หรูหรงหาซื้อขมิ้นชันมาจากตลาดสมุนไพรในเมืองได้เป็นจำนวนมาก แม้นางจะสงสัยว่าคุณหนูของตนเองต้องการนำขมิ้นชันมาทำสิ่งใด แต่ก็มิกล้าเอ่ยถามออกไปด้วยเกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องของตนที่ควรรู้
จางอวิ๋นซีรับห่อขมิ้นชันที่ยังเป็นแท่งมิได้หั่นออกเป็นแว่นหรือบดเป็นผงจากหรูหรง แม้ว่านางจะเป็นหมอสาวที่ใช้วิทยาการตะวันตกมาช่วยรักษาคน แต่เรื่องสมุนไพรนั้นเธอก็รู้มากอยู่มิใช่น้อย ทั้งสรรพคุณข้อดีและข้อเสียของสมุนไพรแต่ละชนิด นางล้วนศึกษามาอย่างละเอียดยิบจนจำได้ขึ้นใจ
สาเหตุที่นางให้หรูหรงหาซื้อขมิ้นชันมานี้ เพราะว่าขมิ้นชันมีสรรพคุณช่วยบำรุงและรักษาเชื้อดื้อยาของผู้ที่เป็นวัณโรคปอดและวัณโรคร้ายแรงชนิดต่างๆ แต่ทว่าการใช้สมุนไพรในการแพทย์สมัยใหม่นั้นเป็นเพียงการบรรเทาอาการเท่านั้น หากจางฮูหยินได้รับการรักษาที่ถูกต้อง โอกาสหายจากวัณโรคปอดนั้นย่อมมีมากนัก
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าขมิ้นชันนี้ของดีนัก” จางอวิ๋นซีวางขมิ้นชันตรงหน้าหรูหรงพลางยิ้มกว้าง
หรูหรงขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “อย่างไรหรือเจ้าคะ”
จางอวิ๋นซีเลี่ยงที่จะพูดถึงยุคปัจจุบันของนาง หญิงสาวกล่าวเพียงแค่สิ่งที่
กล่าวได้เท่านั้น
“ขมิ้นชันสามารถช่วยบรรเทาอาการดื้อยาของท่านแม่ได้”
หรูหรงนางไม่เข้าใจความหมายของคำว่าดื้อยานัก สังเกตได้จากคิ้วที่ขมวดกันเป็นปมราวกับคนมีคำถามในใจ จางอวิ๋นซีจึงไขข้อข้องใจให้กับอีกฝ่าย
“อาการดื้อยาก็คือ การที่ยาตัวนั้นไม่ตอบสนองต่อการรักษาแล้วยังไงล่ะ ก็เลยจำเป็นต้องใช้ยาสมุนไพรตัวใหม่เพื่อลดอาการดื้อยา ซึ่งขมิ้นชันนี้ได้ผลดีนัก” จางอวิ๋นซียิ้ม
สีหน้าของหรูหรงราวกับร้อง ‘อ๋อ’ ทันที
“แล้วคุณหนูจะเอาให้ฮูหยินกินหรือเจ้าคะ”
จางอวิ๋นซียิ้มรับแทนการตอบหรูหรง “เดี๋ยวไปถึงบ้านแล้วเจ้าก็เอาขมิ้นชันนี้บดเป็นผงนะ ปั้นเป็นลูกกลอนให้ท่านแม่ข้า”
“แต่ว่าเหลือเพลาไม่มากแล้วนะเจ้าคะคุณหนู อีกไม่กี่ชั่วยามคุณหนูก็จะต้องไปร่วมงานล่องเรือชมบงกช ในวันพระราชสมภพของไทเฮา” หรูหรงเตือนขึ้นมา
“งานอะไรหรือ?” จางอวิ๋นซีนางไม่ยักจะจำได้ หรืออาจจะเป็นเพราะตอนที่นางฟื้นขึ้นมาในร่างนี้ ความทรงจำเดิมก็หลุดหายไปกับเจ้าของร่างเดิมที่เธอสิงอยู่
