เข้าสู่ระบบปาลินทร์ธิดา พบว่าตัวเองเสียเวลาไปกับชีวิตแต่งงานไร้รักถึงแปดปี กับผู้ชายที่ไม่เคยเหลียวแลเธอสักครั้ง เธอติดอยู่ในเกมที่โอกาสแพ้มีหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ ติดอยู่กับรักข้างเดียวที่มีต่อเขา... ทินกร เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของครอบครัว ลูกสาวที่ไม่สำคัญอย่างเธอถูกเลือกให้เป็น ‘ลูกแกะบูชายัญ’ แต่งงานเข้าไปผูกสัมพันธ์กับทินกร ชายผู้มีคนรักอยู่แล้ว ชีวิตแต่งงานของเธอจึงเต็มไปด้วยความขื่นขมอมทุกข์ จวบจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต ทว่าเธอกลับได้รับโอกาสครั้งใหม่ โอกาสที่จะได้แก้ไขชีวิตของตนเองอีกครั้ง...
ดูเพิ่มเติมว่ากันว่าสายฝนช่วยกลบเสียงสะอื้นและเลือนหยาดน้ำตา
ปาลินทร์ธิดาถึงได้เลือกยืนกำคันร่มในมือท่ามกลางสายฝนทีโปรยปรายโดยไม่คิดจะเปิดใช้มัน เธอปล่อยให้เนื้อตัวเปียกปอน เดรสสีชมพูอ่อนลู่แนบกับเรือนร่างแบบบางที่ผ่ายผอมจนเกินพอดี เพราะหลายปีมานี้เธอต้องอกไหม้ไส้ขมเสียจนไม่เป็นอันกินอันนอน
ต้นเหตุของความทุกข์ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เจ้าของร่มที่ตอนนี้ขับรถออกห่างจากเธอไปทุกขณะ
สามี... ไม่สิ อดีตสามี เพราะวันนี้เธอเซ็นใบหย่าให้เขาเป็นที่เรียบร้อย
เธออยากจะบอกว่าไม่เจ็บ แต่แรงบีบรัดที่กลางอกมันรุนแรงจนหายใจยังรู้สึกเสียดสะท้านไปทั้งทรวง
‘แต่งกับคนนี้น่ะดีแล้ว แกจะได้สบายไปทั้งชาติ’ คำของพ่อที่บอกกันในวันนั้นยังจำได้ขึ้นใจ แต่ตลอดชีวิตแต่งงานแปดปีเศษ ไม่มีวันไหนที่เธอได้อยู่อยากสุขใจสักวันเดียว
จะไปโทษใครได้ เพราะเธอดันไปแต่งงานกับคนที่เขามีเจ้าของหัวใจอยู่แล้ว ทินกรเป็นคนหน้าตาดีและมีเสน่ห์ดึงดูดที่ไม่ธรรมดา แค่เพียงได้เจอเขาในงานเลี้ยงเธอก็เผลอมองตามร่างสูงสง่าอย่างไม่อาจละสายตา อาจจะเพราะพ่อบอกก่อนจะไปงานแล้วว่าผู้ชายคนนี้จะเป็นสามีในอนาคตของเธอ ทำให้ความรู้สึกของปาลินทร์ธิดามันอ่อนไหวต่อเขาเป็นพิเศษ ทั้งๆที่เขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีว่าสนใจเธอสักนิด
เขามองเพียงครั้งเดียวแล้วก็มองผ่านเลยไปเหมือนเธอเป็นอากาศธาตุ
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น เธอก็เลือกที่จะตอบตกลงแต่งงานกับเขาตามความเห็นของผู้ใหญ่ จะว่าให้ถูกคือเธอไม่ได้คัดค้าน เพราะผู้ใหญ่ก็ไม่ได้ถามความเห็นอะไรเธออยู่แล้ว
เขาบอกให้แต่ง เธอก็ต้องแต่ง
เขาบอกให้หย่า เธอก็ต้องหย่า...
