บทที่ 4
ความระแวงจากอดีต
“แม่ คุณขับรถไม่เป็นไม่ใช่หรือครับแล้วจะพาผมไปโรงพยาบาลได้ยังไง”
ซ่งเจียซินได้ยินคำพูดของหลี่จื่อรั่วก็ชะงักเท้าไปเล็กน้อย คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างช่างใจ ตระกูลเสวี่ยนนั้นร่ำรวยมาก ตัวเจ้าของร่างเดิมเสวี่ยชิงหยวนที่เป็นลูกสาวเพียงคนเดียวจึงได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี ไม่เพียงแต่ขับรถไม่เป็น งานการใดๆ ก็ล้วนไม่เคยต้องทำสักอย่าง ดังนั้นหากซ่งเจียซินแสดงความสามารถของตนเองที่ติดตัวมาอาจจะถูกจับสังเกตได้
เพียงแต่ในตอนนี้เด็กชายในอ้อมแขนบาดเจ็บหากไม่พาเขาไปโรงพยาบาลอาจมีผลเสียในภายหลังได้
“แค่นายไม่เคยเห็นฉันขับ ไม่ได้หมายความว่าฉันขับไม่เป็นเสียหน่อย จริงไหม”
“จริงครับ โอ๊ย!”
“อดทนหน่อย แขนนายเต็มไปด้วยเศษอาหารต้องล้างออกให้หมดแล้วค่อยใช้ผ้าสะอาดพันปิดแผลไปโรงพยาบาล”
“ครับ... โอ๊ย... เจ็บ! แม่ครับผมเจ็บ!”
เสียงร้องของหลี่จื่อรั่วที่ดังออกมาจากห้องน้ำ ทำให้หลี่จื่อหมิงและหลี่จื่อชิงร้อนรนด้วยความห่วงใย ขยับตัวดิ้นรนสุดชีวิตเพื่อให้หลุดจากการจับกุมของจูหลินอิง
“ปล่อยนะ! ปล่อย! หญิงใจร้ายห้ามทำร้ายจื่อรั่วของพวกเรานะ ปล่อย!”
หลี่จื่อชิงทั้งดิ้นรน ทั้งส่งเสียงโวยวาย หากแต่เพราะพวกเขาเรี่ยวแรงมีน้อยกว่าจูหลินอิงมาก ดังนั้นทำอย่างไรก็ไม่อาจหลุดไปจากแขนที่รัดตัวพวกเขาเอาไว้ได้
หลี่จื่อหมิงเองแม้ไม่ได้โวยวายเช่นน้องชายแต่ก็ต่อต้านดิ้นรนไม่ต่างกัน ยิ่งเห็นมารดาเลี้ยงแสนร้ายกาจคนนั้นห่อตัวหลี่จื่อรั่วด้วยผ้าผืนใหญ่แล้วอุ้มเขาไปที่รถยนต์ก็ยิ่งกังวลใจ ก่อนจะตัดสินใจก้มหน้ากัดแขนที่รัดตัวเขาเอาไว้สุดแรง
“โอ๊ย!”
จูหลินอิงถูกความเจ็บปวดที่แขนโจมตีก็เผลอปล่อยคน หลี่จื่อชิงเห็นวิธีการของแฝดผู้พี่ก็ทำตาม ดังนั้นเพียงพริบตาเด็กชายทั้งสองก็วิ่งออกมาจากบ้าน
หลี่จื่อหมิงมองไปยังรถยนต์ที่กำลังขับออกจากบ้าน ก็คิดไปถึงคำพูดของมารดาเลี้ยงในวันวาน
หากมีโอกาสเมื่อไหร่ฉันจะจับเด็กพวกนั้นใส่รถเอาไปปล่อยไกลๆ ให้กลายเป็นคนไร้บ้าน เป็นเด็กจรจัดข้างถนน
เมื่อคิดว่าเสวี่ยชิงหยวนกำลังจะพาหลี่จื่อรั่วไปปล่อยอย่างที่เธอเคยพูด เท้าเล็กก็รีบวิ่งไปขวางทางรถโดยไม่คิดถึงอันตรายของตนเอง
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะไม่ยอมให้สตรีร้ายกาจจับหลี่จื่อรั่วไปปล่อยเด็ดขาด
เอี๊ยด!!! ซ่งเจียซินเหยียบเบรกรถสุดแรงเท้า ดวงตากลมเบิกกว้าง มองเด็กชายตัวน้อยที่ยืนขวางหน้ารถด้วยความรู้สึกทั้งตกใจและโมโห ก่อนจะเปิดประตูรถออกมา
“หลี่จื่อหมิง นายทำอะไรของนาย”
“คุณจะพาจื่อรั่วไปไหน”
ซ่งเจียซินถอนหายใจยาว พยายามควบคุมอารมณ์โมโหของตนเองสุดกำลัง
“แม่ครับ คุณอย่าโมโหจื่อหมิงเลยนะครับ เขาแค่เป็นห่วงผมเท่านั้น”
ซ่งเจียซินหันมามองเด็กชายที่นั่งข้างๆ พวกเขาสามคนเป็นฝาแฝดที่หน้าเหมือนกันจนแยกไม่ออก ทว่านิสัยกลับแตกต่างกันราวขาวกับดำ
“จื่อรั่วรีบลงมา”
หลี่จื่อชิงเปิดประตูรถอีกด้านออกแล้วพยายามจะพาหลี่จื่อรั่วลงมาจากรถ ซ่งเจียซินเห็นการกระทำของเขาก็ตวัดสายตาดุ
“จื่อชิง นายจะทำอะไร!”
