยเหตุผลอะไร”
“เอ่อ ก็...”
“ที่ผ่านมาก็คงทำงานแบบนี้สินะ นึกจะไล่ใครออกก็ทำได้ทันทีโดยไม่มีเหตุผล”
“ปละเปล่าค่ะ ดิฉันไม่ได้...”
“ผมจะพาแม่บ้านคนนี้ไปสอบสวนเองที่ห้องทำงาน เผื่อว่าบางทีผมจะได้ทราบความจริงว่าที่นี่ทำงานกันยังไง!”
พูดจบ หยางหลงเหวินก็คว้ามือผอมบางของใบข้าวแล้วลากลิ่วๆ ไปที่ลิฟต์ โดยมีเฟยจื้อหรงและทีมเลขาฯ เดินจ้ำตามไปติดๆ ทิ้งหัวหน้าแม่บ้านกับพนักงานอีกหลายคนยืนอ้าปากค้างอยู่ตรงนั้น
เมื่อประธานหยางกับคณะหายเข้าไปในลิฟต์แล้ว ทุกคนก็หันมามองหน้ากันและพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า งานนี้คงมีคนซวยแล้วแน่ๆ แค่ไม่รู้ว่าหวยจะออกที่ใครเท่านั้นเอง
* * * * *
ณ ห้องประธานฯ ที่เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนยังเป็นห้องทำงานของจางเจี๋ย หยางหลงเหวินดึงใบข้าวเข้าไปในนั้น ปิดประตูตามหลังทันทีจนเกือบกระแทกหน้าเฟยจื้อหรงที่เดินตามหลังไปติดๆ เป็นสัญญาณว่าไม่ต้องการให้ใครตามเข้าไปทั้งนั้น
“เอ่อ เราจะต้องรอใช่ไหมคะ”
ผู้ช่วยเลขาฯ เอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ เฟยจื้อหรงยิ้มเจื่อน เขาเองก็ยังงงเหมือนกันว่าหยางหลงเหวินจะทำอะไร เหตุใดจู่ๆ ลากแม่บ้านเข้าไปในห้องสองต่อสองแบบนั้น ตลอดสิบปีที่ผ่านมาตั้งแต่หลงเหวินเป็นหนุ่มเต็มตัว หมอนั่นไม่สนใจความรัก ไม่แลทั้งผู้หญิงและผุ้ชาย ทุ่มเทให้กับการเรียนและการรับช่วงต่อบริษัทเท่านั้น...
ที่แท้เพราะรสนิยมแบบนี้นี่เอง แม้จะยังไม่ทันได้สังเกตให้ชัดๆ แต่แม่บ้านคนเมื่อกี้ดูเหมือนจะตาโตๆ ผิวซีดเซียวเหมือนคนขาดสารอาหาร รูปร่างในชุดแม่บ้านตัวหลวมโพรกนั่นก็คงแสดงว่าเจ้าตัวผอมบางแทบปลิวลม สรุปคือหลงเหวินชอบแบบนี้สินะ...
“เอาเป็นว่า ระหว่างที่ท่านประธานจัดการธุระของเขาอยู่...พวกเราไปสำรวจโรงแรมแทนก็แล้วกัน”
เฟยจื้อหรงพูดแล้วปรบมือสามทีก่อนเดินนำขบวนออกไปอย่างกระตือรือร้น เลิกสนใจคนสองคนที่อยู่ในห้องนั้นโดยสิ้นเชิง
* * * * *
“คุณหยาง...พาฉันมาที่นี่ทำไมคะ”
ใบข้าวที่บัดนี้ยืนหันรีหันขวางอยู่กลางห้องทำงานท่านประธาน ถามเสียงสั่นๆ หลงเหวินยอมปล่อยมือเธอแล้วและเขากำลังยืนกอดอกเอนตัวนั่งหมิ่นๆ ที่โต๊ะทำงาน สีหน้าท่าทางเหมือนกำลังสะกดกลั้นไม่ให้เดินมาเขย่าตัวเธอแรงๆ
“เลิกเรียกฉันว่าคุณหยางได้แล้ว เรียกฉันให้เหมือนเดิม”
“ตอนนี้คุณเป็นคุณหยาง”
“ฉันเป็นคุณหยางมาตลอด! แต่สำหรับเธอ ฉันคือมังกรไม่ใช่หรือไง!”