สายฝนที่พรมลงบนผิวขาวนำพาซึ่งความเหน็บหนาวไปถึงกระดูก กระนั้นก็ยังไม่เท่ากับหัวใจที่กำลังเหน็บหนาวจากความอ้างว้างเหมือนยืนอยู่ตัวคนเดียวบนโลกใบนี้
ไม่มีคนเห็นความเสียใจและหยาดน้ำตา ไม่มีคนได้ยินเสียงสะอื้นไห้ด้วยความเศร้าโศก
หญิงสาวก้าวเดินไปบนบาทวิถีในหมู่บ้าน แต่แทนที่จะเดินกลับไปยังบ้านหลังใหญ่ซึ่งเป็นเรือนหอที่เธอใช้อยู่อาศัยเพียงคนเดียวมานานหลายปี ปาลินทร์ธิดากลับเลือกเดินลึกเข้าไปทางสวนท้ายหมู่บ้าน ที่ๆเงียบสงบ แม้ว่าในตอนนี้สายฝนจะยังคงพร่างพรมลงมาอย่างไม่หยุดหย่อนก็ตามที
สามวันก่อนที่เขาติดต่อมา หัวใจที่เหี่ยวเฉาของเธอยังรู้สึกเหมือนได้รับน้ำมาหล่อเลี้ยงชีวิต แต่แล้วประโยคที่เขาบอกผ่านสายโทรศัพท์ ก็ฟาดเข้าใส่เหมือนอัสนีบาตรที่หมายจะเอาชีวิต
‘ผมจะหย่า’
จริงๆแล้วมันไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะการแต่งงานของเขาและเธอ เกิดขึ้นเพื่อยึดโยงผลประโยชน์ระหว่างสองครอบครัว ยิ่งทินกรมีผู้หญิงที่รักอยู่ก่อนแล้ว ไม่แปลกที่เขาจะรอวันที่จะได้หย่าขาดจากเธอ ภรรยาแค่ในนามที่เขาไม่แม้แต่จะชายตามอง
ภายในสวนของหมู่บ้านมีพื้นที่ขนาดใหญ่ ทางเดินเลี้ยวลดคดเคี้ยวให้ลูกบ้านใช้สำหรับเดินเล่นหรือวิ่งออกกำลังกาย ยามนี้ไร้ผู้คนเพราะสายฝนที่ยังไม่ขาดสาย มีเพียงร่างเพรียวบางที่เดินฝ่าเม็ดฝนเข้าไปหยุดยืนในศาลาริมสระบัวขนาดใหญ่ มองดูดอกบัวที่พากันหุบกลีบบอบบางหลบเม็ดฝนที่กระหน่ำเทลงมา
‘คุณพ่อคุณแม่ของคุณกรณ์ท่านอนุญาตเรื่องนี้เหรอคะ?’ เธอถามเขาเพราะมั่นใจว่าพ่อของทินกรไม่เคยเห็นด้วยที่เขาคบหากับผู้หญิงคนนั้น
‘เรื่องนั้นผมจะจัดการเอง’ เขาตอบสั้นๆด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
‘ลินต้องคุยเรื่องนี้กับคุณพ่อของลินก่อนค่ะ’ คนที่ทำทุกอย่างตามความต้องการของบิดาตอบออกไปด้วยความเคยชิน เธอไม่เคยได้ตัดสินใจอะไรเกี่ยวกับชีวิตด้วยตนเอง
‘ฟ้าเค้าท้อง ผมคงปล่อยเรื่องนี้ต่อไปไม่ได้’ น้ำเสียงของชายหนุ่มอ่อนลงเมื่อพูดถึงผู้หญิงคนนั้น...
เหมือนมีเสียงฟ้าผ่าที่ข้างหู และตามมาด้วยเสียงวิ้งยาวๆก่อนโสตประสาทของเธอจะดับไป
ก้อนแข็งๆเคลื่อนมาติดอยู่ที่คอ แม้ว่าเขาจะไม่เคยแสดงออกหรือทำอะไรที่เป็นการให้ความหวัง แต่ปาลินทร์ธิดาที่ตกหลุมรักสามีในนามของตนมาอย่างยาวนาน ย่อมไม่อาจทนรับความเจ็บปวดกับสิ่งที่ชายหนุ่มทำได้
ทั้งๆที่เขาก็ทำมาตลอด แต่เธอกลับไม่เคยชินกับมันสักที
วันนัดดูตัว เขาปล่อยให้เธอนั่งรอในร้านอาหารคนเดียวโดยไม่โผล่หน้ามา
ทั้งๆที่เขาก็แสดงออกชัดว่าไม่เห็นด้วยกับข้อตกลงของผู้ใหญ่ และปฏิบัติกับเธออย่างไม่แยแส แต่คนหัวอ่อนว่าง่ายอย่างปาลินทร์ธิดาก็เลือกแต่งงานกับเขา เลือกเข้ามาแทรกกลางระหว่างความสัมพันธ์อันหวานชื่นของทินกรกับคัคนานต์
เธอเปิดประตูนรกนี้ด้วยตัวเธอเอง...
