เข้าสู่ระบบบทที่ 5
“อะเอ้อ…แล้วไม่เล่นด้วยกันเหรอคะ” ให้ตายสิ! เธอแทบคิดไม่ออกว่าจะรั้งเขาไว้ยังไง และถ้าขืนปล่อยเขากลับไปนั่งที่เดิม แผนที่วางไว้คงพังไม่เป็นท่า
“ไม่ล่ะ ผมหนาว” คำตอบเขาทำเธออ้าปากค้าง รู้สึกเหมือนถูกเหน็บกลายๆ และถ้าจะมีคนหนาวก็ควรจะเป็นเธอนี่ หนาวจนปากสั่นขาชาไปหมดแล้วด้วย เอ้อ! แต่ตอนนี้คงต้องช่างเรื่องหนาวไปก่อน เพราะเขากำลังจะไปแล้ว
“เดี๋ยวค่ะ ว้าย!” เธอพยายามจะรั้ง แต่เพราะรีบลุกเกินไป อีกทั้งพื้นหินด้านล่างมันก็ลื่น ทำให้เธอยืนไม่อยู่ แต่ก่อนที่เธอจะล้มหน้าคะมำ เขาก็หันมาคว้าตัวเธอได้ซะก่อน
“…” ทุกอย่างพลันเงียบสงัดจนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน มือของเขาที่ยังจับหมับอยู่ที่เอวคอด และตัวเธอที่ถูกรั้งเข้ามาจนแนบชิดอยู่กับตัวเขา พ่อเลี้ยงหนุ่มนิ่งขึงไปเพราะกลิ่นหอมจางๆ ที่ลอยมารบกวนจิตใจ ในขณะที่หญิงสาวก็กำลังกระวนกระวายใจกับแผนการที่เพื่อนฝากฝังเอาไว้ อีกทั้งสถานการณ์ตอนนี้มันก็เป็นใจให้แผนเริ่มได้สักที
“อุ๊ย! เจ็บขาจังเลยค่ะ” เธอแสร้งทิ้งน้ำหนักไปที่เขาประหนึ่งว่าไม่สามารถยืนได้ด้วยตัวเอง ขณะที่สองตาก็แอบชำเลืองไปที่ตำแหน่งกล้องที่ตัวเองวางไว้ ครั้นเมื่อเห็นว่าตัวเองยืนอยู่ในจุดที่อาจทำให้ได้ภาพไม่ชัดเจน เธอจึงพยายามดันตัวเขาให้ขยับตาม กระทั่งได้จุดที่พอใจ เธอจึงเริ่มแผนการต่อ
“หนาวจังเลยค่ะ พ่อเลี้ยงอย่าเพิ่งไปนะคะ ฉันกลัว” เธอว่าพลางยกแขนโอบรอบคอเขาแน่น
‘โอ๊ย! กลัวอะไรวะ ตอนนี้ที่น่ากลัวที่สุดก็ตัวฉันเนี่ยแหละ ฮือ…! ดูก็รู้ว่าไม่เนียน’ ในขณะที่เธอกำลังโอดครวญกับการแสดงห่วยแตกของตัวเองในใจ เขาเองก็กำลังสับสนกับความรู้สึกที่เกิดขึ้น
“โอ๊ย! พ่อเลี้ยงคะฉันเจ็บขาจังเลยค่ะ อย่าเพิ่งไปนะคะ” เธอทั้งกอดทั้งซุกด้วยความมุ่งมาดว่าอีกฝ่ายจะหมดความอดทน
‘โอ๊ย! อาละวาดสักทีสิ หมดมุกจะยั่วแล้วเนี่ย ตะโกนออกมาสิ ตะโกนออกมา อี๋! นังชะนีน้อยออกไปไกลๆ อย่ามาแตะต้องตัวฉันนะ เนี่ยขอแค่นี้ แล้วฉันจะไม่ยุ่งกับคุณอีกเลย’ เธอโอดครวญในใจพลางเหลือบไปมองกล้องที่ตัวเองแอบติดไว้ ก่อนจะทิ้งไพ่ใบสุดท้าย ด้วยหวังให้ความอดทนของเขาสะบั้นลง
เธอซุกหน้าไปที่ซอกคอ หวังทำให้อีกฝ่ายเปิดเผยธาตุแท้ออกมา แต่แล้วทุกอย่างดันกลับตาลปัตร นอกจากจะไม่อาละวาด เขายังโน้มใบหน้าลงมาหา
“…” เธอชะงักค้างตาโตทันทีที่จมูกของเขาสัมผัสถูกต้นคอ ใช่! เธอกำลังตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง ไม่คิดด้วยซ้ำว่าเขาจะทำแบบนี้