น้ำเสียงเขาเกือบๆ จะเป็นเกรี้ยวกราด ไม่รู้จะโกรธอะไรนักหนากับแค่ชื่อเรียก
“ให้ตายสิ! นี่ฉันยังไม่อยากจะเชื่อเลยนะว่าจะได้เจอเธอที่นี่”
เขามองเธออีกครั้งอย่างพินิจตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่เป็นไปอย่างประเมิน ไม่ใช่หยาบคายจาบจ้วง
“เธอติดค้างคำอธิบายฉันนะใบข้าว...สิบปีก่อนเธอหายไปไหน ทำไมจู่ๆ ก็หายไป...” และเธอแต่งงานแล้วจริงๆ ใช่ไหม... ประโยคหลังนี้หลงเหวินยังใจไม่แข็งพอที่จะถามออกมาเอง
ใบข้าวเม้มปาก มือกำชายเสื้อที่หลวมโพรกนั้นแน่น คงเพราะเธอยังไม่ได้เป็นพนักงานประจำ จึงยังไม่ได้รับเครื่องแบบที่พอดีกับตัวมากกว่านี้
จู่ๆ หลงเหวินก็รู้สึกเวทนาอาดูรขึ้นมาจนเสียวแปลบที่จมูก...เขาไม่เสียเวลาคิดด้วยซ้ำตอนที่เดินตรงไปหาเธอที่ยืนกลางห้องแล้วดึงเธอมาสวมกอดอย่างรวดเร็ว
ใบข้าวตัวแข็งทื่อ ปล่อยให้เขากอดอย่างง่ายดาย...
เสียงแตกๆ กระซิบเหนือขมับของเธอเป็นภาษาจีน...
แม้เธอจะทิ้งความรู้ที่เคยเรียนมาไปนานแล้ว แต่เธอก็เข้าใจประโยคที่เขาเอ่ยออกมา...
“เกิดอะไรขึ้นกับเธอ ใบข้าว...บอกฉันที”
[你怎么会变成这样?拜托告诉我!]
* * * * *
สิบปีก่อนหน้า, กรุงเทพมหานคร
ณ มหาวิทยาลัย B
‘นักศึกษาคะ นี่คือหยางหลงเหวิน เพื่อนนักเรียนแลกเปลี่ยนชาวไต้หวันที่จะมาเรียนกับเราเป็นเวลาหนึ่งปี เขายังพูดไทยไม่ค่อยคล่อง นักศึกษาช่วยดูแลเพื่อนๆ ด้วยนะคะ…’
นักศึกษาเอกภาษาจีนกว่ายี่สิบคนในห้อง ส่งยิ้มทักทายให้เด็กหนุ่มร่างสูงโปร่งผิวขาวหน้าตาหล่อเหลาคมคายที่ยืนอยู่หน้าห้อง หยางหลงเหวินยิ้มตอบไปรอบๆ อย่างไม่ได้เจาะจงใครเป็นพิเศษ
‘ครูมีบัดดี้ให้เธอแล้ว เขาจะคอยช่วยเหลือเธอทุกอย่างตลอดเวลาหนึ่งปีที่อยู่ที่นี่นะคะ...โน่นไงเพื่อนใหม่ของเธอ...’