คืนเข้าหอทินกรหายหัวไปทันทีที่เสร็จพิธี แม้พ่อแม่ของเขาจะหัวเสียและเรียกเขามาต่อว่าในวันรุ่งขึ้น แต่สามีของเธอก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดการแข็งขืนในเรื่องนี้ ทั้งๆที่ก็ถูกกดดันจากพ่อแม่ แต่คล้ายว่าอุปสรรคต่างๆที่เข้าไปขัดขวางคนทั้งคู่ เหมือนเป็นบทพิสูจน์รักแท้ที่ทำให้พวกเขายิ่งรักและเห็นอกเห็นใจกันมากขึ้น
เธอกลายเป็นผู้หญิงร้ายกาจที่เข้าไปแทรกกลางระหว่างพวกเขา และกลายเป็นเมียที่นอนเฝ้าเรือนหอหลังใหญ่เพียงลำพังมาหลายปี กอดเกี่ยวความเจ็บช้ำเอาไว้เพียงลำพัง และได้รับเพียงความว่างเปล่าตอบแทน
มันก็คงจะเหมาะสมแล้วกับสิ่งที่เธอทำ กับผู้หญิงที่รู้ว่าเขามีคนรักอยู่แล้ว แต่ในใจกลับคิดว่าคนทั้งคู่คงยอมแพ้ต่ออุปสรรค และคงมีสักวันที่ทินกรมองเห็นความดีและหันมามองเธอบ้าง
แต่มันไม่เคยมีวันนั้น ความรักไม่ใช่รางวัลตอบแทนความดี รักก็คือรัก ไม่รักก็คือไม่รัก
สุดท้ายแล้วไพ่ใบเดียวที่เธอมีอย่างทะเบียนสมรสก็หลุดลอยไป เวลาหลายปีที่ผ่านมามันช่างสูญเปล่าและไร้ความหมาย เธอมัวแต่กอดเกี่ยวความหวังลมๆแล้งๆ และต้องมาร้องไห้คนเดียวเพียงลำพังเหมือนทุกที
ขณะที่ยกมือซ้ายขึ้นมาปาดน้ำตาข้างแก้ม สายตาพลันเห็นแหวนแต่งงานที่นิ้วนางข้างซ้าย ความรู้สึกเจ็บช้ำทำให้ปาลินทร์ธิดาเลือกจะถอดมันออก ทั้งๆที่ก็ใส่มันไว้ประดับนิ้วเป็นประจำอย่างคนยึดติด ยึดติดว่าเธอแต่งงานกับเขา ยึดติดว่าเขาเป็นสามีของเธอ
ทว่าตอนนี้มันไม่มีความหมายอีกแล้ว
หญิงสาวปาแหวนเพชรทิ้งอย่างไม่เห็นค่า เธอหันหลังให้ผืนน้ำแล้วปิดหน้าพลางสะอื้นไห้ด้วยความเจ็บปวด เมื่อต้องยอมรับจริงๆว่าเขาไม่มีวันเป็นของเธอ ไม่มีวันรักเธอ ก้อนเนื้อที่อกก็เหมือนถูกบีบอย่างแรงจนรู้สึกทรมานกว่าเก่า
เสียงเม็ดฝนกระทบผิวน้ำดังกลบเสียงสะอื้น ม่านน้ำสีเทาขมุกขมัวทำให้มองเห็นทุกสิ่งได้เลือนราง เพชรน้ำดีนอนแน่นิ่งอยู่ตรงบันไดศาลาที่ทอดตัวลงไปในน้ำ จวนเจียนจะจมเพราะน้ำฝนที่ตกลงมาเพิ่มระดับน้ำในสระบัวจนเกือบจะปริ่มบันได้ขั้นบนสุด
