บทที่5
ข้อแลกเปลี่ยน
“ระวัง!”
ซ่งเจียซินร้องห้ามรีบโน้มตัวมาดึงผ้าปิดแขนของหลี่จื่อรั่วเอาไว้เหมือนเดิม
“จื่อรั่วถูกข้าวต้มลวก ฉันกำลังจะพาเขาไปโรงพยาบาล ไม่ได้จะพาไปปล่อย!”
พูดพลางจ้องมองดวงตาของเด็กชายตรงหน้า หลี่จื่อหมิงเมื่อรู้ว่าตนเองเข้าใจมารดาเลี้ยงผิด ในใจก็รู้สึกผิดเล็กน้อย แต่เขาเข้าใจผิดแล้วอย่างไร หากไม่ใช่เพราะเธอเคยพูดเองกับปากว่าจะเอาพวกเขาไปปล่อยทิ้ง วันนี้เขาจะคิดเช่นนี้ได้ยังไง
“ไม่จริง เธอไม่มีทางพาจื่อรั่วไปโรงพยาบาล จื่อหมิงนายอย่าไปเชื่อเธอนะ”
หลี่จื่อชิงที่ถูกจูหลินอิงจับเอาไว้ร้องบอกพร้อมกับดิ้นรนต่อต้านการจับตัว เขาไม่มีทางเชื่อว่าหญิงใจร้ายคนนี้จะพาแฝดผู้น้องของเขาไปโรงพยาบาล เธอไม่ใช่แม่ที่แท้จริงของพวกเขาจะมาใส่ใจพวกเขาได้ยังไง
“จะไปโรงพยาบาลต้องมีเอกสารแสดงตัว คุณเอามาหรือยัง”
“จื่อหมิง นายเชื่อเธอหรือ”
“จื่อรั่วบาดเจ็บ ยังไงก็ต้องไปโรงพยาบาล จื่อชิงนายไปเอาสมุดประจำตัวของเขามา”
ซ่งเจียซินมองเด็กชายตรงหน้าด้วยความรู้สึกตกใจเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นชื่นชม ส่งสายตาให้จูหลินอิงปล่อยคน
“จื่อหมิงนายนี่รอบคอบจริงๆ อิงอิงเธอไปกับจื่อชิงเอาสมุดประจำตัวของจื่อรั่วมา”
“ไม่รู้จักเตรียมพร้อม”
“เอ๋... นี่ฉันชมนายนะทำไมถึงได้...”
“นอกจากเอกสารแสดงตัวแล้ว การรักษายังต้องใช้เงิน คุณเอากระเป๋าเงินมาแล้วใช่ไหม”
ซ่งเจียซินยิ้มแห้ง เมื่อครู่เธอรีบพาหลี่จื่อรั่วขึ้นรถมาด้วยความห่วงใย ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นสมุดประจำตัวของหลี่จื่อรั่วหรือเงินก็ล้วนไม่ได้หยิบจิดตัวมาเลยสักอย่าง
“สะเพร่า!”
เสียงบ่นเบาๆ ของเด็กชายทำให้ซ่งเจียซินร้อนผ่าวไปทั้งหน้า ทว่าไม่ทันได้พูดตำหนิถึงนิสัยไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ของเขา เด็กชายข้างกายก็ยื่นมือที่ไม่บาดเจ็บมาจับมือเธอเอาไว้ พร้อมส่งเสียงอ้อน
“แม่ หากต้องทำให้คุณเสียเงินอย่างนั้นผมไม่ไปโรงพยาบาลแล้ว แผลนี่ทายาไม่กี่วันก็คงหาย”
หลี่จื่อรั่วแม้จะอายุยังน้อย แต่ก็จดจำคำพูดของคนเป็นพ่อได้ขึ้นใจว่าตอนนี้ที่บ้านของพวกเขาไม่ได้ร่ำรวยเหมือนเมื่อก่อน จะใช้จ่ายฟุ่มเฟือยไม่ได้
“ไม่ได้!”
หลี่จื่อหมิงพูดแย้งเสียงหนัก เมื่อครู่เขาเห็นบาดแผลของหลี่จื่อรั่วแล้ว แม้จะไม่เข้าใจหลักการรักษา แต่แผลขนาดใหญ่แบบนี้แค่ทายาคงไม่พอ
“จื่อหมิง ฉันไม่เป็นไร ปกติพวกเราเป็นแผลก็แค่ทายาไม่ใช่เหรอ”
“แต่...”