หรูหรงอยากจะเอามือเขกศีรษะตนเองสักร้อยทีนัก
“เมื่อไม่กี่วันก่อนที่คุณหนูจะหายออกไปจากจวน ไทเฮาทรงส่งจดหมายมาเชิญคุณหนูและฮูหยินใหญ่กับทุกคนไปร่วมงานล่องเรือชมบงกชนะเจ้าคะ ข้าได้ยินข่าวลือหนาหูมาว่าฝ่าบาทจะทรงคัดเลือกพระชายาให้กับองค์ชายแต่ละองค์ด้วยเจ้าค่ะ”
“คัดเลือกพระชายา?” จางอวิ๋นซีถาม
หรูหรงยิ้มน้อยๆ “คุณหนูเองก็ถูกวางตัวให้เป็นว่าที่พระชายาเหมือนกันนะเจ้าคะ น่าจะเป็นท่านอ๋องไท่หยางแน่ๆ”
“เจ้าผู้ชายหน้าตายนั่นน่ะหรือ?!” จางอวิ๋นซีถามเสียงดัง นางเอามือกุมขมับ สุดท้ายแล้วเรื่องการคิดจับคลุมถุงชนก็ยังมีมาทุกยุคทุกสมัยจริงๆ
แต่ทว่าจางอวิ๋นซียังพอจะเข้าใจเรื่องขนบธรรมเนียมการแต่งงานกับบุตรสาวขุนนาง เพื่อรักษาฐานอำนาจและสืบทอดอำนาจทางราชวงศ์ให้มั่นคง แต่มีสิ่งเดียวที่นางไม่เข้าใจคือเหตุใดต้องเจาะจงถึงนางโดยเฉพาะ
หรูหรงมองซ้ายมองขวาด้วยสีหน้าตื่นตระหนกเล็กน้อย นางกลัวว่าจะมีคนของทางวังหลวงมาได้ยินและติฉินนินทาคุณหนูของนางได้ “คุณหนูอย่าเอ็ดดังไปสิเจ้าคะ หน้าต่างมีหูประตูมีช่องเจ้าค่ะ”
จางอวิ๋นซีปรับสีหน้าและอารมณ์ให้เป็นปกติ
“เจ้าอ๋องหน้าตายนั่นน่ะหรือที่เจ้าบอกว่าฮองเฮาหมายตาให้ข้า”
“ประมาณนั้นเจ้าค่ะ คุณหนูเป็นที่โปรดปรานของไทเฮากับฮองเฮามาก และก็อาจเป็นอีกประเด็นที่ฮูหยินรองกับคุณหนูใหญ่ชอบรังแกคุณหนู” หรูหรงพูด
“เจ้านี่ก็รู้เยอะเหมือนกันเนอะ” หรูหรงยิ้มแหยๆ กับคำกล่าวกึ่ง
ประชดของผู้เป็นนาย
“ก็นิดหน่อยเจ้าค่ะ เมื่อก่อนเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคุณหนูบ่าวจะเป็นคนช่วยจัดการทั้งหมด แต่ตอนนี้คุณหนูฟื้นมาดูแลตัวเองได้ บ่าวก็ดีใจนักเจ้าค่ะ” หรูหรงยิ้มพลางจับมือของจางอวิ๋นซีอย่างออดอ้อน หลังจากนั้นพวกนางทั้งสองจึงออกจากโรงน้ำชากลับจวนสกุลจาง
ตำหนักคุนหนิง
หานไท่หยางเดินทางกลับมาถึงพระราชวังในยามบ่ายคล้อย เฉินหรงทำหน้าที่นำอาชาคู่ใจไปพักที่โรงม้าหลวง ส่วนตนเองนั้นเดินทางมาเข้าเฝ้าพระราชมารดาที่ตำหนักพระราชฐานฝ่ายใน ซึ่งมีตำหนักคุนหนิงเป็นตำหนักที่ใหญ่ที่สุดในเขตวังหลัง
หลิวฮองเฮากำลังปักอาภรณ์ลายประณีตงดงาม พระนางทรงตั้งใจจะพระราชทานอาภรณ์นี้ให้เป็นของขวัญหากหานไท่หยางได้อภิเษกจางอวิ๋นซีมาเป็นพระชายาเอก
