เพราะที่เมืองเสิ่นหนานมีคฤหาสน์อยู่หนึ่งหลัง เขาเคยมาซื้อทิ้งเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว นาน ๆ ครั้งผ่านมาที่นี่จึงจะแวะมาพักสักวันสองวันเพื่อให้หายเหนื่อยก่อนเดินทางต่อ เว่ยเจิ้งหยางจึงพานางไปพักรักษาตัวอยู่ที่นั่น ซ้ำยังถูกบุตรชายออกคำสั่งให้เขาเป็นผู้ดูแลใกล้ชิด
ชายหนุ่มสำรวจร่างกายเพื่อให้แน่ชัดว่านางเป็นบุตรสาวบ้านไหน โดยปกติพวกคุณหนูผู้ดีมักจะมีป้ายหยกหรือพู่ห้อยประดับตราสัญลักษณ์ประจำตระกูล ค้นหาอยู่ครู่หนึ่งก็พบป้ายหยกที่มีสัญลักษณ์ของจวนฟู่โหว ได้ยินว่าที่ฟู่โหวมีบุตรหลานมากมายที่โดดเด่นโดยเฉพาะบุตรสาวคนโตและคนรอง พวกนางใบหน้างดงามล่มเมืองไม่เป็นรองผู้ใด
แต่ชื่อเสียงของคนพี่นั้นไม่ค่อยดีนัก ได้ยินว่าถึงจะงดงามกว่าผู้เป็นน้องสาวก็จริงแต่กลับมีนิสัยร้ายกาจ เป็นที่โจษจันกันไปทั่วทั้งเมือง ส่วนคนน้องถึงจะเป็นลูกของอนุภรรยาและงดงามไม่เท่ากลับมีจิตใจอ่อนโยนและมีน้ำใจ จากที่บุตรชายของเขาเล่างั้นนางก็คงเป็นคุณหนูคนรองของจวน
“ลู่เจียง เจ้านำสัญลักษณ์นี่ไปที่จวนฟู่โหว และบอกพวกเขาที ว่าคุณหนูของพวกเขาอยู่ที่นี่ ทางนั้นจะได้คลายกังวล” บุตรสาวหายไปเป็นวันขนาดนี้ทางนั้นคงร้อนใจออกตามหาเป็นแน่ เขาจึงสั่งให้คนของตนไปรายงานที่จวนฟู่โหว
“ท่านพ่อ พี่สาวจะฟื้นหรือไม่” เด็กชายใช้ผ้าชุบน้ำบรรจงเช็ดหน้าให้นางอย่างอ่อนโยน แต่แรงของเด็กชายมีน้อย ผู้เป็นบิดาเห็นแล้วก็อดไม่ได้จึงรับผ้าผืนนั้นมาเช็ดให้นาง
“เดี๋ยวนางก็ฟื้น” เขาบอกกับบุตรชาย
“ใช่แล้ว พี่สาวเป็นคนดี อีกไม่นานนางก็ฟื้น”
------------------------
บ่าวรับใช้และองครักษ์เดินเล่นเพลิดเพลินอยู่ในตลาด โดยไม่ได้สนใจหรือใส่ใจว่าเจ้านายของตนจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ทั้งเสี่ยวถิงและเสี่ยวเยว่ใช้เงินในถุงของเจ้านายจับจ่ายใช้สอยและแบ่งปันกันเป็นส่วน ๆ
ด้วยนิสัยของคุณหนูใหญ่ ไม่เคยนับอยู่แล้วว่าตัวนางมีเงินจำนวนเท่าไหร่ ข้าวของเครื่องประดับก็ถูกพวกนางยักยอกออกมาแลกเปลี่ยนเป็นเงินเอามาใช้ฟุ่มเฟือย ยอมโดนตบตีสาดน้ำนิดหน่อยก็ไม่เป็นไรเพื่อแลกกับการได้อยู่ในเรือนคุณหนูใหญ่และขโมยของ