หลี่จื่อหมิงเม้มริมฝีปากกำหมัดแน่น พวกเขาสามคนแม้เกิดวันเวลาเดียวกัน แต่ตัวเขาที่ถูกยกให้เป็นพี่ใหญ่ย่อมสมควรปกป้องน้องทั้งสอง
“เสวี่ยชิงหยวน ถ้าคุณยอมจ่ายค่ารักษาให้จื่อรั่ว ผมจะ... “
ซ่งเจียซินเดิมทีก็คิดจะรับผิดชอบค่ายาให้หลี่จื่อรั่วอยู่แล้ว แต่เมื่อได้ยินว่าหลี่จื่อหมิงมีข้อเสนอแลกเปลี่ยนดวงตากลมก็เปล่งประกายเจ้าเล่ห์
“จะอะไร...”
“จะยอมเชื่อฟังคุณ”
“ได้ตกลง!”
แม้จะเพิ่งเห็นหน้าและทำความรู้จักกัน แต่ซ่งเจียซินก็สัมผัสได้ว่าหลี่จื่อหมิงมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของพวกเขาทั้งสามคนมากที่สุด ขอเพียงสามารถทำให้เขายอมรับเธอได้ การทำลายกำแพงใจคนที่เหลือก็ไม่ยากแล้ว
........................................
ซ่งเจียซิน นั่งอยู่กับเด็กชายทั้งสองและจูหลินอิง สายตามองไปที่ประตูห้องฉุกเฉินเบื้องหน้าด้วยความอดทน บาดแผลน้ำร้อนลวกของหลี่จื่อรั่วนั้นเธอรู้ดีว่าไม่อันตรายถึงชีวิต แต่เพราะมีขนาดใหญ่มากกว่าครึ่งแขนสิ่งที่เธอกังวลก็คืออาการติดเชื้อแทรกซ้อน ซึ่งไม่รู้ว่าหากเป็นเช่นนั้นช่วงยุคที่ทุกอย่างกำพัฒนาในตอนนี้จะสามารถรักษาเขาได้หรือไม่
“โอว้... ดูสินั่นใครกัน”
เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้น หากแต่ซ่งเจียซินไม่ใช่คนที่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจ จนกระทั่งเจ้าของเสียงเดินมาหยุดที่เบื้องหน้าของเธอ
ไม่ไปหาเรื่อง เรื่องกลับมาหา คำนี้ช่างเหมาะสมกับเธอในเวลานี้นัก
แม้ว่าในครั้งแรกซ่งเจียซินจะจำไม่ได้ว่า เสวี่ยชิงหยวนผู้เป็นเจ้าของร่างเดิมรู้จักผู้หญิงตรงหน้าหรือไม่ แต่สายตาและท่าทางที่อีกฝ่ายจ้องมองมาก็ทำให้คาดเดาได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเสวี่ยชิงหยวนและผู้หญิงคนนี้ต้องไม่ดีอย่างแน่นอน
พลันวีรกรรมในอดีตของเสวี่ยชิงหยวนผุดขึ้นมาในความคิด ซ่งเจียซินหน้าร้อนผ่าว เมื่อค่อยๆ จำได้ว่าผู้หญิงตรงหน้านี้ก็คือ สิงฉู่หรัน เพื่อนสนิทร่วมชั้นเรียนของเสวี่ยชิงหยวน
ในช่วงสามเดือนก่อนที่เสวี่ยชิงหยวนจะแต่งงานกับหลี่อี้โจว เฉินเซียวกับเสวี่ยชิงหยวนบังเอิญได้รู้จักกันผ่านการแนะนำของ