“เสด็จแม่...” หานไท่หยางกล่าวเรียกพระมารดาด้วยความดีใจ นานนับเกือบปีแล้วที่เขาไม่ได้พบพระมารดา มีเพียงแค่ผ้าเช็ดหน้าที่พระมารดาเย็บปักให้เท่านั้นที่เป็นสิ่งของแสดงแทนความคิดถึงและความห่วงใย ชายหนุ่มสวมกอดผู้เป็นมารดาแน่น ราวกับต้องการซึมซับไออุ่นจากอ้อมกอดพระมารดาที่เขาโหยหามานาน
เขาจากบ้านเมือง จากพระมารดาไปนานนับปี ความคิดถึงที่เฝ้าสั่งสมมาจึงถูกระบายพร้อมกับอ้อมกอดอันอบอุ่นนี้
หลิวฮองเฮาคลายอ้อมกอดเบาๆ พระนางทรงมองพระโอรสองค์เดียวด้วยสายตาแห่งความคิดถึงห่วงหา
“อยู่ที่ซ่างจิ่ง เจ้าสบายดีหรือไม่”
น้ำเสียงของผู้เป็นมารดาสั่นเครือยามได้สัมผัสบุตรชายอีกครั้ง ฝ่ามืออันสั่นเทาของพระนางลูบพระพักตร์ผู้เป็นโอรสอย่างรักใคร่ถนอม
“กระหม่อมสบายดีพะยะค่ะ แล้วเสด็จย่ากับเสด็จแม่เล่าพะยะค่ะ ทรงเป็นอย่างไรบ้าง” หานไท่หยางถามถึงไทเฮาผู้เป็นพระอัยยิกาแท้ๆ ของตน
หลิวฮองเฮาคลี่ยิ้ม “เสด็จย่าของเจ้าทรงสบายดี แล้วเจ้าเล่าได้เจอกับจางอวิ๋นซีแล้วหรือไม่”
หานไท่หยางยิ้มอ่อนๆ ตอบ หลิวฮองเฮาทรงรู้ดีว่าบุตรชายของพระนางนั้นยากแท้ที่จะแสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา ภายใต้ใบหน้าที่เย็นชานี้ กลับมีสิ่งปกปิดที่ไม่อาจให้ผู้ใดล่วงรู้มากมาย แม้กระทั่งมารดาอย่างพระนางก็ไม่อาจเข้าถึงความคิดภายในใจของบุตรชายได้
“เอาล่ะ แม่จะไม่ถามเจ้า แต่เจ้านั้นทราบหรือยังจุดประสงค์การจัดงานล่องเรือชมบงกชครั้งนี้” หลิวฮองเฮาทรงถามหยั่งเชิง
อันที่จริงการจัดงานล่องเรือชมบงกชยามค่ำคืนนี้ เป็นแค่ส่วนหนึ่งของแผนการคัดเลือกพระชายาให้องค์ชายแต่ละองค์ของไทเฮาเท่านั้น พระนางทรงเลือกจัดงานนี้ตรงกับวันพระราชสมภพพอดี เพื่อประกาศข่าวดีนี้ให้กับเหล่าขุนนางและประชาชนได้ทราบโดยทั่วกัน อีกทั้งสกุลจางกับฮองเฮานั้นก็มีความสัมพันธ์อันดีฉันญาติมิตรกันมาเนิ่นนาน น้องสาวของพระนางเองก็แต่งงานเป็นฮูหยินเอกของจางเยี่ยน การที่บุตรของทั้งสองจะสมรสกันนั้นย่อมเป็นเรื่องที่สมควร
ฮองเฮากับจางฮูหยินนั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องที่สนิทสนมกันพอสมควร เมื่อต่างฝ่ายต่างออกเรือนไป พระนางจึงทรงหมายมั่นพระทัยอยากให้ธิดาของจางฮูหยินเป็นพระชายาเอกของบุตรชาย และหากภายภาคหน้าบุตรชายได้รับการสถาปนาเป็นรัชทายาท หลานสาวผู้นี้ก็จะมีศักดิ์เป็นฮองเฮา!