“เจ้าว่าป่านนี้นางจะเป็นอย่างไรบ้าง” เสี่ยวถิงถามสหาย
“ไม่รู้สิ ไม่แน่อาจจะเดินย้อนกลับไปที่จวนโหวแล้วก็ได้”
“คิกคิก งั้นพวกเรากินอิ่มแล้วก็กลับกันบ้างเถอะ เราทำหน้าทำตาน่าสงสารบอกว่าพลัดหลงกับนาง ยังไงท่านโหวก็เข้าข้างเราอยู่ดี”
ที่เป็นเช่นนั้น เพราะฟู่โหวรู้นิสัยของบุตรสาวดี เขาตามใจนางมาตั้งแต่ยังเล็ก เนื่องด้วยเพราะนางสูญเสียมารดาและร่างกายอ่อนแอ ครั้นเติบใหญ่ก็กลายเป็นสตรีนิสัยเสีย พี่น้องคนอื่น ๆ ล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีจิตใจโอบอ้อมอารีมีเพียงนางเท่านั้นที่ผ่าเหล่าผ่ากอ เป็นสตรีร้ายกาจอยู่เพียงผู้เดียว
บุตรสาวคนรองที่เป็นเพียงลูกอนุภรรยายังดูเหมาะสมกับการเชิดหน้าชูตาเสียมากกว่า นางทั้งใจดีและอ่อนโยน ไม่เคยดุด่าว่ากล่าวบ่าวรับใช้เลยสักหน ผิดกับคุณหนูใหญ่ ที่เมื่อไม่พอใจอะไรก็มักจะดุด่าตบตี
เมื่อทั้งสองกลับมาถึงจวนก็พบว่าคุณหนูใหญ่ยังไม่ได้กลับมา พวกนางทั้งสองเริ่มเป็นกังวล หากเกิดเรื่องไม่ดีกับคุณหนูใหญ่ขึ้นมาจะทำอย่างไร นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของการพลัดหลงธรรมดาเสียแล้ว เพราะเกรงว่าตัวเองจะติดร่างแหโดนท่านโหวลงโทษ
จึงรีบกลับเข้าไปในห้องของคุณหนูใหญ่ขโมยสิ่งของมีค่าและรีบหลบหนีไปในที่สุด
------------------------
คนของลู่เจียงเมื่อมาถึงก็เข้าไปรายงานฟู่โหว ว่าองครักษ์ของเว่ยอ๋องมาขอพบ ฟู่ซิ่งเมื่อได้ยินว่าคนของเว่ยอ๋องมาขอพบก็แปลกใจ เพราะทั้งเขาและเว่ยอ๋องไม่เคยมีเรื่องบาดหมาง ไม่เคยคบค้าสมาคมกัน อีกทั้งความสัมพันธ์ในราชสำนักก็เป็นไปแบบเรียบง่ายไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กัน
“นายท่านจะเอาอย่างไรดีขอรับ” พ่อบ้านฟู่ถามความคิดเห็น
“อย่างไรก็ออกไปพบหน้าก่อน ดูท่าทีของพวกเขาให้แน่ใจ จะได้ไม่มีเรื่องขุ่นใจกันโดยใช่เหตุ” ฟู่ซิ่งเอ้ย
ซึ่งตัวพ่อบ้านฟู่เองก็เห็นด้วยกับวิธีการนี้จึงมิได้ทัดทานอะไร โดยตัวเขาเดินออกไปรับหน้าก่อน ในเวลาไม่นานฟู่โหวจึงเดินตามออกมา
ชื่อเสียงของฟู่โหว ลู่เจียงรับรู้มาบ้าง ตัวของเขานับว่าเป็นเอกบุรุษ ใจดีมีคุณธรรม มีน้ำใจเป็นอันดับหนึ่ง ประพฤติตนอยู่กึ่งกลางระหว่างขุนนางฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายใดและก็มิได้ทำตัวมีปัญหากับใคร เที่ยงตรงยุติธรรม