ในขณะที่เธอนิ่งอึ้งด้วยความตกใจ กลิ่นหอมจางๆ ที่เคยรบกวนจิตใจก็กำลังปลุกปั่นให้เขาอยากพิสูจน์ให้ลึกซึ้งมากกว่านี้ จมูกโด่งจึงซุกไซร้ลงไปที่ซอกคอ อา…! นี่มันกลิ่นอะไร ทำไมมันช่างมีอิทธิพลเหลือร้าย มันหอมกรุ่น ผ่อนคลาย แต่ในขณะเดียวกันมันก็กำลังปลุกเร้าความรู้สึกบางอย่างให้ลุกฮือขึ้นมา ยิ่งได้กลิ่นก็ยิ่งหลงใหลจนควบคุมตัวเองไม่ได้
“คุณ!” เธออุทานตาโตพร้อมกับพยายามผลักไสด้วยความตกใจ แต่ดูเหมือนกลิ่นหอมๆ จากกายสาวจะทำให้เขาหลงมัวเมาจนไม่สามารถยับยั้งความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่านได้ จากที่แค่ซุกไซร้ซอกคอ ก็เลื่อนมาจู่โจมตะโบมจูบริมฝีปากอวบอิ่มอย่างเอาแต่ใจ
“อื้อ…! ไม่…อย่า…อื้อ…!” เธอพยายามเบี่ยงหน้าหลบสัมผัสจากเขา แต่เพราะสถานที่ที่ไม่เอื้ออำนวย กอปรกับเรี่ยวแรงที่ต่างกันลิบลับ เธอจึงเพลี่ยงพล้ำให้เขาขโมยจูบแรกไปได้อย่างง่ายดาย
“อื้อ…!” เธอครางประท้วงอีก หลังถูกอีกฝ่ายจับตรึงต้นคอจนไม่สามารถส่ายหนีไปไหนได้
ดูเหมือนความหลงใหลของเขาจะยิ่งทวีคูณขึ้นเป็นเท่าตัวเพียงเพราะรับรู้ว่านี่เป็นจูบแรกของเธอ จากที่แค่อยากพิสูจน์จึงกลายเป็นความพลั้งเผลอ จากที่คิดว่าเพียงสัมผัสแผ่วๆ ก็กลายเป็นความดูดดื่ม อา…! ริมฝีปากอวบอิ่มนุ่มนิ่มน่าสัมผัสกำลังทำให้เขาแทบคลั่ง เช่นเดียวกับเธอที่กำลังเผลอไผลไปกับสัมผัสแปลกใหม่ที่เพิ่งพานพบเช่นกัน
“…” จากดวงตากลมโตที่เบิกโพรงในคราแรกค่อยๆ หรี่ปรือด้วยความหวานล้ำที่กำลังแผ่ซ่านเข้ามา ความอ่อนโยนที่ได้รับกำลังกัดกินสติสัมปชัญญะของเธอทีละน้อยจนคล้อยตามในที่สุด จากที่เคยพยายามขัดขืนทีแรกก็กลายเป็นความอยากรู้อยากลองและสมยอมอย่างมิอาจหักห้าม
ในขณะที่เขาละเลียดชิมริมฝีปากนุ่มนิ่มด้วยความหลงใหล เธอก็เริ่มจูบตอบด้วยความเงอะงะ และความเงอะงะนี่แหละที่กำลังปลุกสัญชาตญาณนักล่าในตัวเขาให้ฮึกเหิมขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“อืม!” ชายหนุ่มครางกระหึ่มในลำคอ หลังได้ลิ้มรสหวานจากริมฝีปากอวบอิ่มที่ดูจะหวานมากขึ้นในความรู้สึก เขาสอดลิ้นเกี่ยวกระหวัดสัมผัสลิ้นนุ่มราวคนหิวกระหาย เมื่อยิ่งสัมผัสก็ยิ่งต้องการ และความต้องการก็ทำให้ทุกอย่างยิ่งเร้าร้อนขึ้นทุกขณะ โดยเฉพาะเมื่อลิ้นร้อนดุนดันสัมผัสสอดรัด ราวกับจะดูดซับความหอมหวานทั้งหมดที่มีให้ตกต้องเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว ไม่มีอีกแล้วความผะแผ่วเนิบนาบ มีเพียงความร้อนรุ่มตะกรุมตะกรามที่กำลังจู่โจมจนเธอหายใจแทบไม่ทัน สติสัมปชัญญะที่เคยหลุดลอยจึงค่อยๆ กลับมา เธอเริ่มดิ้นขลุกขลักอย่างพยายามจะต่อต้านสัมผัสนั้น