สิงฉู่หรัน ก่อนที่เฉินเซียวจะแสดงชัดเจนว่าสนใจและต้องการคบหากับเสวี่ยชิงหยวนอย่างออกนอกหน้า โดยที่เบื้องหลังแอบไปมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับสิงฉู่หรัน“เป็นเธอที่ไม่มีความสามารถ ผู้ชายคนเดียวก็เอาไม่อยู่ อีกอย่างเขามาชอบฉันเอง จะโทษฉันได้ยังไง”
“เสวี่ยชิงหยวน เธอมันเพื่อนทรยศ รู้ทั้งรู้ว่าคุณเฉินกับฉันเป็นอะไรกันยังมายั่วยวนเขา”
“ยั่วยวน! ก็แค่เจ้าของสตูดิโอถ่ายรูปธรรมดาๆ คนอย่างนั้นน่ะไม่อยู่ในสายตาของฉันเลยสักนิด แต่มาคิดๆ ดูหน้าตาเขาก็ไม่เลว อืม... งั้นฉันขอยืมมาควงเล่นสักเดือนสองเดือนก็แล้วกันนะ”
เสวี่ยชิงหยวน! เหตุใดเธอจึงเอาแต่สร้างปัญหาไปทั่วแบบนี้นะ ซ่งเจียซินก่นด่าเจ้าของร่างเดิมในใจเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วตนเองก็จำไม่ได้ แต่เรื่องในอดีตที่อีกฝ่ายทำ ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ในตอนนี้มันก็คือเรื่องที่เธอทำ และต้องรับผิดชอบ
“เรื่องในอดีตเป็นฉันที่ผิดต่อเธอเองขอโทษด้วย”
ในเมื่อผิดก็แค่ต้องรู้จักขอโทษและสำนึก ซ่งเจียซินไม่ใช่คนปากหนักไร้เหตุผลเรื่องแค่นี้จึงไม่ละอายที่จะทำ เพียงแต่เธอยินดีทำเรื่องที่สมควรทำแล้วแต่คนตรงหน้ากลับไม่ยินยอมปล่อยผ่าน
“ขอโทษอย่างนั้นเหรอ เสวี่ยชิงหยวน! เธอคิดจะเสแสร้งให้ใครดู”
ซ่งเจียซินถอนหายใจอย่างระอาใจ ในเมื่อขอโทษไปแล้วอีกฝ่ายไม่คิดยอมรับก็ช่างเถอะ ตอนนี้สิ่งสำคัญก็คืออาการบาดเจ็บของหลี่จื่อรั่ว
“เสวี่ยชิงหยวน! นี่เธอจงใจยั่วโมโหฉันใช่ไหม”
สิงฉู่หรันเดินเข้ามาจับแขนของเสวี่ยชิงหยวนกระชากขึ้นตัวลอยลุกขึ้นยืนตามแรงของตนเอง หากแต่อีกฝ่ายไม่ได้กรีดร้องโวยวายเช่นทุกครั้ง กลับขมวดคิ้วเรียวจ้องมองมือของเธอ พร้อมกับบอกเตือนด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ปล่อยฉัน!”
“เหอะ... ทำไม ไม่โวยวายกรีดร้องคิดรักษาภาพลักษณ์ของแม่เลี้ยงแสนดีต่อหน้าไอ้เด็กเหลือขอพวกนี้เหรอ”
“พวกเราไม่ใช่เด็กเหลือขอนะ!”
หลี่จื่อชิงลุกขึ้นตะโกนตอบพร้อมกับเข้ามาผลักสิงฉู่หรัน แต่แรงน้อยๆ ของเขาไม่กระทบกระเทือนหญิงสาวเลยสักนิด ยังถูก
สิงฉู่หรันผลักกลับจนล้มลงไปกองบนพื้น หลี่จื่อหมิงรีบเข้ามาประคองแฝดผู้น้อง ตวัดสายตาแข็งกร้าวมองคนลงมือด้วยความไม่พอใจ“ทำไมไม่พอใจอย่างนั้นเหรอ เหอะ! เด็กถูกทิ้งอย่างพวกนายจะทำอะไรฉันได้”
“พวกเขาทำไม่ได้ แต่ฉันทำได้!”
........................................