เสียอยู่อย่างเดียวตามใจคุณหนูใหญ่จนเสียคน
รอคอยไม่นาน บุรุษท่าทางทรงอำนาจสวมชุดสีน้ำเงินเข้มเนื้อดีก็ก้าวเข้ามาในห้องรับรองแขกและนั่งยังเก้าอี้ประธานที่อยู่กลางห้อง
“คารวะฟู่โหว” ลู่เจียงเอ่ยอย่างนอบน้อม
“องครักษ์ลู่ เชิญตามสบาย”
เมื่อเจ้าบ้านเอ่ยลู่เจียงจึงเดินไปนั่งเก้าอี้อย่างมีมารยาท
“ที่ข้ามาวันนี้เพราะท่านอ๋องให้ข้านำข่าวมาแจ้งแก่ท่าน” ลู่เจียงเปิดประเด็นไม่อ้อมค้อม
ฟู่ซิ่งประเมินสิ่งที่องครักษ์หนุ่มเอ่ย ท่าทางไม่ได้เร่งร้อนคิดว่าไม่น่าใช่เรื่องที่จะสร้างปัญหาให้กับเขา ผู้ชราจึงยอมรับฟัง
“เชิญองครักษ์ลู่”
รอให้บ่าวยกน้ำชาให้เรียบร้อย และรอให้พวกนางออกไปจากห้อง ลู่เจียงจึงหยิบป้ายหยกชิ้นหนึ่งออกมา
“หยกชิ้นนี้เป็นของบุตรสาวของท่านใช่หรือไม่” ลู่เจียงยกขึ้นเพื่อให้เจ้าของบ้านดูให้ถนัด
เพราะแก่แล้วเขาจึงดูไม่ค่อยชัด พ่อบ้านฟู่จึงรับอาสานำไปให้ผู้เป็นนายดูให้ใกล้ ๆ เมื่อได้รับและพิจารณาให้ชัดเจนแน่นอนว่าไม่ผิด
“ไม่ผิด หยกชิ้นนี้เป็นของบุตรสาวของข้า” ฟู่ซิ่งจำได้แม่น ตัวหยกทำมาจากหยกสีชมพูหายากที่ตัดแบ่งออกเป็นสองชิ้น สลักเป็นสัญลักษณ์ของสกุลและตัวอักษรแบบที่เป็นเอกลักษณ์เอาไว้ เนื่องจากเป็นสีชมพูและเหมาะกับสตรี เขาจึงยกทั้งสองชิ้นให้กับบุตรสาวคนโตและคนรอง
“งั้นก็ใช่แล้ว ดูเหมือนบุตรสาวคนรองของท่านจะประสบปัญหา”
ผู้ชราขมวดคิ้วด้วยความเคร่งเครียด เกิดอะไรขึ้นกับลูกสาวของเขากัน และยังไม่ทันที่ฟู่ซิ่งจะได้เอ่ยอะไรต่อ ฟู่เหยาเหยาที่เพิ่งกลับมาจากตลาดก็เข้ามารายงานตัวพอดี โดยที่ไม่ได้สังเกตว่าบิดากำลังมีแขกสำคัญ
“คารวะท่านพ่อ” นางยิ้มแจ่มใสเดินเข้าไปหาผู้เป็นบิดา “ข้าได้ยินว่าท่านพ่ออยู่ที่เรือนต้อนรับจึงตั้งใจมาหาท่านก่อนจะกลับเข้าเรือนตัวเอง” ร่างเล็กเห็นสีหน้าของบิดาเคร่งเครียด จึงหันไปมองด้านข้างถึงได้รู้ว่าตัวเองทำพลาดไปแล้ว “ตายจริงข้าไม่ทราบว่าท่านพ่อมีแขกเหยาเหยาขอโทษด้วย”