เด็กสาวร่างอวบโบกมือให้เขาหยอยๆ อาจเพราะเธอค่อนข้างสูงจึงดูไม่ตุ้ยนุ้ยสักเท่าไหร่ หยางหลงเหวินเดินตรงไปนั่งเก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่ข้างๆ เธอและทักทายเป็นภาษาไทย
‘ซาหวาดดีขรั่บ’
‘หวัดดีค่ะ’
ตอนหลังหยางหลงเหวินจึงรู้ว่าเพื่อนใหม่คนนี้ชื่อ ใบข้าว (ใบของต้นข้าว) และเธอถูกเลือกเป็นบัดดี้ของเขาเพราะเธอเป็นเด็กนักเรียนทุน จำเป็นต้องช่วยงานต่างๆ ในคณะฯ การเป็นพี่เลี้ยงให้เพื่อนนักศึกษาที่มาจากต่างประเทศก็เป็นหนึ่งในงานกึ่งอาสาที่ใบข้าวต้องทำ
แต่แววตาสดใสและรอยยิ้มเจิดจ้าจริงใจของเธอทำให้หยางหลงเหวินมั่นใจว่าใบข้าวเต็มใจไม่ได้โดนบังคับ เพราะเขาคงไม่อยากให้การมาหาประสบการณ์ของเขาในหนึ่งปีนี้สร้างปัญหาให้ใคร
อันที่จริงตอนนั้นหลงเหวินไม่รู้ตัวเลยว่า วันที่เขาปรากฏตัวที่คณะ บางคนที่เคยปฏิเสธการทำหน้าที่บัดดี้เพราะกลัวไม่มีเวลาไปท่องศัพท์ ถึงกับบ่นเสียดาย เพราะไม่ได้คาดคิดไว้ก่อนเลยว่าคนที่จะมาเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนจะสูง ยาว ขาว หล่อเข้ม ผิดจากหนุ่มตี๋ทั่วไปที่เคยเห็น
‘อิจฉาไอ้ข้าวว่ะ...’
เพื่อนบางคนบอก ใบข้าวหัวเราะร่วน
‘เหล่าซือก็ไม่ได้ห้ามให้พวกแกเป็นเพื่อนกับเขานี่นา มาคุยกับหลงเหวินเยอะๆ สิ จะได้ฝึกภาษาไปด้วย’
‘บอกตรงๆ ว่าเขินวุ้ย ไม่กล้ามองหน้านานๆ เขาหล่อเกินไป ฉันเรียนไม่รู้เรื่อง’
อีกคนสารภาพ เรียกเสียงหัวเราะได้หนักกว่าเดิม
หลงเหวินไม่ใช่แค่หน้าตาและรูปร่างดี เขายังมีนิสัยดี อัธยาศัยดีที่สุดเท่าที่วัยรุ่นคนหนึ่งจะดีได้ ที่น่าแปลกคือนิสัยใจคอของเขากับใบข้าวเข้ากันได้เป็นอย่างดี เขาติดดิน ปรับตัวเก่ง เข้ากับทุกคนได้ง่าย ทำให้เหล่าซือสบายใจ
เมื่อเริ่มสนิทกันมากขึ้น หลงเหวินบอกใบข้าวว่าครอบครัวของเขาที่ไต้หวันทำค้าขาย แม่ตายตั้งแต่เด็ก เขามีน้องชายอีกสองคน และโตมากับปู่เป็นส่วนใหญ่
‘พ่อฉันก็เสียตั้งแต่ฉันยังเล็กเหมือนกัน ฉันโตมากับญาติๆ พออายุสิบสองแม่ก็มารับฉันไปอยู่ด้วย...แต่ตอนนี้ฉันอยู่หอพักมหาวิทยาลัย’