“เสด็จย่าคงหมายพระทัยคัดเลือกคู่ครองให้ลูกกับบรรดาพี่น้องทุกคน” หานไท่หยางตอบ
หลิวฮองเฮาเลียบๆ เคียงๆ ถาม “แล้วเจ้าคิดว่าจางอวิ๋นซีนั้นเป็นอย่างไร”
คำถามของพระมารดาพาลให้หานไท่หยางหวนคิดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นในตลาดของพ่อค้าต่างชาติ ภาพที่จางอวิ๋นซีกำลังยืนโต้ตอบกับพ่อค้าชาวเปอร์เซียกลุ่มนั้น ทำให้หานไท่หยางรู้สึกแปลกใจยิ่งนัก จางอวิ๋นซีปกติเป็นสตรีที่สงบปากสงบคำ พูดน้อยกิริยาวาจาสำรวม อีกทั้งใบหน้าที่ดูเศร้าหม่นตลอดเวลา แต่เพลานี้นางที่เขาเจอเป็นสตรีที่มีทุกอย่างตรงกันข้ามสิ้นเชิง
นางทั้งปากไว โต้เถียงกับพ่อค้าเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว!
ความเป็นกุลสตรีหาได้มีในตัวนางสักนิด!
พฤติกรรมที่นางแสดงออกมานั้นไม่เหมือนสตรีสูงศักดิ์ที่ได้รับการอบรมเลยสักนิดเดียว หากเขาได้นางมาเป็นชายาคงมีเรื่องปวดหัวให้ไม่เว้นแต่ละวันเป็นแน่
หานไท่หยางเลี่ยงที่จะตอบมารดา
“ลูกขอตัวไปเข้าเฝ้าเสด็จย่าก่อนพะยะค่ะ”
ชายหนุ่มไม่ต้องการจะอยู่สนทนาต่อ เนื่องด้วยตนเองกลัวว่าจะหลุดวาจากล่าวร้ายต่อสตรีที่พระมารดาทรงโปรดปราน เขาไปทำศึกรบที่ตำบลซ่างจิ่งทางแดนเหนือมาเกือบหนึ่งปี แต่ไม่คาดคิดนักว่าภายในเวลาหนึ่งปีนี้จางอวิ๋นซีจะเปลี่ยนไปมากเช่นนี้ นางเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคนที่เขาไม่คุ้นเคย
หลิวฮองเฮาทรงถอนพระทัยเฮือกใหญ่ นานมากแล้วแต่หานไท่หยางก็ยังคงเมินเฉยต่อบิดาของตนเอง หวังกูกูจึงประคองร่างของพระนางลงบนเก้าอี้ลายหินอ่อนหน้าพระตำหนัก นางเป็นกูกูที่คอยถวายการรับใช้มานาน จึงย่อมเข้าใจ
ทุกความคิดของหลิวฮองเฮาดี
“หากองค์ชายทรงเมินเฉยต่อฝ่าบาทเช่นนี้ จะเป็นการดีหรือเพคะฮองเฮา หากอ๋องใหญ่โอรสหยางเต๋อเฟยได้รับการสถาปนาเป็นรัชทายาท แล้วท่านอ๋องไท่หยางเล่าเพคะ” สิ่งที่หวังกูกูกล่าวมาทั้งหมด หลิวฮองเฮาเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายกล่าวด้วยความเป็นห่วง หวังกูกูรับใช้ฮองเฮามานานนับตั้งแต่หลิวฮองเฮายังเป็นธิดาเจ้ากรมกลาโหมหลิวฉาง จนกระทั่งได้รับการคัดเลือกเป็นพระชายาเอกขององค์รัชทายาทและฮองเฮาตามลำดับ