จนถึงตอนนี้ฟู่ลี่อิ๋งก็ยังไม่ได้ยินข่าวคราวของฟู่เหยาเหยาคล้ายกับว่านางหายไปจากโลกนี้อย่างไรอย่างนั้น อากาศในเมืองหลวงเริ่มหนาวขึ้นทุกวัน ๆ รวมไปถึงท้องของนางที่โตขึ้นเรื่อย ๆ การยืนเดินนั่งนอนของนางล้วนลำบากไปเสียหมด หลายครั้งที่ฟู่ลี่อิ๋งลุกขึ้นมานั่งร้องห่มร้องไห้กลางดึกเพียงเพราะอยากกินบะหมี่เนื้อรสเผ็ดทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านางไม่คอยชอบความเผ็ดของมัน ฟู่ลี่อิ๋งคิดถึงวันที่ที่พระสวามีเคยพาไปกิน คิดถึงเมื่อตอนที่แต่งงานกันใหม่ ๆ ส่วนเว่ยจงหมิงเองก็ตามใจและเข้าใจได้ไท่จื่อเฟยตั้งครรภ์ท้องแรกอีกทั้งยังไม่มีประสบการณ์ไม่มีผู้ใดสอนนางเกี่ยวกับเรื่องนี้ นางจะกลัว กังวลและหวั่นใจไม่ใช่เรื่องแปลก เป็นหน้าที่ของเขาที่เป็นสามีที่จะคอยให้ความอุ่นใจ อยู่เคียงข้างนางให้นางอบอุ่นใจในบางวันที่เว่ยจงหมิงต้องไปทำงานไกล ๆ ก็จะได้ไคไคน้อยมาอยู่เป็นเพื่อนคอยเล่านู่นเล่านี้ให้นางฟังไม่มีเบื่อถึงตอนนี้ฟู่ลี่อิ๋งถึงเพิ่งสังเกตว่าไคไคน้อยสูงขึ้นมาก จากที่เคยสูงกว่าเอวนางนิดหนึ่งตอนนี้หัวของเขาอยู่ในระดับไหล่นางเสี
หลังจากได้ยินเรื่องที่ฟู่เหยาเหยาหย่ากับเว่ยเจิ้งหยาง ฟู่ลี่อิ๋งก็ไม่สบายใจนัก นางไปถามกับพี่ชายว่าสาเหตุที่เขามาที่เมืองหลวง ใช่เรื่องเพราะเรื่องนี้หรือไม่ คราแรกเขาอ้ำอึ้งไม่ยอมพูดจนสุดท้ายนางก็คาดคั้นเอาคำตอบออกมาจากปากเขาได้ในที่สุดเมื่อได้ยินทุกอย่างที่นางอยากจะฟัง ฟู่ลี่อิ๋งจึงลากพี่ชายไปสืบความที่จวนเว่ยอ๋องด้วยกัน เนื่องด้วยไม่อยากไปเหยียบที่นั่นเพียงลำพังเว่ยเจิ้งหยางเมื่อได้ยินว่าไท่จื่อเฟยมาถึงที่นี่ก็ละทิ้งทุกอย่างรีบมาหานาง แต่เมื่อออกมาถึงกลับพบว่านางไม่ได้มาตามลำพัง เรื่องราวที่เคยคิดเข้าข้างตัวเองก็สลายหายไป นางมาที่นี่พร้อมกับฟู่หมิงจือ สีหน้าท่าทางของโหวน้อยดูกังวล ส่วนฟู่ลี่อิ๋งดูเย็นชาเห็นหน้าของเว่ยเจิ้งหยาง หญิงสาวก็เริ่มพูดคุยเขาเรื่องทันทีโดยไม่อ้อมค้อม“ข้าได้ยินจากไท่จื่อบอกว่าท่าหย่ากับน้องสาวของข้าแล้ว”เว่ยเจิ้งหยางเลิกคิ้วเล็กน้อย “ใช่แล้ว ข้าหย่ากับนางไปตั้งแต่วันที่กลับมาจากจวนเสนาบดีสี”“เรื่องสำคัญเช่นนี้ ไม่เห็