ปาลินทร์ธิดาหันกลับมามองแหวนงามที่เธอใส่ติดนิ้วจนเคยชินแล้วก็รู้สึกเสียดาย พอตัดใจจะทิ้งจริงๆกลับทิ้งไม่ลง ร่างเพรียวบางจึงเดินไปตรงบันไดที่ยื่นลงไปในสระ ก้มตัวคว้าแหวนวงงามของตนกลับคืน หนนี้เจ้าแหวนแสนสวยพลิกตกลงไปที่บันไดอีกขั้น จมน้ำลงไปแต่ยังพอเห็นตัวแหวนรางๆที่พื้นบันไดขั้นที่สอง หญิงสาววางร่มในมือและก้าวขาลงไปที่บันไดขั้นที่สอง มือก็คลำคว้าวงแหวนที่จมอยู่ในน้ำ โดยไม่ทันได้ระวังว่าพื้นบันไดนั้นมันลื่นเพราะตะไคร่ที่เกาะปูน
ตูม!
ร่างเพรียวบางตกน้ำท่ามกลางสายฝน ปลายนิ้วของเธอคว้าวงแหวนเอาไว้ได้ ทว่าร่างของตนกำลังจมลงทุกขณะ อารามตกใจทำให้หญิงสาวสำลักน้ำเข้าไป ความเจ็บแสบแผ่ซ่านเมื่อสิ่งที่ควรเป็นอากาศถูกแทนที่ด้วยมวลน้ำมากมาย สองแขนพยายามตะเกียกตะกายหมายจะดีดตัวให้พ้นขึ้นมาจากน้ำ แต่ก็ไม่นำพา... ปาลินทร์ธิดาว่ายน้ำไม่เป็น
ที่กลางอกแสบร้อนเมื่อไม่ได้รับอากาศเติมเต็ม ร่างกายตอบสนองด้วยการหายใจรับเอาน้ำรอบตัวของเธอเข้าไปถมปอด ผืนน้ำค่อยๆห่างออกไปทุกที ร่างแบบบางจมดิ่งลงไปเบื้องล่างอย่างไร้กำลังขัดขืน
ภาพสุดท้ายที่เธอเห็นคือฝ่ามือทั้งสองข้างที่กำจนแน่น มีแหวนวงสวยตัวต้นเรื่องอยู่ในมือข้างหนึ่ง เธอสัมผัสได้ถึงมัน ความเย็นวาบของวัตถุที่กลางฝ่ามือ
จนห่วงสุดท้ายของชีวิตเธอก็ยังไม่คิดจะปล่อยมัน...
รอบกายเงียบสงัดไร้เสียงสรรพสิ่ง ความทรมานคล้ายจะเลือนหายไปเหลือเพียงความว่างเปล่า
เธอตายแล้วสินะ... แต่ทำไมเธอถึงยังสัมผัสได้ถึงความเย็นของน้ำที่โอบล้อมรอบกาย และคล้ายว่าจะมีกระแสน้ำที่ไหลผ่านและกำลังพัดพาร่างของเธอให้เคลื่อนไปอย่างไม่รู้จุดหมาย
เธอยังคงกำแหวนวงนั้นเอาไว้แน่น อย่างน้อยก็ขอนำเอาสิ่งที่เป็นต้นเหตุแห่งความตายไปด้วย ไม่ว่าปลายทางจะเป็นภพใดภูมิใด เธอจะไม่ขอลืมว่าการเลือกแต่งงานกับทินกร ท้ายที่สุดแล้วนำพาเธอมาสู่ความตาย
เธอจะไม่รักผู้ชายใจร้ายคนนั้น เธอจะรักตัวเอง จะนึกถึงตัวเองเป็นอันดับแรก
ถ้ามีโอกาสอีกครั้ง เธอจะรักตัวเอง จะไม่ใช้ชีวิตตามที่คนอื่นต้องการจนสูญเสียตัวตน
ถ้ามีโอกาส...