ใบข้าวบอกเขาแค่นั้น หลงเหวินยังโกรธตัวเองอยู่เสมอที่ไม่เคยถามให้ละเอียดกว่านี้ เพราะถ้าเขารู้ตั้งแต่วันนั้นว่าเธอใช้ชีวิตแบบไหน โตมายังไง พวกเขาคงไม่ต้องพลัดพรากจากกันไปถึงสิบปีเต็ม
หยางหลงเหวินตั้งใจจะบอกตรงๆ ว่าเขาเปลี่ยนแผนเรื่องที่จะว่าจ้างนักบริหารมืออาชีพมาดูแลเมร่าแกรนด์แทนจางเจี๋ยที่ถูกเรียกตัวกลับไต้หวัน แต่เมื่อเห็นว่าใครที่รอเขาอยู่ในห้องประชุม หลงเหวินก็สั่งให้ทุกคนออกไปไม่เว้นแม้แต่อาเฟยเหลือไว้เพียงเขากับ “เธอ” คนนั้นตามลำพัง“ไม่ได้เจอกันนานนะคะ ประธานหยาง”ไป๋อวี่ชิงส่งยิ้มอ่อนหวานเยือกเย็นมาให้ ลูกสาวคนเล็กของสกุลไป๋อยู่ในชุดสูทสีขาวสวยสง่าราวนางพญา ทั้งที่อายุเพียง 28 ปีเท่านั้น“ปู่ส่งคุณมาใช่ไหม”ประธานหนุ่มถามทันทีอย่างไม่มีอารัมภบท ไป๋อวี่ชิงหัวเราะเบาๆ“ที่จริงฉันก็ตั้งใจจะมาทักทายคุณอยู่แล้ว แต่พอรู้ว่าผู้อำนวยการเฟยกำลังมองหาบริหารมืออาชีพมาบริหารเมร่าแกรนด์ ฉันก็เลยเสนอตัว”“แล้วเจ้าเฟยก็ไม่บอกสักคำ”เขาเอ่ยเสียงเย็น สีหน้าเคร่งขรึม“อย่าโทษเขาเลยค่ะ เขาไม่ทราบมาก่อนว่าฉันจะมา...”หยางหลงเหวินถอนหายใจและดึงเก้าอี้ลงนั่งอย่างไม่ต้องการพิธีรีตอง“ขึ้นไปพบผมที่ห้องทำงานก็ได้ ไม่เห็นต้องมาถึงนี่”“ก็อยากคุยเรื่องงานเหมือนกันนี่คะ”ชายหนุ่มเลิกคิ้ว“คุณหนูชิงชิงสนใจจะมาบริหารโรงแรมเล็กๆ ของหยางกรุ๊ปจริงๆ น่ะหรือ ผมไม่มีเงินจ้างคุณหรอกนะ อีกอ
ใบข้าวยังไม่ได้เจอหยางหลงเหวินอีกตั้งแต่ออกมาจากห้องทำงานของเขา เมื่อเลิกงานในเย็นวันนั้น เธอก็รีบนั่งรถเมล์ตรงดิ่งกลับห้องเช่า ตอนอยู่ที่โรงแรมเธอทั้งเครียดทั้งตื่นเต้นจนกินอะไรไม่ลง ตอนนี้เริ่มรู้สึกหิวขึ้นมา ซื้อข้าวไข่เจียวให้ตัวเองกล่องนึงและแวะซื้ออาหารเปียกอีกซองเมื่อไขประตูห้อง ร่างเล็กๆ สีดำร่างหนึ่งก็พุ่งออกมา แต่เธอระวังอยู่แล้วจึงคว้ามันไว้ได้ทันท่วงที“เจ้าจิ๋ว! จะหนีไปไหนอีกแล้ว!!!”