“คุณนั่นแหละจะทำอะไร คิดจะพาจื่อรั่วไปปล่อยใช่ไหม หากคุณพ่อรู้เข้าจะต้องโมโหคุณแน่ๆ”
พาไปปล่อย! ซ่งเจียซินได้ยินหลี่จื่อหมิงบอกถึงเหตุผลที่เขาวิ่งมาขวางทางรถก็อดที่จะผ่อนลมหายใจขบขันเบาๆ ไม่ได้ แม้จะรู้ดีว่าเด็กชายทั้งสามคนกำลังอยู่ในวัยแห่งจินตนาการ แต่ต่อให้เจ้าของร่างเดิมอย่างเสวี่ยชิงหยวนจะร้ายกาจแค่ไหนก็คงไม่ถึงกับคิดเอาเด็กไปปล่อยแบบนั้น...
“หากมีโอกาสเมื่อไหร่ฉันจะจับเด็กพวกนั้นใส่รถเอาไปปล่อยไกลๆ ให้กลายเป็นคนไร้บ้าน เป็นเด็กจรจัดข้างถนน”
“แล้วหากคุณหลี่รู้เข้าจะยอมหรือคะ”
“ไม่ยอมแล้วยังไง เขาจะกล้าหย่ากับฉันเหรอ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งเจียซินพลันแข็งค้าง เมื่อภาพในความทรงผุดขึ้นมา เสวี่ยชิงหยวนถึงกลับพูดเรื่องแบบนี้ออกมาโดยไม่เกรงกลัว ไม่ต้องคาดเดาก็รู้ว่าประโยคพวกนี้ต้องถูกเด็กชายทั้งสามคนได้ยินอย่างแน่นอน
“แม่ครับ แม่จะเอาผมไปปล่อยที่ไกลๆ จริงๆ หรือครับ ผม... ไม่ไปได้ไหม ผมสัญญาผมจะเป็นเด็กดีเชื่อฟังคุณ”
“จื่อรั่วไม่ต้องไปอ้อนวอนเธอ เธอไม่ใช่แม่จริงๆ ของพวกเรา รีบลงรถมา!”
หลี่จื่อชิงพูดพลางเข้ามาจับแขนของหลี่จื่อรั่วเพื่อดึงเขาลงจากรถ แต่เพราะร่างกายของแฝดผู้น้องถูกผ้าห่อเอาไว้ หลี่จื่อชิงไม่เห็นว่าแขนของน้องชายเป็นแผล ดังนั้นจึงจับโดนแผลของอีกฝ่ายโดยไม่ได้ตั้งใจ
“โอ๊ย! จื่อชิง ฉันเจ็บ!”
หลี่จื่อชิงได้ยินหลี่จื่อรั่วร้องด้วยความเจ็บปวดก็ตกใจจนเผลอปล่อยมือ พอดีกับที่จูหลินอิงวิ่งตามออกจับตัวเขาถอยออกไป
หลี่จื่อหมิงที่ได้ยินแฝดคนน้องบอกว่าเจ็บก็คิดว่าเขาถูกเสวี่ยชิงหยวนทำร้าย ดังนั้นจึงเข้าเปิดผ้าดูแขนของคนในรถ เพียงแต่ทันทีที่เห็นรอยแผลใบหน้าของเด็กชายก็พลันซีดเซียว
“ระวัง!”
......................................