ที่กลางอกกลับมารู้สึกเจ็บอีกครั้ง และเพิ่มทวีความเจ็บแสบมากขึ้นจนร่างแบบบางดีดดิ้นอย่างทนไม่ไหว แสงสว่างจากด้านบนส่องผ่านผืนน้ำลงมากระทบร่าง ลำแสงทองส่องจ้าจนสัมผัสได้ถึงความร้อนของอุ่นไอแดดด้านบนที่อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
ร่างบางพยายามถีบตัวขึ้นไปด้านบนเมื่อเห็นแสงสว่างที่ส่องลงมา ห้วงน้ำลึกที่มองไม่เห็นภาพรอบตัวกลายเป็นน้ำสีใสและอยู่ใต้แดดร้อน
“ช่วยด้วย!” ปาลินทร์ธิดาสะโกนขอความช่วยเหลือสุดเสียงทันทีที่ถีบตัวเองขึ้นมาโผล่พ้นน้ำ
สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือแดดร้อน ก่อนจะตามมาด้วยเสียงดนตรีดังกระหึ่มจนต้องยกมือขึ้นมาปิดหู สองเท้าสัมผัสผืนกระเบื้องด้านล่างที่เหยียบอยู่ ครั้นลืมตามองภาพตรงหน้า เธอกลับพบว่าตนเองกำลังอยู่ในสระว่ายน้ำบ้านพ่อ
ปาลินทร์ธิดายืนงงอยู่ตรงนั้น ภาพปาร์ตี้ริมสระที่พี่สาวเธอชอบจัดและชวนเพื่อนๆมากินมาดื่มที่บ้านปรากฏต่อสายตา ทุกคนกำลังมองมาที่เธอด้วยแววตาหลากหลาย บ้างขบขันบ้างก็เห็นใจ แต่ไม่มีใครยื่นมือมาช่วย
“ร้องเสียงดังอะไรขนาดนั้นยัยลิน น้ำแค่เอว” เสียงแหลมคุ้นหูดังมาจากด้านหลัง เมื่อหันไปมองก็พบเปมิกากำลังยืนเท้าเอวอยู่ในชุดบิกินี่ทูพีทสีส้มสด
“พี่เปรม...” ปาลินทร์ธิดามองดูภาพของพี่สาวต่างแม่ที่กำลังยิ้มขำขันอย่างไม่เข้าใจ เพราะเปมิกาย้ายไปอยู่ออสเตรเลียหลังสามีเสียชีวิตเมื่อห้าปีก่อน
“รีบขึ้นมาสิ เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก” เจ้าหล่อนร้องเรียกอีกหน ทำเหมือนห่วงใยแต่ยังมีรอยยิ้มขำขันประดับใบหน้า
หญิงสาวที่อยู่กลางสระน้ำเพียงคนเดียวค่อยๆยกมือขึ้นมากอดกระชับหน้าอกเอาไว้แน่น เสื้อที่เธอสวมเป็นเพียงเสื้อยืดสีขาวธรรมดา ไม่ใช่ชุดเดรสสีชมพูอ่อนอย่างที่จำได้ว่าตนเลือกมาใส่ในวันนัดเซ็นใบหย่า
นี่มันอะไรกัน?
“น้องลิน เป็นอะไรไหมครับ?” เสียงทุ้มเอ่ยถาม ดึงสายตาของคนที่กำลังสับสนให้หันไปทางชายหนุ่มร่างสูงที่มองมาทางเธออย่างห่วงใย ก่อนจะตามมาด้วยเสียงจิ๊ปากอย่างขัดใจของเปมิกา
“พี่ภู เป็นไปได้ยังไง...” ท้ายประโยคคล้ายรำพันกับตัวเอง
ภูหมอกก้าวลงสระมาพร้อมกับปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ตนสวม เผยให้เห็นเรือนร่างอันแน่นหนั่นไปด้วยมัดกล้ามของชายหนุ่ม ครั้นถึงตัวร่างแน่งน้อยที่เปียกน้ำ เขาก็ใช้เสื้อของตนห่มคลุมเรือนร่างของปาลินทร์ธิดา เรียกเสียงโห่ร้องจากรอบสระที่เห็นการกระทำสุดจะมาดแมนของชายหนุ่ม
มีเพียงปาลินทร์ธิดาที่แข็งค้างอย่างทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยอมให้ภูหมอกประคองพาขึ้นจากสระ ท่ามกลางเสียงเชียร์ยังมีสายตาไม่พอใจของเปมิกาที่มองมา แต่เธอไม่ได้สนใจกับมันนัก เพราะกำลังสับสนกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น
ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่สระน้ำบ้านพ่อ แทนที่จะเป็นสระบัวท้ายหมู่บ้านของตัวเอง แล้วไหนจะภูหมอก สามีของเปมิกาที่เสียชีวิตเพราะถูกยิงตายหลังจากแต่งงานได้ไม่นาน
เธอกำลังเห็นผีอยู่อย่างนั้นเหรอ?