ที่แท้ร่างเล็กๆ สีดำนั่นก็คือแมวจรตัวน้อย ตัวเล็กชนิดอุ้มได้ด้วยมือเดียว เมื่อสองสัปดาห์ก่อนมีเสียงลูกแมวร้องลั่นซอย คนในซอยช่วยกันตามหาจึงได้เห็นแมวน้อยสีดำตัวหนึ่งกำลังร้องเรียกหาแม่ เนื้อตัวเต็มไปด้วยคราบน้ำมันเครื่อง แสดงว่าคงติดท้องรถใครมาแน่ๆไม่รู้ทำอีท่าไหน ใบข้าวจึงกลายเป็นคนที่รับเจ้าจิ๋วมาเลี้ยงจนได้ ห้องเช่าเล็กๆ พอมีที่ให้แมวน้อยและเจ้าของก็ไม่ว่าอะไรเพราะคนในซอยนี้เลี้ยงแมวกันหลายบ้าน เจ้าจิ๋วจึงได้มาอยู่กับใบข้าวด้วยประการฉะนี้จิ๋วกินอาหารเปียกที่ใบข้าวเทให้อย่างหิวโหย หญิงสาวก็ทรุดตัวนั่งใกล้ๆ กินข้าวไข่เจียวของตัวเองไปเหมือนกัน ระหว่างที่กินไป ใจก็ลอยไปถึงหยางหลงเหวินยังไม
“หยาง...ปล่อยฉันก่อนเถอะนะ ฉันหายใจไม่ออก”ใบข้าวพูดอู้อี้อยู่กับอกเขา เธอควรจะเป็นฝ่ายใจเต้นแรงแท้ๆ แต่เมื่อสัมผัสได้ว่าร่างสูงปราดเปรียวที่กอดเธออยู่มีอาการสั่นนิดๆ ความตื่นเต้นของเธอก็ค่อยๆ หายไปหลงเหวินยอมคลายอ้อมแขน แต่ยังจับหัวไหล่ทั้งสองข้างของเธอเอาไว้“ตอบคำถามฉันมาให้หมด ไม่อย่างนั้นอย่าหวังว่าจะได้ออกจากห้องนี้”“เธออยากรู้อะไรล่ะ”“ทั้งหมด ตั้งแต่สิบปีก่อน และตลอดสิบปีมานี้...ฉันอยากรู้ทั้งหมด”“แต่ฉันไม่ว่างขนาดนั้นหรอกนะ”หญิงสาวฝืนหัวเราะ ไม่กล้าสบตาเขา“เอาแบบนี้ดีไหม ให้ฉันกลับไปทำงานของตัวเองก่อน แล้วว่างๆ เราค่อยมาคุยกัน”“เมื่อกี้คนคนนั้นบอกว่าเธอเพิ่งมาทำงาน?”“ใช่ ฉันเพิ่งมาทำได้แค่สามวัน วันนี้วันที่สี่...” แล้วก็เจอนายนี่แหละ!!! ยังไม่อยากจะเชื่อเลย“เธอทำงานแผนกแม่บ้านจริงๆ เหรอ ไม่ใช่ว่ามีเรื่องอะไรเข้าใจผิดกันใช่ไหม”“เห็นชุดฉันไหมล่ะ”ใบข้าวพูดยิ้มๆ ตั้งใจให้เขารู้สึกว่าเป็นเรื่องตลก แต่หลงเหวินไม่ยักขำ คิ้วเข้มของเขายิ่งขมวดเข้าหากันมากขึ้น“ทำไมเธอมาทำงานแม่บ้าน ภาษาของเธอน่าจะทำให้เธอได้ทำงานที่ดีกว่านี้”“งานแม่บ้านก็ดี...”ใบข้าวตอบ ดึงตัวออกจากมือเขา
“ดิฉันชื่อใบ...”เธอกำลังตอบและเงยหน้าขึ้นมองเขาคำตอบนั้นชะงักไปทันที พร้อมๆ กับดวงตาที่เบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจแค่เห็นสีหน้าแบบนี้ หยางหลงเหวินก็รู้ทันทีว่าเขาจำคนไม่ผิด เพราะถ้าไม่เคยรู้จักกัน เธอคงไม่ทำหน้าเหมือนเห็นผีแบบนี้“ใบข้าว...เธอนั่นเอง”“...มังกร...”