ระหว่างทางที่หานไท่หยางกำลังเดินทางไปเข้าเฝ้าหานไทเฮาผู้เป็นเสด็จย่านั้น อ๋องหนุ่มก็ต้องเจอกับบุคคลที่เขาไม่อยากเจอมากที่สุดในเพลานี้ถึงสองคน คืออ๋องใหญ่และฮ่องเต้ซึ่งเป็นบิดาผู้ให้กำเนิด ท่าทีสนิทสนมของทั้งสองพ่อลูกนั้น หานไท่หยางรู้สึกเจ็บแปลบในอกเป็นอย่างยิ่ง
หานอี้หรืออ๋องใหญ่เป็นโอรสพระองค์ใหญ่ของฮ่องเต้ที่ประสูติจากหยางเต๋อเฟย กำลังเดินประคองหานฮ่องเต้ผู้เป็นพระบิดากลับจากตำหนักของหานไทเฮา หานไท่หยางคาดเดาได้ไม่ยากว่าทั้งสองคงมาถวายพระพรล่วงหน้าก่อนเพลาจัดงานล่องเรือชมบงกช
“นั้นอาหยางพะยะค่ะเสด็จพ่อ” หานอี้เห็นไท่หยางคนแรกจึงกล่าวกับบิดาของตนเอง เขาส่งรอยยิ้มทักทายผู้เป็นน้องชายอย่างมีไมตรี แต่กลับได้รับสีหน้าเรียบเฉยราวกับคนหยิ่งยโสจากหานไท่หยางมาแทน
“ถวายพระพรฝ่าบาท ทรงพระเกษมสำราญดีหรือไม่” หานไท่หยางคำนับอีกฝ่ายตามธรรมเนียม เขาไม่สนิทใจนักที่จะเรียกอีกฝ่ายว่าเสด็จพ่อได้เต็มปากเหมือนกับหานอี้
ฮ่องเต้หานทรงตอบรับเล็กน้อย “ข้าสบายดี แล้ว...”
“กระหม่อมขอตัวก่อนพะยะค่ะ” หานไท่หยางไม่อยากเสียเวลาอยู่สนทนาต่อ อ๋องหนุ่มเดินไปยังตำหนักของหานไทเฮา หากเขาได้อยู่ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกับบิดาเกรงว่าเขาอาจจะอยากอาเจียนออกมาก็ได้
เรื่องราวแต่หนหลัง ความขัดแย้งระหว่างบิดากับบุตรจะมีผู้ใดเข้าใจ
ดีกว่าหานไท่หยางและฮ่องเต้หานผู้เป็นบิดา
“น้องรอง เหตุใดเจ้าจึงใจร้ายกับเสด็จพ่อนัก เสด็จพ่อทรงรอเจ้ากลับมา แต่เจ้ากลับทำแบบนี้เช่นนั้นรึ?!” เป็นอ๋องอี้ที่ไม่พอใจกับท่าทีปฏิบัติต่อบิดาของหานไท่หยาง
หานไท่หยางหยุดเดิน เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะหันไปตอบหานอี้ผู้เป็นพี่ชายต่างมารดา โดยมิได้หันมามองแววตาของผู้เป็นบิดาที่มีแต่ความเสียใจ
“เจ้าควรดีใจมากกว่า ที่ได้เป็นลูกชายคนโปรดของเขา” หานไท่หยางกล่าวด้วยน้ำเสียงประชดประชัน แต่เป็นน้ำเสียงประชดประชันที่เต็มไปด้วยความน้อยอกน้อยใจบิดายิ่งนัก
ใครจะรู้ว่าเขานั้นถูกบิดาทอดทิ้งตั้งแต่ยังเด็ก ทอดทิ้งให้อยู่ห่างจากอกมารดานานนับสิบปี ครั้นเมื่อได้กลับมาเมืองหลวงก็ยังหาเหตุไล่เขาออกไปอยู่แดนไกลเกือบหนึ่งปีเต็ม หากเขามิใช้ความรู้ความสามารถที่มีเอาตัวรอดมาได้ เกรงว่าทั้งกองทัพทั้งหมดก็คงต้องพ่ายแพ้ต่อศัตรูและไม่อาจกลับมาแผ่นดินบ้านเกิด ไม่อาจกลับมาพบเสด็จย่าและเสด็จแม่ของเขาได้อีก