ซ่งเจียซินเปลี่ยนชุดเสร็จก็เดินกลับมา พร้อมกับซองเอกสารสีน้ำตาล เมื่อนั่งลงบนโซฟาแล้วก็เอายื่นให้กับหลี่โจวอี้“อะไร” หลี่โจวอี้เอ่ยถามพร้อมกับหยิบเอกสารด้านในออกมาดู“สัญญาหย่า!” ดวงตาคมเบิกกว้างมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความรู้สึกตื่นตกใจ“ชิงหยวน นี่เธอกำลังจะขอหย่ากับผมอย่างนั้นหรือ”“ใช่ค่ะ”ซ่งเจียซินตอบกลับด้วยสีหน้าสงสัย เอกสารตรงหน้าเธอระบุชัดเจนถึงจุดประสงค์แล้วเหตุใดชายหนุ่มจึงยังต้องถามย้ำอีกกัน หรือว่าเธอร่างสัญญาไม่ชัดเจน“ก่อนหน้านี้เป็นฉันที่ผิดต่อคุณ ฉกฉวยโอกาสตอนที่คุณกำลังเดือดร้อนบังคับคุณให้ยอมแต่งงานด้วย”ถึงแม้จะบอกว่าเป็นการตกลงที่ล้วนได้ผลประโยชน์ทั้งสองฝ่าย แต่ซ่งเจียซินต้องการยุติความสัมพันธ์นี้จึงจงใจยอมรับความผิดทั้งหมดมาเองเพื่อง่ายต่อการเจรจา“อีกทั้งหลังแต่งงานมาฉันเองก็ทำหน้าที่ภรรยาได้ไม่ดีนัก ตอนนี้ฉันรู้สึกละอายใจต่อคุณจึงอยากมอบอิสระคืนให้คุณค่ะ”มอบอิสระอะไรกัน! เขาเคยบอกหรือว่าต้องการหย่ากับเธอ หลี่โจวอี้ตกใจกับความคิดของตนเองเล็กน้อย ก่อนหน้านี้เขาวางแผนเอาไว้ว่าหลังจากที่ทำเรื่องย้ายมาอยู่ในสังกัดใกล้บ้านได้แล้วก็จะเจรจาขอหย่ากับเสวี่ยชิงหยวน ทว่าไม
หลี่จื่อหมิงมองเห็นมารดาเลี้ยงเดินขึ้นไปชั้นบนเพียงลำพังในใจก็เกิดความกังวลถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ยิ่งเห็นสายตาที่เธอทอดมองมาทางพวกเขาด้วยความเศร้า หัวใจของเด็กชายก็คล้ายถูกบีบรัดเศร้าหมองขึ้นมา“วันนี้พ่อเพิ่งกลับมาคงเหนื่อยมาก ขึ้นไปพักผ่อนที่ห้องเถอะครับ”“งั้นพวกเราก็ขึ้นห้องนอนกันเถอะ”หลี่โจวอี้ตอบรับลูกชายฝาแฝดคนโตในทันที ทว่ายามที่จะลุกขึ้นพาพวกเขากลับเข้าห้องนอนเช่นทุกครั้ง กลับถูกคัดค้านขึ้นมา“พ่อแต่งงานแล้วจะนอนห้องเดียวกับพวกเราได้ยังไงครับ”“จื่อหมิง ลูกหมายความว่าจะให้พ่อกลับไปนอนที่ห้องเดิม”หลี่โจวอี้ขมวดคิ้วหนาด้วยความสงสัย ปกติแล้วยามที่เขากลับมาบ้านลูกชายทั้งสามจะเกาะติดเขาแน่น และพยายามอย่างหนักในการขัดขวางเขากับเสวี่ยชิงหยวน ทว่าเหตุใดครั้งนี้จึงพูดราวกับจงใจเปิดทางให้เขาใกล้ชิดกับเสวี่ยชิงหยวน“ที่นอนของพวกเราไม่ได้กว้างมาก ปกตินอนกันสามคนก็แน่นมากแล้ว คืนนี้พ่อกลับไปนอนที่ห้องเดิมเถอะครับ”คิ้วเข้มของหลี่โจวอี้ขมวดเข้าหากันแน่นมากขึ้น มองลูกชายคนรองด้วยความรู้สึกสงสัยเป็นทบทวี หากพูดถึงความรู้สึกที่ลูกชายทั้งสามของเขามีต่อเสวี่ยชิงหยวน