ซ่งเจียซินเดินเข้ามาที่ร้าน กวนไฉ่หงพนักงานขายประจำร้านคนใหม่ก็พาเธอไปนั่งในมุมรับรอง“นี่เป็นประวัติของนักออกแบบที่ผู้จัดการตงหามาให้คุณค่ะ”ซ่งเจียซินหยิบเอกสารตรงหน้าขึ้นมาอ่าน คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ในยุคนี้การสมัครงานไม่ต้องยื่นประวัติวุฒิการศึกษาหและประวัติการทำงานหรือไร ทำไมจึงมีเพียงแค่ประวัติส่วนตัวแบบย่อพร้อมกับผลงานตัวอย่างเท่านั้นเล่าทว่าถึงจะเป็นแบบนี้แต่ซ่งเจียซินกลับรู้สึกว่านักออกแบบคนนี้น่าสนใจไม่น้อย แบบร่างที่อีกฝ่ายแนบมาแม้จะเป็นเพียงการร่างคร่าวๆ อย่างเร่งรีบแต่ก็ดูทันสมัยและมีความเฉพาะที่โดดเด่น ไม่ต่างจากในยุคที่เธอจากมาเลย“คุณเสวี่ยครับ นี่คือคุณอันครับ”“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”“เช่นกันค่ะ”ซ่งเจียซินหรี่ตาลงเล็กน้อยกับท่าทีของหญิงสาวตรงหน้าที่ดูมีความทะนงในตนเองอยู่ไม่น้อย จนต้องลอบหันไปสบตากับตงซาง ชายหนุ่มเห็นสถานการณ์ไม่ค่อยดีนักจึงเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนา“คุณอันเป็นนักออกแบบชื่อดัง ได้รับรางวัลนักออกแบบเครื่องเพชรยอดเยี่ยมมาสามปีซ้อนแล้วครับ”ซ่งเจียซินพยักหน้ารับ มองดูจากแบบร่างที่อีกฝ่ายยื่นมาก็ไม่นึกแปลกใจนักกับรางวัลที่ได้รับ“วันนี้ฉันยังมีงานต้อ
ผ่านไปร่วมชั่วโมงแล้วเสวี่ยชิงหยวนก็ยังไม่กลับมา หลี่โจวอี้ที่นั่งรออยู่บนเตียงเริ่มรู้สึกกระสับกระส่าย สายตาจ้องมองที่ประตูด้วยความร้อนใจมีเรื่องสำคัญอะไรนักหนาถึงได้ต้องคุยกันนานขนาดนี้จนกระทั่งเวลาผ่านไปชั่วโมงเศษ เสียงฝีเท้าคนก็เดินมาหยุดที่หน้าประตูห้อง หลี่โจวอี้รีบหยิบแว่นตามาสวม พร้อมกับนำหนังสือมาถือ จัดท่าทางของตนเองให้เหมือนเมื่อครั้งแรกที่เสวี่ยชิงหยวนได้พบเจอกับเขาทว่าซ่งเจียซินที่เปิดประตูเข้ามากลับไม่รู้ถึงความเจ้าเล่ห์ของคนบนเตียง ทันทีที่เข้าห้องมาก็ถูกภาพที่เขาจัดฉากตรึงสายตา สองเท้าเดินเข้าไปหาเขาหลี่โจวอี้ยกมุมปากขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ เขาเป็นชายหนุ่มที่มีใบหน้าโดดเด่นและรูปร่างดีงาม เสวี่ยชิงหยวนจะลุ่มหลงจนละสายตาไม่ได้ก็ไม่แปลกนัก และทันทีที่เธอเดินมาถึงขอบเตียงก็โน้มตัวเอื้อมมือมาหาเขา หัวใจของหลี่โจวอี้สั่นระรัว เขารู้ว่าตนเองเป็นบุรุษที่น่าลุ่มหลง แต่ก็ไม่คิดว่าเสวี่ยชิงหยวนจะกล้าถึงขั้นเป็นฝ่ายรุกเข้าหาซึ่งหน้าขนาดนี้“คุณหลี่ หนังสือคุณกลับด้านอยู่”กล่าวจบมือเรียวก็ดึงหนังสือในมือของเขากลับด้านให้ เสร็จแล้วก็เดินไปที่ตู้เสื้อผ้าหยิบชุดใหม่ออกมาแล้วเข้าไป