“อื้อ!” พริมรตาพยายามเบี่ยงหน้าหลบ แต่ก็ยังถูกอีกฝ่ายรุกไร้ไล่ตามไม่ยอมห่าง ราวกับว่าติดอกติดใจสัมผัสหอมหวานที่เพิ่งลิ้มลอง กอปรกับสถานที่ที่ไม่เอื้ออำนวยให้เธอหลบเลี่ยง จึงเปิดโอกาสให้เขาจู่โจมตะโบมจูบลึกซึ้งมากขึ้น
อีกครั้งที่เธอเพลี่ยงพล้ำ เมื่อมันช่างวาบหวาม วูบไหว ชวนให้สะท้านจนบอกไม่ถูก กระทั่งเผลอปล่อยตัวปล่อยใจให้เขาฉวยโอกาสตามใจชอบ และเพราะความพลั้งเผลอของเธอมันก็ทำให้ความเป็นชายของเขาฮึกเหิมแรงกล้า มือที่เคยประคองอยู่ที่ท้ายทอยสาวจึงค่อยๆ เลื่อนลงมาลูบไล้ตามเนื้อตัว
“อืม…!” เขาครางกระหึ่มอีกครั้ง เมื่อการต่อต้านในคราแรกเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นคล้อยตาม ถึงแม้จะไม่ประสีประสา แต่มันกลับยิ่งกระตุ้นให้เขากระสันซ่านจนลืมสิ้นทุกสิ่งอย่าง รับรู้เพียงความกำหนัดที่กำลังพลุ่งพล่าน ถ้านี่คือการล่อลวง เธอก็คงตกลงไปในหลุมพรางเสน่หาของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย โดยเฉพาะเมื่อเขายังขุดหลุมพรางนั้นให้ลึกลงไปเรื่อยๆ
มือไม้ที่ขยับลูบไล้ไปตามนวลเนื้อค่อยๆ เลื่อนต่ำลงมา กระทั่งสัมผัสกับสะโพกผายดีดเด้ง เขาไม่รอช้าที่จะบีบขยำและลูบไล้มันด้วยความปรารถนา กอปรกับเสื้อผ้าชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่เธอสวมอยู่ ครั้นพอเปียกชุ่มไปด้วยน้ำ เนื้อผ้าบางเบาก็ยิ่งแนบเนื้อเผยส่วนสัดครัดเคร่งให้เขาสัมผัสลึกซึ้งมากขึ้น
ใบหน้าคมค่อยๆ เลื่อนลงมาซุกไซร้ที่ลำคอระหงอีกครั้ง อา…! กลิ่นนี้อีกแล้ว กลิ่นกรุ่นๆ จากกายสาวมันทำให้เขารู้สึกตื่นตัวราวตกอยู่ในภวังค์ มันเป็นกลิ่นหอมอ่อนๆ แต่เขากลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก ให้ตายสิ! มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก รู้แค่ว่าเขากำลังหลงใหลกลิ่นหอมเย้ายวนนี้จนถอนตัวไม่ขึ้น และความหลงใหลก็ทำให้เขาซุกไซร้ดอมดมประหนึ่งกำลังคลั่งไคล้อีกครั้ง