หลังมื้อค่ำหลี่โจวอี้ต้องการอยู่พูดคุยกับลูกชายทั้งสามต่อ ซ่งเจียซินรู้ดีว่าตนเองเป็นคนนอกจึงไม่ต้องการรบกวนพวกเขา ใช้ข้ออ้างว่าติดละครช่วงค่ำแยกตัวออกมานั่งดูโทรทัศน์ดวงตาคมมองแผ่นหลังบางที่เดินออกจากห้องอาหารไปด้วยความรู้สึกแปลกใจ ปกติแล้วทุกครั้งที่เขากลับบ้านเสวี่ยชิงหยวนจะต้องใช้ลูกไม้สารพัดทำให้เขายอมอยู่กับเธอ แม้แต่การจงใจกินดอกลำโพงจนตัวเองล้มป่วยเพื่อเรียกร้องความสนใจจากเขาในวันที่เขาจะกลับเข้ากรมเมื่อครั้งก่อนเธอก็เคยทำเช่นนี้แล้วเสวี่ยชิงหยวนในวันนี้เป็นอะไรไป ทำไมเขาจึงรู้สึกไม่คุ้นเคยกับเธอ ราวกับเธอคนนี้ไม่ใช่เสวี่ยชิงหยวนที่เขาเคยรู้จัก“คุณพ่อครับ มาครั้งนี้คุณพ่อจะอยู่กี่วันหรือครับ”“ห้าวัน”“แค่ห้าวันเองหรือครับ”“ทำไมหรือ มีอะไรหรือเปล่า”ปกติแม้ว่าหลี่จื่อรั่วจะเป็นเด็กชายขี้อ้อน ทว่าที่ผ่านมาเขาก็ไม่เคยมีท่าทีเช่นนี้ หรือว่าระหว่างนี้เสวี่ยชิงหยวนจะสร้างความลำบากให้ลูก ๆ ของเขาอีกแล้ว“ผู้หญิงคนนั้นรังแกลูก ๆ อีกแล้วหรือ”ได้ยินคำถามนี้หลี่จื่อรั่วก็รีบเงยหน้าส่ายหัวไปมาดุกดิกอย่างรวดเร็ว“แม่ไม่ได้รังแกพวกเราเลยครับ ยังใจดีมากอีกด้วย”“ใจดี?”ให้หลี่จื่อ
ซ่งเจียซินขบกรามแน่น เขาไม่ได้ลงโทษตีเธอตามคำมั่นที่ให้ไว้กับเด็กทั้งสาม แต่กลับบอกว่าต้องการกินอาหารค่ำฝีมือเธอ หากในตอนนี้คนในร่างเป็นเสวี่ยชิงหยวนคนเดิม เกรงว่าเรื่องราวคงไม่จบโดยง่ายเพียงแต่เธอในเวลานี้คือซ่งเจียซิน ผู้มีฉายาเจ้าแม่ร้อยอาชีพ!“อิงอิง ปกติแล้วคุณหลี่ชอบทานอะไรเป็นพิเศษไหม หรือว่าไม่ชอบทานอะไรบ้างหรือเปล่า”ได้ยินคุณหนูของตนสอบถามความชอบและไม่ชอบของผู้พันหลี่โจวอี้อย่างใส่ใจ หูหลินอิงก็ได้แต่ถอนหายใจยาวด้วยความรู้สึกเสียดาย คุณหนูเสวี่ยของนางแม้จะขาดคุณสมบัติบางประการไป แต่ก็เป็นหญิงสาวที่พร้อมด้วยรูปและทรัพย์ เหตุใดต้องมาทนกับพ่อหม้ายลูกติดหลี่โจวอี้พวกนี้ด้วยนะ“คุณหนูให้ฉันทำให้เถอะค่ะ”“ทำอะไรกัน ผู้พันอยากกินอาหารฝีมือฉัน แน่นอนว่าฉันต้องทำอย่างเต็มความสามารถเพื่อเอาใจเขาสิ”“แต่ว่าคุณหนูทำอาหารไม่เป็นไม่ใช่หรือคะ”เมื่อได้ยินคุณสมบัติส่วนตัวของเจ้าของร่าง ซ่งเจียซินก็ชะงักมือที่กำลังหั่นผักไปชั่วครู่ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มมุมปากแล้วลงมือทำต่ออย่างชำนาญ“ทำไม่เป็นก็หัดได้ ก็แค่อาหารไม่เห็นจะยากเย็นอะไร”ดังนั้นหนึ่งชั่วโมงต่อมาเมื่อทุกคนมาพร้อมหน้าที่โต๊ะอาหาร