“กระดูกข้อเท้าซ้ายของผู้พันหลี่หักไปสองท่อน”ถึงกับหักสองท่อน!ดวงตาคมตวัดมองไปทางหญิงสาวที่กำลังนั่งฟังหมอโจวบรรยายอาการของเขาด้วยความหงุดหงิดใจ“ตำแหน่งที่หักอันตรายมากไหมคะ”“ไม่มากครับ ตอนนี้ผมเข้าเฝือกเอาไว้ให้แล้ว แต่ระหว่างนี้ห้ามลงน้ำหนักนะครับ แล้วอีกหกสัปดาห์ค่อยมาเอกซเรย์ซ้ำดูอีกที”“ขอบคุณหมอโจวมากนะคะ”“ยินดีครับ”หมอโจวบอกอาการพร้อมกับให้คำแนะนำ ซ่งเจียซินตอบรับด้วยท่าทางสุภาพ หากแต่คนบนรถเข็นกลับแสดงสีหน้าขุ่นเคืองไม่พอใจ ตัวเขาก็เป็นหมอเหมือนกัน อีกทั้งประเมินดูจากอายุของหมอโจวผู้นี้แล้วเขายังนับว่ามีอายุงานมากกว่า ย่อมเชี่ยวชาญมากกว่า เรื่องพวกนี้ไม่ต้องให้อีกฝ่ายมาบอกเขาก็รู้ว่าต้องทำอย่างไร“คุณไม่ต้องรบกวนหมอโจวให้มากไป ลืมแล้วหรือว่าผมก็เป็นหมอ รู้ดีว่าต้องทำตัวยังไง”ซ่งเจียซินได้ยินคำพูดของคนเจ็บก็ขบกรามแน่นตวัดสายตาตำหนิ ก่อนจะหันไปยิ้มแห้งให้คุณหมอหนุ่มตรงข้าม“ทำไม ผมพูดอะไรผิดหรือไง”“คุณเงียบไปเลย”“นี่คุณกล้า... โอ๊ย!”เพราะโมโหที่ถูกหญิงสาวดุต่อหน้าคนอื่น หลี่โจวอี้จึงลืมตัวลุกขึ้นยืนทำให้เผลอลงน้ำหนักที่เท้าซ้าย ความเจ็บปวดแล่นปราบขึ้นมาถึงต้นขาจนเสียหลัก
“แม่ครับ ไปเล่นบอลกัน”เสียงของหลี่จื่อรั่วดังขึ้นก่อนที่ประตูห้องจะเปิดออก และตัวคนก็วิ่งเข้ามาโผกอดซ่งเจียซินจนร่างเล็กเซเอนไปอิงแอบกับอกแกร่งด้านหลังโดยไม่รู้ตัว คิ้วเข้มพลันขมวดแน่น มองร่างเล็กที่แนบชิดด้วยสายตาดุดันปนตำหนินี่ซ่งเจียซินกำลังฉวยโอกาสแนบชิดยั่วยวนเขาใช่หรือไม่ถึงแม้จะคิดว่าซ่งเจียซินกำลังแสร้งทำเพื่อจะได้แนบชิดตนเอง แต่หลี่โจวอี้ก็ไม่คิดจะผลักไสตัวคนออก สองมือกำผ้าคลุมโซฟาแน่น ไม่รู้เพราะอะไรแต่คล้ายว่าเขาจะไม่ได้รังเกียจสัมผัสของหญิงสาวเหมือนในอดีตแล้ว“ทำการบ้านเสร็จหมดแล้วหรือไง”หลี่โจวอี้ถามลูกชายเสียงเข้มระคนหงุดหงิดเมื่อซ่งเจียซินทรงตัวได้และกลับไปนั่งหลังตรงเช่นปกติ“เสร็จแล้วครับ”หลี่จื่อหมิงที่เดินตามน้องชายเข้ามาตอบรับแทนด้วยสีหน้านิ่งสงบ“ใช่ครับ พวกเรายังคัดตัวอักษรภาษาอังกฤษตามที่แม่เขียนให้ดูจบไปอีกสิบรอบด้วยนะครับ ตอนนี้ไม่ต้องเปิดดูตัวอย่างพวกเราก็สามารถเขียนได้อย่างคล่องมือแล้ว”หลี่จื่อชิงอกมือขึ้นกอดอกเชิดหน้าบอกเล่าด้วยความภาคภูมิใจ ซ่งเจียซินเห็นความขยันใส่ใจการเรียนของพวกเขาก็ยิ้มกว้าง กล่าวชื่นชมด้วยน้ำเสียงจริงใจ“ลูกชายของแม่เก่งกันจริงๆ