หญิงสาวพลาดที่หลุดปากออกไป ไม่มีทางจะปฏิเสธได้อีกว่าเธอไม่ใช่คนที่เขาคิดเพราะดันเรียกเขาด้วยชื่อที่มีเพียงเธอเท่านั้นที่เคยเรียก“ใช่เธอจริงๆ”หยางหลงเหวินหัวเราะเครียดๆ ทั้งน้ำเสียงและชื่อเรียกที่เฉพาะเจาะจงนั้นทำให้หัวใจของเขารัวกระหน่ำใบข้าวถอยเท้าหนีอย่างไม่ตั้งใจ หยางหลงเหวินก้าวตามเธอก้าวหนีอีกสองก้าว เขาก็ก้าวยาวๆ ไปอีกครึ่งก้าวเธอก้าวถอยอีกครั้ง คราวนี้พลาดเหยียบน้ำที่ยังเช็ดไม่หมด ถึงกับลื่นหงายหลัง อีกนิดเดียวก้นคงจ้ำเบ้า...แต่หยางหลงเหวินไวกว่า คว้าเอวเธอไว้ได้ทัน พริบตาเดียวร่างผอมบางของเธอก็ถูกเขารัดแน่นท่ามกลางสายตาตื่นตกใจของเฟยจื้อหรงและทีมเลขาฯ ที่อยู่ข้างหลัง“เป็นเธอจริงๆ ใช่เธอจริงๆ ใบข้าว”“ไม่ใช่ค่ะ”เธอได้สติ ปฏิเสธเบาๆ และผลักเขาออกหลงเหวินยอมปล่อยแขนออกอย่างเสียดาย แต่มือเลื่อนไปจับหัวไหล่เธอไว้
"พี่น่าจะบอกฉันก่อนว่าจะมา...!!!"จางเจี๋ย เอ่ยเป็นประโยคแรกเมื่อเขาผลักประตูห้องทำงานของตัวเองเข้าไปแล้วพบชายร่างสูงในชุดสูทสีเทาเข้มกำลังยืนมองออกไปนอกหน้าต่างกระจกบานใหญ่เพิ่งมีคนโทรไปปลุกจางเจี๋ยเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนนี้เองว่าญาติผู้พี่ของเขามาถึงกรุงเทพฯ แล้ว และอยู่ที่โรงแรมแล้วด้วย จางเจี๋ยที่กำลังงัวเงียแทบจะสร่างเมาในพริบตา เขาผลักร่างเปลือยเปล่าของหญิงสาวคู่ขาออกไปแล้วรีบกระโจนอาบน้ำล้างหน้าแต่งตัวเพื่อลงมาที่ห้อง "ท่านประธาน" ทันทีบัดนี้ หยางหลงเหวิน ลูกพี่ลูกน้องก็ยืนอยู่ตรงนั้น อีกฝ่ายหันกลับมา สีหน้าเย็นชาเรียบเฉย มีเพียงคิ้วเข้มที่ยกขึ้นเล็กน้อย"เอ่อ...ถ้าฉันรู้ว่าพี่จะมา จะได้เตรียมตัวต้อนรับให้ดีกว่านี้" จางเจี๋ยบอกเก้อๆ"นั่นคือเหตุผลที่ฉันไม่บอกนายก่อน เพราะนายจะได้ไม่มีเวลาเก็บกวาดอะไรก็ตามที่ไม่อยากให้ฉันเห็น""แหม อะไรกันพี่ พูดอะไรอย่างนั้น"จางเจี๋ยหัวเราะแหยๆ ยกมือปาดเหงื่อทั้งที่หน้าผากยังแห้ง"พี่ไม่ไว้ใจฉันใช่ไหม ถึงได้มาหากันปุบปับแบบนี้...ฉันไม่คิดเลยนะว่าพี่จะยอมมา คุณตาสั่งให้พี่กลับมากรุงเทพฯ ตั้งหลายครั้งแต่พี่ก็ปฏิเสธทุกครั้ง""ครั้งนี้ฉันก็ไม่อยาก