แสงอาทิตย์ลอดเข้ามาในห้องนับแล้วเท่ากับแปดครั้ง สีฮูหยินกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างดีใจ นางหัวเราะเสียงดังลั่นอย่างสะใจ ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง จากนี้ไปจะไม่มีเว่ยจงหมิงอยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไปแล้วในขณะที่นางกำลังดีใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แสงไฟในคุกก็สว่างไสวประดุจกลางวัน สีฮูหยินที่อยู่ในความมืดมานานนับสัปดาห์ต้องหลับตาและใช้แขนเสื้อของตนเองปกป้องดวงตาของตัวเอง ก่อนที่ไม่นานหลังจากนั้นนางจึงจะสามารถลืมตาขึ้นได้สิ่งที่สตรีวัยกลางคนเห็นเมื่อลืมตาขึ้นพบกับบุรุษที่นางเกลียดที่สุดผู้หนึ่งในชีวิต เว่ยจงหมิงนั่งอยู่บนคานหาม แบบสี่คนแบก ชายหนุ่มนั่งอยู่บนนั้นเส้นผมดำขลับถูกปล่อยสยายยาวสอดรับกับใบหน้าหล่อเหลา เขาสวมเสื้อผ้าสีขาวสบาย ๆ ท่าทางไม่ทุกข์ไม่ร้อนกับสิ่งใด และดูไม่เจ็บไม่ป่วย“ทำไมเจ้ายังมีชีวิตอยู่” สีฮูหยินได้เห็นหน้าของเว่ยจงหมิงก็เริ่มมีปฏิกิริยาแห่งโทสะ“องค์หญิงเออร์น่าคงตกใจมาก ที่เห็นว่าข้ายังมีชีวิตอยู่” เว่ยจงหมิงหยิบองุ่นขึ้นมากินในขณะที่สนทนากับนาง“ไม่!!!
อากาศยามเช้าหลังจากฝนหยุดตกสดชื่นปลอดโปร่ง เสียงวิหคบินวนขับขานดังกังวานไปทั่วทั้งพื้นที่ เช้าวันนี้นางรู้สึกว่าตัวเองสดชื่นกว่าทุกวัน อาจจะเป็นเพราะยาบำรุงของท่านซุน ที่ช่วยให้นางผ่อนคลายและหลับสบายมากยิ่งขึ้น ตั้งแต่ที่พระสวามีป่วยฟู่ลี่อิ๋งก็ย้ายออกไปนอนห้องนอนเล็กที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันเพราะนางไม่อยากรบกวนคนป่วยเกรงว่าตนเองจะนอนดิ้นและทำให้เขาลำบาก รอให้เว่ยจงหมิงฟื้นและหายดีก่อนค่อยกลับมาร่วมห้องทีหลังก็ได้ทุก ๆ วันฟู่ลี่อิ๋งจะมานั่งเฝ้าพระสวามีในห้อง นี่ก็ผ่านมา 7 วันนับตั้งแต่เขาถูกพิษ เว่ยจงหมิงก็ไม่ฟื้นสักที วันนี้ก็เช่นกันนางมานั่งข้างเตียงพูดคุยกับเขาดังเช่นเคยมือเรียวเล็กจับมือของเขามาสัมผัสที่หน้าท้องแบนราบของตนเอง“ท่านพี่ เมื่อไหร่ท่านจะฟื้นกันนะ” ร่างเล็กพึมพำ “ท่านรู้หรือไม่ว่าไคไคน้อยกำลังจะมีน้องชายน้องสาวแล้วนะ” ฟู่ลี่อิ๋งกระซิบแผ่วเบาสีหน้าของเว่ยจงหมิงดูดีกว่าหลายวันที่ผ่านมา วิธีการของท่านซุนออกจะประหลาดไปบ้างแต่ก็ได้ผล หนำซ้ำยังได้ยาบำร