“แต่น่ากลัวกว่าที่คิดเยอะ เพราะงั้นถ้าไม่อยากถูกฆ่าปาดคอ อย่าคิดที่จะทิ้งผมเชียว”“ไม่ต้องห่วง ถ้าเธอยอมทิ้งหมอนี่ ฉันจะแถมเงินให้อีกก้อนหนึ่งเลย” เพลิงเสริมขึ้นบ้าง ทำเอาหลานชายถึงกับโวยลั่น“สมัยนี้มีใครเขากีดกันความรักของลูกหลานกันอีก น้านี่เชยชะมัด”“ฉันไม่ได้กีดกัน ฉันแค่หวังดี อยากให้ผู้หญิงเขาไปมีอนาคตที่ดีต่างหาก” เพลิงอดเหน็บให้อีกไม่ได้“เฮ้! นี่น้าเป็นน้าแท้ๆ ของผมรึเปล่า หรือผมเก็บน้ามาเลี้ยงกันแน่เนี่ย”“เพราะปากแบบนี้ไง ฉันถึงอยากให้เขาทิ้งแก เจติยา...ในฐานะที่เธอเป็นเพื่อนกับเมียฉัน ฉันขอเตือนด้วยความหวังดี ถ้าไม่อยากปวดหัว ก็เลิกกับหมอนี่ไปเถอะ” เพลิงหันมายุยงกับเจติยาอย่างนึกสนุก“เฮ้ย! อะไรของน้าเนี่ย ถ้าเขาเกิดทิ้งผมขึ้นมาจริงจะว่าไงเนี่ย” ในขณะที่หลานชายโวยลั่นราวกับเด็กน้อยถูกแย่งของเล่น แต่น้าชายกลับยักไหล่อย่างไม่แยแส พ่อหลานชายตัวดีจึงหันไปหาที่พึ่งอื่น“พ่อครับ งั้นพ่อต้องช่วยผมนะครับ ช่วยพูดกับผู้หญิงคนนั้นทีว่าอย่าทิ้งผม” คนถูกเรียกว่าพ่อครั้งแรกถึงกับนิ่งอึ้ง ทั้งดีใจทั้งตื้นตันจนบอกไม่ถูก กระทั่ง...เพียะ!“เลิกเล่นได้แล้ว ไม่งั้นฉันได้ทิ้งนายจริงๆ แน่” เจ
“ถ้าพวกแกทำอะไรฉัน คิดเหรอว่าจะได้อยู่อย่างสงบ โดยเฉพาะคุณ...อาราชิ”“กะอีแค่กำจัดคนเลวๆ ให้พ้นไปจากแผ่นดิน มันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรนี่ อีกอย่างไม่มีคุณสักคน อะไรๆ ก็คงดีขึ้น” พายุเอาคำพูดอีกฝ่ายมายอกย้อน ทำคนถูกย้อนถลึงตาด้วยความเกรี้ยวกราด“เรื่องนี้ยูมิไม่เกี่ยวนะคะคุณลุง ก็อย่างที่คุณลุงว่า หนูเป็นเครื่องมือของผู้หญิงคนนี้ หนูเป็นเหยื่อนะคะคุณลุง” อายูมิโอดครวญเอาตัวรอดด้วยความรักตัวกลัวตาย“ไม่ยักรู้ว่าเหยื่อจะปากเก่งได้ขนาดนี้ แต่เอาเถอะ ไว้ฉันจะหาวิธีจัดการกับเธอทีหลัง ส่วนคุณ...เราคงต้องจบความแค้นทั้งหมดไว้แต่เพียงเท่านี้” สิ้นเสียงหัวหน้าแก๊งคาอิดะยกปืนขึ้นมาจ่อ แต่ก่อนจะทันได้ลั่นไก เสียงหลานชายก็ดังขึ้น“เดี๋ยวครับ เลือดต้องล้างด้วยเลือด ในเมื่อผู้หญิงคนนี้เป็นคนฆ่าแม่ผม ก็ควรให้ผมเป็นคนจัดการถึงจะถูก” นทีว่าพลางยกปืนขึ้นมาอีกคน แต่ก็มีอันต้องหยุดชะงักอีก“ฉันเองก็แค้นมันไม่น้อยไปกว่าใคร อย่าลืมสิว่ามันก็ฆ่าแม่ฉัน แล้วก็เกือบจะฆ่าฉันด้วย” เพลิงแค้นจนแทบอยากจะฉีกเนื้อผู้หญิงคนนี้ออกมาเป็นชิ้นๆ จึงยกปืนขึ้นมาเล็งด้วยอีกคน“ซับซ้อนไปอีก ถึงกับเลือกไม่ถูกกันเลยทีเดียว ต้องเลวเบอร