หลังจากตกลงกันได้แล้ว ซ่งเจียซินก็รับบทเป็นอาจารย์สอนพิเศษติวเข้มให้กับเด็กแฝดทั้งสาม สอนวิชาภาษาต่างชาติ และการคิดคำนวณให้พวกเขาอย่างคล่องแคล่ว"แม่! วิธีการคิดแบบนี้คืออะไรหรือครับ ทำไมถึงได้ง่ายแล้วก็ได้คำตอบที่รวดเร็วแบบนี้"หลี่จื่อชิงเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น เมื่อได้เรียนรู้วิธีการคิดคำนวณแบบใหม่ เช่นเดียวกับซ่งเจียซินที่ตกใจกับสรรพนามใหม่ที่เขาใช้เรียกขานตนเอง เพียงแต่หนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ เธอพอจะรู้จักนิสัยของเด็กชายคนนี้อยู่ไม่น้อยดังนั้นจึงไม่คิดจะทักท้วง เพียงเก็บความยินดีนี้เอาไว้เงียบๆ ในใจเท่านั้น"วิธีการพวกนี้เรียกว่าการคิดคำนวณแบบจินตคณิต เป็นเทคนิกการคิดตอบอย่างรวดเร็ว แต่ถึงอย่างนั้นลูกๆ ก็ต้องเรียนรู้การคิดคำนวณแบบมีระบบด้วย""แม่ คุณเก่งที่สุดเลย มีคุณคอยสอนพวกเรา ปีนี้คะแนนรวมของพวกเราต้องเป็นที่หนึ่งของระดับชั้นแน่นอน"หลี่จื่อรั่วกล่าวเยินยอมารดาเลี้ยงด้วยท่าทางสดใสจนซ่งเจียซินอดที่จะยิ้มตามไม่ได้"หากคะแนนรวมของพวกลูก ใครสามารถเป็นหนึ่งในห้าสูงสุดของระดับชั้น แม่จะรับปากมอบของขวัญให้หนึ่งชิ้นดีหรือไม่""แม่ คุณพูดแล้วห้ามคืนคำนะ หากพวกเราอยากได้ของแพงก็ห้ามบ่า
หลี่โจวอี้เดินขึ้นมาที่ชั้นสองด้วยความเร่วรีบก่อนจะหยุดที่หน้าห้องของลูกชาย ทว่าภาพภายในห้องที่มองเห็นผ่านช่องประตูซึ่งปิดไม่สนิทกลับทำให้เขาไม่กล้าจะเปิดประตูเข้าไป“แม่ครับ แม่อ่านภาษาต่างประเทศพวกนี้ได้ด้วยหรือครับ”หลี่จื่อรั่วถามด้วยท่าทางกระตือรือร้น เมื่อเห็นว่ามารดาเลี้ยงของตนสามารถอ่านภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่วราวกับเป็นภาษาประจำชาติ“ไม่เพียงแค่อ่านได้ แต่แม่ยังเขียน แล้วก็สอนพวกนายได้ด้วย”“จริงหรือครับ! แม่จะสอนพวกเราจริงๆ หรือ”ซ่งเจียซินยิ้มกว้าง จับเด็กชายตัวน้อยมานั่งบนตักแล้วกดจมูกลงบนแก้มกลมๆ ก่อนจะมองสบตาเด็กชายอีกสองคนที่นั่งขนาบข้าง“ฉันสามารถสอนพวกนายได้ เพียงแต่ก่อนจะสอนการบ้านเหล่านี้ มีเรื่องหนึ่งที่พวกเราต้องคุยกันก่อน”เด็กชายทั้งสามเห็นหญิงสาวพูดด้วยท่าทางจริงจังก็ลอบสบตากันด้วยความรู้สึกกังวล หากแต่เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าหวาน ความกังวลในใจก็เบาบางลงไปเล็กน้อย"คุณอยากคุยเรื่องอะไร"หลายวันมานี้หญิงสาวตรงหน้าคล้ายจะเปลี่ยนไปไม่น้อย หลี่จื่อหมิงจึงรู้สึกสะดวกใจที่จะพูดคุยกับเธอมากขึ้น“เอ่อ... เรื่องแรกก็คือ... ฉัน... อยากจะขอโทษพวกเธอ”ซ่งเจียซินพูดด้วยอ