เสี่ยวหลงติดตามท่านเหลียงออกเดินทางไปยังเมืองต่าง ๆ เพื่อติดตามเรียนรู้วิชาการตัดเย็บเสื้อผ้าจากเหลียงเหลียนฮ่าวและฝากตัวเป็นลูกศิษย์ แต่เมื่อหลายวันก่อนตอนเดินทาง ในวันที่พายุฝนโหมกระหน่ำ คณะเดินทางของท่านเหลียงผ่านไปพบกับสตรีผู้หนึ่ง นางนอนกลายเป็นซากคล้ายกับศพอยู่ในเส้นทางที่พวกเขาผ่านสภาพของนางไม่ต่างอะไรจากซากศพบาดแผลบนใบหน้าฉกรรจ์น่ารังเกียจ สัตว์และแมลงตอมไต่จนบาดแผลเน่าเฟะเหม็นคลุ้งเหลียงเหลียนฮ่าวใช้ไม้เขี่ย ๆ เห็นว่านางยังมีชีวิตอยู่จึงพาตัวไปด้วยกันถือว่าเอาบุญ ตอนที่ช่วยเหลือเสี่ยวหลงเห็นตราหยกสีชมพูคล้าย ๆ กับชิ้นที่ไท่จื่อเฟยมี ก็เดา ๆ เอาไว้ว่าสตรีอัปลักษณ์ผู้นี้น่าจะเป็นผู้ใด แต่ก็ไม่ได้บอกเล่าเรื่องนี้ให้ผู้ใดฟังกระดูกบนร่างกายของสตรีอัปลักษณ์หักอยู่หลายส่วน ท่านหมอที่ติดตามมากับคณะของเหลียงเหลียนฮ่าวใช้วิธีการเอาไม้ไผ่มาดามนางเอาไว้ทั้งร่าง ฟู่เหยาเหยาตื่นขึ้นมาอีกทีพบว่าร่างกายของตนเองกำลังถูกวางเอาไว้บนเกวียนบรรทุกสิ่งของ แขนขาถูกมัดเอาไว้กับไม้ไผ่ขยับไปไหนไม่ได้
เจ้างูสีขาวตัวเล็ก ๆ ดูเหมือนจะหงุดหงิดเล็กน้อยที่มันถูกผู้เป็นนายปลุกให้ตื่น มันสะบัดหัวไปมาและค่อย ๆ ยืดตัวชูคอขึ้นทำท่าทางคล้ายกับบิดขี้เกียจ แต่เมื่อเห็นหน้าผู้เป็นนายมันก็รีบกระโดดออกจากกระปุกสีขาวขึ้นไปหยอกล้อคลอเคลียท่าทางเหมือนกับลูกสุนัขตัวเล็ก ๆฟู่ลี่อิ๋งเห็นแล้วก็พูดสิ่งใดไม่ออก สัตว์มีเกล็ดลิ้นยาวพวกนั้นสามารถมองให้น่ารักได้ด้วยหรือ นางรู้สึกขนลุก แต่ก็ไม่ได้ปริปากพูดสิ่งใดออกมา ปล่อยให้ท่านซุนรักษาไปตามวิธีการของเขา แม้จะทำให้คนที่อยู่ข้าง ๆ รู้สึกคล้ายจะเป็นลมอยู่ตลอดเวลาก็ตามงูเทพหิมะเมื่อเห็นแมงป่องสีรุ้งมันก็คล้ายกับทำตาโตด้วยความดีใจ ซุนจงปล่อยมันลงกับพื้นพร้อม ๆ กับแมงป่องสีรุ้ง ทั้งงูและแมงป่องลงต่อสู้กัน เจ้าแม่งป่องพยายามใช้หางพิษของตนเองต่อสู้กับเจ้างูเทพหิมะแต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้ต่อความปราดเปรียวของเจ้าตัวเล็กสีขาวทันทีที่แมงป่องสีรุ้งสิ้นท่า เจ้าตัวเล็กสีขาวก็เขมือบเจ้าแมงป่องตัวสีรุ้งที่นอนหมดแรง เข้าไปทั้งร่างอย่างเชื่องช้า เจ้าของร่างเล็กแบบบางต้องหลับตาขยับไปหลบอยู่เบื้องหลังของ