“หมายความว่าไง” คำพูดที่ทำให้ฉุกคิดทำให้เขาโพล่งถามเสียงเข้ม“เธอไม่จำเป็นต้องรู้หรอก รู้แค่ว่าฉันทำอะไรได้มากกว่าที่เธอคิด โดยไม่จำเป็นต้องสนใจคนที่เป็นได้แค่หุ่นเชิดอย่างตาของเธอ” ไอโกะเหยียดริมฝีปากยิ้มเยาะ แต่รอยยิ้มนั้นต้องจางหายไป เมื่อเสียงใครคนหนึ่งดังขึ้น“นั่นสินะ ผมก็เป็นได้แค่หุ่นเชิดในสายตาของคุณ” พายุ หรือที่รู้จักกันในนามอาราชิหัวหน้าแก๊งคาอิดะเดินออกมาจากกลุ่มของชายชุดดำ การปรากฏตัวของเขาทำให้ไอโกะหน้าเสีย แต่เพียงครู่เดียวก็กลายเป็นเชิดหน้าหยิ่งผยองดังเดิม“เหตุผลที่ทำให้คุณอุตส่าห์ถ่อมาไกลถึงนี่ เพราะอยากได้หุ่นเชิดตัวใหม่สินะ หึ! แก่แล้วก็ยังไม่ยอมปล่อยวาง คงกลัวว่าถ้าหลานผมเข้ามารับตำแหน่ง คุณจะกลายเป็นสุนัขแก่ๆ ตัวหนึ่งที่ไม่มีอำนาจ เลยหวังจะใช้หลานสาวมาเป็นเครื่องมือเพื่อควบคุมหลานผมให้อยู่ในโอวาท แต่เชื่อเถอะว่าครั้งนี้จะไม่ง่ายเหมือนครั้งที่ผ่านมา เพราะผมนี่แหละจะขัดขวางคุณทุกวิถีทาง” พายุจ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็งอย่างไม่มีใครยอมใคร“ถ้าคิดว่าทำได้ก็ลองดู ถึงขนาดลงทุนแฝงตัวเข้ามา คงคิดว่าจะทำอะไรฉันได้ คนอย่างฉันถ้าไม่มีเขี้ยวเล็บ คงไม่อยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ อย่าว่
“อย่าดื้อสิ นี่ไม่ใช่เวลาที่คุณจะมาต่อต้านผมนะ” เขาขอร้อง พลางมองออกไปนอกนอกหน้าต่างด้วยความร้อนใจ“ฉันไม่ได้ต่อต้าน แต่ในเมื่อนายบอกว่ารักฉัน ฉันเองก็รักนาย แล้วจู่ๆ มาบอกให้ฉันทิ้งนายทั้งที่นายตกอยู่ในอันตรายเนี่ยนะ ไม่มีคนรักที่ไหนเขาทำกันหรอก ฉันรู้ว่านายเป็นห่วง ไม่อยากให้ฉันเป็นอันตราย แต่รู้ไหมว่าฉันเองก็ไม่อยากเห็นนายเป็นอะไรไปเหมือนกัน ถ้าวันนี้ฉันเป็นคนที่รอด เคยคิดบ้างไหมว่าฉันจะใช้ชีวิตที่เหลือด้วยความทรมานแค่ไหน ฉันอยู่ไม่ได้หรอกนะถ้าไม่มีนาย”“โอเค ไม่ทิ้งก็ไม่ทิ้ง ถ้าจะอยู่ก็อยู่ด้วยกัน ถ้าจะตายก็ตายมันด้วยกันนี่แหละ” เขาตอบรับด้วยความอ่อนอกอ่อนใจ สร้างความพอใจให้คนดื้อรั้นจนต้องยิ้มออกมา ก่อนจะสะดุ้งเพราะเสียงเคาะกระจกด้านข้างก๊อก ก๊อก ก๊อกสองคนหันมองหน้ากัน ก่อนจะตัดสินใจเปิดประตูแล้วก้าวออกไปพร้อมกันอย่างสง่าผ่าเผย โดยมีพลขับด้านหน้าก้าวตามลงมาติดๆ“พวกแกเป็นใคร” คนถูกล้อมเอาไว้สอดส่ายสายตามองคนต่างชาติที่อยู่ในชุดดำแล้วโพล่งถามออกมาด้วยน้ำเสียงดุดัน แต่กลับไร้ซึ่งคำตอบ กระทั่งผู้หญิงคนหนึ่งเดินลงมาจากรถ“ดูดีกว่าที่คิดนี่” หญิงสาวหน้าตาดีมาหยุดยืนตรงหน้าแล้วใช้ภาษ