เสด็จพ่อของเขารักมั่นต่อหยางเต๋อเฟยพระมารดาของอ๋องใหญ่มากนัก ความรักทั้งหมดถูกทุ่มเทที่หานอี้มากกว่าบุตรธิดาองค์อื่น หากเขาไม่โชคดีเกิดเป็นว่าที่โอรสสวรรค์ เขาคงถูกกำจัดตั้งแต่ยังเยาว์วัยก็ได้
ภายในแววตาของฮ่องเต้หานเพลานี้ ปรากฏแต่ความผิดหวังระคนเสียใจ เขาอยากอธิบายและขอโทษต่อบุตรชายสำหรับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น หากยังสามารถแก้ไขและบุตรชายยอมรับฟังเขาสักนิด
“เสด็จพ่อ” หานอี้ประคองผู้เป็นบิดาที่เกือบทรุดลงกับพื้นหญ้า
“ไม่ต้อง” ฮ่องเต้ยกพระหัตถ์ปรามหานอี้ ทรงประคองพระองค์เองให้ก้าวเดินกลับพระตำหนักใหญ่ ภายในใจมีเป็นล้านคำมากมายที่อยากอธิบายต่อหานไท่หยาง แต่สำหรับหานไท่หยางแล้ว เขามีทิฐิในใจสูงเป็นอย่างยิ่ง ความหยิ่งทะนงในตนเองทำให้อีกฝ่ายยากที่จะเปิดใจรับฟังผู้ใด ความขัดแย้งนี้จึงสั่งสมมาเนิ่นนานจนยากจะหาทางแก้
“น้องรองเพิ่งกลับมาจากศึกที่ชายแดน ขอเสด็จพ่อทรงให้เวลาเขาสัก
หน่อยเถิดพะยะค่ะ” หานอี้พยายามปลอบใจผู้เป็นบิดาให้คลายความเศร้าระหว่างทางพากลับตำหนักใหญ่
“ข้าเกรงว่า หากอาหยางแต่งพระชายา ชีวิตจะไม่ยืนยาวนัก
หากยังถือทิฐิในใจตนเช่นนี้” เมื่อได้ยินฮ่องเต้ผู้เป็นบิดากล่าวเช่นนี้ ในใจของหานอี้ยิ่งรู้สึกผิดต่อตนเองและหานไท่หยางนัก
“ข้าเชื่อว่าอาหยางมีเหตุผลมากพอ สักวันเขาจะต้องเข้าใจเสด็จพ่อพะยะค่ะ” หานอี้ตอบ สายตาของอ๋องใหญ่ผู้เป็นโอรสองค์โตนั้นหันกลับไปมองทิศทางที่หานไท่หยางเดินไป
เมื่อใดกันหนอที่ความขัดแย้งภายในครอบครัวนี้จะสิ้นสุดเสียที
“ลูกงดงามหรือยังเจ้าคะท่านแม่...” จางเซียวหรูหมุนตัวให้มารดาชื่นชม หลังจากที่นางได้ซื้อเสื้อตัวใหม่จากร้านตัดเสื้อที่ใหญ่ที่สุดในเมือง
“งดงามมาก ลูกแม่จะต้องงดงามกว่าใคร ให้เป็นที่โปรดปรานของท่านอ๋องทุกองค์” หลี่ฮูหยินลูบศีรษะบุตรสาวอย่างอ่อนโยน นางหมายมั่นจะให้บุตรสาวงดงามที่สุดในงานวันพระราชสมภพของไทเฮา ที่มีการจัดดอกบัวเรืองแสงงดงามในสระหลวงของวัง เป็นงานชมบงกชยามค่ำคืนที่เป็นประเพณีประจำปีของแคว้นหาน ในทุกๆ วันพระราชสมภพของหานไทเฮา