ไม่สิ เธอเองก็เป็นผีไม่ต่างจากภูหมอก
เดี๋ยวก่อน!
“เป็นอะไรครับน้องลิน” ภูหมอกหยุดถาม เพราะสัมผัสได้ถึงแรงสะดุ้งของคนข้างกาย
“แหวนไปไหน?” หญิงสาวแบมือทั้งสองข้างที่ว่างเปล่า มองหาแหวนแต่งงานที่ควรจะอยู่ในมือแต่ก็ไม่มี
“แหวนอะไรครับ ตกอยู่ในสระหรือเปล่า เดี๋ยวพี่ไปดูให้” ภูหมอกบอกอย่างใจดี เตรียมจะย้อนกลับไปที่สระ
“ไม่ค่ะ ไม่เป็นไร ลินขอตัวก่อนนะคะ” ปาลินทร์ธิดาปลีกตัวออกจากปาร์ตี้ของพี่สาว รีบกลับเข้าไปในห้องนอนของตนทันที สิ่งแรกที่เธอทำคือตรงไปที่หน้ากระจก ก่อนจะต้องตะลึงงันเพราะภาพของตนเองที่สะท้อนกลับมา ไม่ใช่ภาพของหญิงสาวที่ผ่ายผอมอย่างคนอมทุกข์ แต่เป็นเด็กสาวที่อยู่ในวัยสะพรั่ง แก้มเจือสีชมพูมีเลือดฝาดมีน้ำมีนวลไม่ได้ซูบตอบ ริมฝีปากอวบอิ่ม ดวงตาคู่งามดูสดใสไม่ได้ลึกโหลอย่างคนที่นอนไม่หลับจนต้องพึ่งยาและแอลกอฮอล์
นี่มัน...
มือเรียวยกขึ้นจับแก้มทั้งสองข้างอย่างไม่อยากเชื่อสายตา นี่คือตัวเธอในวัยรุ่น
เป็นไปได้ยังไง เกิดเรื่องอย่างนี้ได้ยังไงกัน!?
----------------------------------------------------------------
ฤดูฝนที่ชุ่มฉ่ำ เหมาะกับนิยายรักดราม่าที่สุดแล้วค่ะ ละอองอายของเสิร์ฟ รอยรักในสายฝน ร่วมกันย้อนเวลากลับไปช่วยยัยน้องให้ผ่านพ้นชะตาชีวิตที่ระทมทุกข์ไปพร้อมกันนะคะ คิดถึงช่วงเวลาที่มีความสุขร่วมกับทุกคนผ่านตัวหนังสือ ช่วงนี้ละอองอายยังขาดความมั่นใจในผลงานของตัวเองอยู่มาก ฝากเพื่อนๆช่วยเป็นกำลังใจ คอมเม้นต์เข้ามาพูดคุยเรื่องนิยาย หรือจะไม่ใช่นิยายก็เม้นต์มาได้นะคะ คิดถึงมากกก
ปาลินทร์ธิดามั่นใจว่าความทรมานแปดปีกว่าที่เธอประสบไม่ใช่ความฝัน ทางที่เป็นไปได้มากที่สุดคือเธอย้อนกลับมาในอดีตย้อนกลับมา...หากนี่คือชีวิตที่สองที่เธอมีโอกาสได้แก้ไขมัน เธอจะไม่ยอมให้ชีวิตตนเองเดินตามรอยเดิมอย่างแน่นอนเมื่อดูวันที่จากไอโฟนเจ็ดพลัสเครื่องเก่าที่เธอได้เป็นของขวัญวันเรียนจบจากพี่โปรด พี่ชายต่างแม่ ทำให้รู้ว่าเธอย้อนกลับมาตอนอายุยี่สิบสาม กันยายน ปี 2559 ก่อนงานแต่งงานสามเดือนสามเดือนที่เธอมีโอกาสได้แก้ไขมัน เพื่อชีวิตที่ต่างไปจากความน่าอดสูที่เธอเคยเผชิญ...