หลี่จื่อรั่วจับมือซ่งเจียซินลงมาที่สนามหญ้าหลังบ้าน โดยมีหลี่จื่อชิงและหลี่จื่อหมิงที่วางท่าจำใจตามลงมาเพื่อติดตามดูแลหลี่จื่อรั่วอยู่ไม่ห่าง ซ่งเจียซินที่รู้ทันเด็กน้อยทั้งสองคนจึงไม่ได้ตำหนิ อีกทั้งยังท้าดวลพวกเขาสามคนแข่งกันเตะเข้าประตูแมว แน่นอนว่าด้วยอัตราหนึ่งต่อสามแม้อีกฝ่ายจะเป็นเพียงเด็กชายเจ็ดขวบ แต่ร่างกายที่เติบโตมาราวกับไข่ในหินของเสวี่ยชิงหยวนย่อมอ่อนแอและบอบบาง ผ่านไปเพียงไม่กี่นาทีก็ถูกเด็กชายทั้งสามนำไปด้วยคะแนน สองต่อศูนย์“แม่ครับ พวกเราพักก่อนดีหรือไม่”หลี่จื่อรั่วเห็นมารดาเลี้ยงสองแก้มแดงก่ำ อีกทั้งยังหายใจหอบถี่ก็เอ่ยถามด้วยความห่วงใย หากแต่หญิงสาวกลับยืดตัวเอ่ยตอบเสียงหนักแน่น“ได้พัก วันนี้ฉันจะต้องชนะพวกนายให้ได้”หลี่จื่อหมิงได้ยินหญิงสาวประกาศกร้าวก็ยกยิ้มขบขัน ก่อนจะจับบอลพลิกตัวไปมา แล้วยิงเข้าประตูทำคะแนนอีกรอบ“จื่อหมิงนายเก่งที่สุด”หลี่จื่อชิงตะโกนชมพี่ชายฝาแฝดของตนเองเสียงก้อง“สามรุมหนึ่ง ชัยชนะนี้น่าภาคภูมิใจมากหรือไร”เสียงทุ้มต่ำดังขึ้น สายตาสี่คู่ในสนามพลันหันไปมองโดยพร้อมกัน หลี่จื่อหมิงเห็นแววตาคมดุของบิดามีคำตำหนิแฝงก็ก้มหน้าพาน้องชายทั้งสองเ
ซ่งเจียซินยืนพิงขอบหน้าต่างห้องนอนมองดูสนามหญ้าเบื้องล่างด้วยความรู้สึกสงสัย สามวันแล้วที่เธอมอบลูกบอลหนังให้เด็กชายทั้งสามคนไป ทว่าจวบจนวันนี้กลับไม่เคยเห็นพวกเขาหยิบมันมาเล่นเลยสักครั้ง หรือแท้จริงแล้วพวกเขาจะไม่ชอบเล่นบอลกัน“อิงอิง ปกติคุณชายทั้งสามคนเขาชอบเล่นบอลหรือไม่”“ชอบค่ะ”“แล้วทำไม ฉันไม่เห็นเขาเอาบอลมาเล่นที่สนามล่ะ”“เรื่องนี้คุณหนูคงต้องถามตัวเองแล้ว...”ถามตัวเอง หรือว่าเสวี่ยชิงหยวนผู้เป็นเจ้าของร่างเดิมจะทำเรื่องบางอย่างเอาไว้อีกแล้วซ่งเจียซินเพ่งสายตามองไปที่สนามหญ้าด้านล่าง พยายามขบคิดความทรงจำเดิมของเสวี่ยชิงหยวน ก่อนที่ภาพหนึ่งจะสะท้อนเข้ามาในห้วงความคิด“เอามานี่”เสวี่ยชิงหยวนตวาดเสียงหงุดหงิดก่อนจะแย่งบอลในมือของหลี่จื่อรั่วมาแล้วใช้กรรไกรจิ้มจนเกิดรอยรั่วมากมาย “คุณทำอะไร!”หลี่จื่อชิงเข้ามาแย่งบอลคืน หากแต่ก็สายเกินแก้ไข รอยรั่วมากมายทำให้ลูกบอลลูกนี้ไม่อาจเล่นได้อีก หลี่จื่อรั่วน้ำตาไหลอาบแก้ม สะอื้นจนตัวสั่น หากแต่กลับไม่ได้ทำให้เสวี่ยชิงหยวนรู้สึกสงสารเลยสักนิด ตรงกันข้ามเธอกลับกล่าวคำข่มขู่เพิ่มเติม“วันนี้ฉันแค่ทำลายบอลของพวกแก ถ้าวันหน้าพวกแกยังกล้า