“คนชั่วๆ แบบนี้เก็บเอาไว้ก็เป็นภัยต่อสังคม ควรส่งไปลงนรกให้หมดทั้งคนสั่งและคนถูกสั่ง” นทีว่าพลางหันปลายกระบอกปืนไปที่คนพวกนั้นอย่างหมายมาด ทำเอาพวกมันถึงกับต้องร้องขอชีวิตกันลนลาน“อย่าเลย ฉันไม่อยากให้มือนายต้องเปื้อนเลือดชั่วๆ ให้มีมลทิน สู้ปล่อยให้พวกมันไปชดใช้กรรมในคุก แล้วค่อยฝากให้คนข้างในช่วยจัดการยังจะสาสมกว่า” ความคิดที่แยบยลนี้ทำเอาทุกคนผงะนัยน์ตาเบิกกว้าง โดยเฉพาะคนที่ต้องเข้าไปชดใช้กรรมในคุก คงมีก็แต่อีกคนที่ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่เหลือเค้าความถมึงทึงก่อนหน้า ราวกับว่าภูมิใจในความคิดนี้ของเธอ และเหนือสิ่งอื่นใด...เขากำลังมีความสุข“ห่วงผมเหรอ” คนถามถามแล้วก็ยิ้มกรุ้มกริ่ม ในขณะที่คนถูกถามกลับทำหน้างง ไม่เข้าใจท่าทีที่เปลี่ยนปุบปับของเขา“หา?”“ก็ที่บอกว่าไม่อยากให้มือผมเปื้อนเลือดไง” เธอเลิกคิ้ว ครั้นพอเข้าใจก็กลายเป็นยิ้มขำพลางส่ายหน้าน้อยๆ เมื่อได้รู้ถึงสาเหตุของท่าทีที่เปลี่ยนไปของพ่อคุณ จึงรีบพยักหน้าแทนคำตอบ“เห็นแก่ที่เมียฉันเป็นห่วง ไม่อยากให้มือฉันเปื้อนเลือดชั่วๆ ฉันจะยอมไว้ชีวิตพวกแกสักครั้ง เอาตัวพวกมันไปส่งตำรวจ” สิ้นเสียงคนของเขาก็ลากทั้งสามคนออกไปท่ามกลางเสียง
“นี่สินะธาตุแท้ของคุณ ก่อนหน้านี้ผมคงโง่เองที่มองไม่เห็น ก็ดี มีอะไรก็เผยออกมาให้หมด ผมจะได้ไม่ใจอ่อนเวลาที่เห็นตำรวจใส่กุญแจมือคุณ”“เลอะเทอะ ประสาทกลับรึไง ตำรวจจะมาจับฉันข้อหาอะไรไม่ทราบ ประสาทกลับ” ดวงเดือนว่าพลางเบะปากยิ้มเยาะ“ก็ข้อหาที่คุณจ้างคนมาทำร้ายลูกผมไง” ข้อหานี้ทำเอาคนที่เคยมั่นใจก่อนหน้าเสียอาการทันที แต่ก็ยังไม่วายปฏิเสธเสียงสูง“จ้างอะไร ทำร้ายอะไร อย่ามาพูดพล่อยๆ นะ ไม่งั้นคุณนั่นแหละจะโดนฉันฟ้องข้อหาหมิ่นประมาท” ดวงเดือนเลิ่กลั่กหน้าเปลี่ยนสี“คิดอยู่แล้วว่าคนดื้อด้านอย่างคุณต้องไม่ยอมรับ ผมเองก็เบื่อจะเล่นเกมกวนประสาทกับคุณแล้วเหมือนกัน เอาตัวเข้ามา” นทีบอกด้วยสีหน้าเอือมระอา ก่อนตะโกนสั่งคนของตัวเองที่รออยู่ด้านนอกทันทีที่คนของเขาพาตัวชายฉกรรจ์สามคนเดินเข้ามา ดวงเดือนถึงกับชะงักหน้าเสีย ประจวบเหมาะกับที่หนึ่งในสามคนนั้นหันมาเผชิญหน้าพอดี“อีนังคุณนาย อีฉิบหาย เพราะมึงคนเดียวพวกกูเลยซวยกันหมด ถ้ามึงบอกตั้งแต่แรกว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นเมียมาเฟีย กูก็คงไม่ยุ่งด้วย” สภาพคนพูดที่ดูสะบักสะบอม ใบหน้าปูดโปน ทำเอาดวงเดือนใบหน้าซีดเผือด กอปรกับที่สามคนนั้นล้วนถูกปืนจ่อ ก็ยิ่