หลักจากหมกตัวอยู่ในห้องหลายวัน ปาลินทร์ธิดาจำต้องร่วมโต๊ะอาหารกับ ‘ครอบครัว’ เพราะปฏิพัทธ์ผู้เป็นบิดากลับมาจากไปดูฟุตบอลแมตซ์ปิดฤดูกาลที่อังกฤษการเลือกตั้งครั้งสำคัญกำลังจะมาถึง ปฏิพัทธ์ ปรีชาภักดีผู้เป็นหัวเรือใหญ่ของ ‘พรรครักษ์ชาติไทย’ จึงค่อนข้างยุ่งมากเป็นพิเศษ แม้ว่าพรรคของเขาจะไม่ใช่พรรคการเมืองใหญ่โต แต่เนื่องจากความเป็นบ้านใหญ่ของจังหวัดที่มีจำนวนเขตเลือกตั้งมาก และทุกครั้งก็กวาดเก้าอี้ส.ส.มาได้ทุกเขต ทำให้เนื้อหอมมากจนพรรคใหญ่ต่างพากันรุมจีบ รวมถึง ‘พรรคเป็นไทย’ พรรคใหญ่ที่ครองฝ่ายบริหารมาหลายสมัย‘ปรีชาภ
ว่ากันว่าสายฝนช่วยกลบเสียงสะอื้นและเลือนหยาดน้ำตาปาลินทร์ธิดาถึงได้เลือกยืนกำคันร่มในมือท่ามกลางสายฝนทีโปรยปรายโดยไม่คิดจะเปิดใช้มัน เธอปล่อยให้เนื้อตัวเปียกปอน เดรสสีชมพูอ่อนลู่แนบกับเรือนร่างแบบบางที่ผ่ายผอมจนเกินพอดี เพราะหลายปีมานี้เธอต้องอกไหม้ไส้ขมเสียจนไม่เป็นอันกินอันนอนต้นเหตุของความทุกข์ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เจ้าของร่มที่ตอนนี้ขับรถออกห่างจากเธอไปทุกขณะสามี... ไม่สิ อดีตสามี เพราะวันนี้เธอเซ็นใบหย่าให้เขาเป็นที่เรียบร้อยเธออยากจะบอกว่าไม่เจ็บ แต่แรงบีบรัดที่กลางอกมันรุนแรงจนหายใจยังรู้สึกเสียดสะท้านไปทั้งทรวง‘แต่งกับคนนี้น่ะดีแล้ว แกจะได้สบายไปทั้งชาติ’ คำของพ่อที่บอกกันในวันนั้นยังจำได้ขึ้นใจ แต่ตลอดชีวิตแต่งงานแปดปีเศษ ไม่มีวันไหนที่เธอได้อยู่อยากสุขใจสักวันเดียวจะไปโทษใครได้ เพราะเธอดันไปแต่งงานกับคนที่เขามีเจ้าของหัวใจอยู่แล้ว ทินกรเป็นคนหน้าตาดีและมีเสน่ห์ดึงดูดที่ไม่ธรรมดา แค่เพียงได้เจอเขาในงานเลี้ยงเธอก็เผลอมองตามร่างสูงสง่าอย่างไม่อาจละสายตา อาจจะเพราะพ่อบอกก่อนจะไปงานแล้วว่าผู้ชายคนนี้จะเป็นสามีในอนาคตของเธอ ทำให้ความรู้สึกของปาลินทร์ธิดามันอ่อนไหวต่อเขาเป็นพิเศษ






ความคิดเห็น