“แต่ว่าก็ไม่อาจงดงามสู้ชุดพระราชทานของไทเฮาที่มอบให้จางอวิ๋นซีได้” จางเซียวหรูกระแทกตนนั่งบนตั่งด้วยความริษยา ชุดที่จางอวิ๋นซีสวมใส่ในวันนี้ เป็นถึงชุดพระราชทานจากไทเฮาถูกตัดเย็บโดยช่วงหลวงฝีมือประณีตของวังหลวง ทุกอณูเนื้อผ้านั้นล้วนทำจากผ้าไหมอย่างดีของพ่อค้าชาวอินเดียผู้เลื่องชื่อ
“เมื่อกลางวันแม่ได้ยินมาล่ะ ว่านางน่ะก่อวีรกรรมโต้เถียงกับพวกฝรั่งแขนลายที่ตลาดต่างชาติ ต่อให้นางจะใส่ชุดงดงามของไทเฮา แต่ถ้าหากเทียบกับกิริยาอันงดงามแล้ว นางเทียบลูกแม่ไม่ได้เลยสักนิด” หลี่ฮูหยินกล่าวชื่นชมบุตรสาวด้วยความภาคภูมิใจ
“นั่นสิเจ้าคะ...” จางเซียวหรูกระหยิ่มยิ้มอย่างภาคภูมิใจ นางมั่นใจนักว่านางจะต้องงดงามสะดุดตาท่านอ๋องใหญ่หานอี้อย่างแน่นอน
หานอี้เป็นโอรสที่เกิดจากสนมเอกก็จริงอยู่ แต่ทว่าได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้มากนัก มากกว่าหานไท่หยางผู้เป็นโอรสที่ถือกำเนิดจากฮองเฮาเสียอีก หากนางสามารถชนะใจหานอี้และอีกฝ่ายได้รับตำแหน่งรัชทายาท นางก็จะกลายเป็นพระชายาเอกองค์รัชทายาท และหากหานอี้ได้เป็นฮ่องเต้ นางก็จะกลายเป็นฮองเฮาแคว้นหาน!
เมื่อเข้ามาถึงในวัง ระหว่างรอฮ่องเต้ ฮองเฮาและไทเฮาเสด็จ มีฮูหยินตระกูลใหญ่มากมายต่างเข้ามาผูกมิตรกับจางอวิ๋นซีมิได้ขาด แต่ละนางนั้นเป็นภรรยาของขุนนางที่มีตำแหน่งใหญ่โตอย่างมาก พวกนางล้วนเข้ามาผูกมิตรกับจางอวิ๋นซีและซิ่วอิ่งเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนเท่านั้นหญิงสาวเจอมารดาเดินเข้ามาพร้อมกับไท่ฮูหยิน จึงวิ่งเข้าโผกอดด้วยความดีใจ“ท่านแม่ ท่านย่า ข้าคิดถึงพวกท่านจังเลยเจ้าค่ะ” หญิงสาวพูดพลางกอดออดอ้อนไท่ฮูหยินเอาอกเอาใจ“เด็กดีของย่า ไม่เจอเจ้าเสียหนึ่งเดือน สบายดีหรือไม่” ไท่ฮูหยินลูบหัวหลานสาวอย่างเอ็นดู จางฮูหยินที่ประคองมารดาของสามีอดยิ้มเอ็นดูบุตรสาวของตนเองไม่ได้“สบายดีเจ้าค่ะ แล้วท่านแม่ทานยาตามที่ข้าให้หรูหรงจัดเอาไปให้หรือไม่เจ้าคะ” นางหันมาถามจางฮูหยินด้วยความเป็นห่วงจางฮูหยินยิ้มอ่อนโยนตอบบุตรสาว “แม่ทานยาตามที่เจ้าแจ้งหรูหรงเอาไว้แล้ว อาการของแม่ตอนนี้ดีขึ้นมากเพราะเจ้าซีเอ๋อร์”จังหวะที่ทั้งสามกำลังสนทนากันอยู่นั้น หานไท่หยางที่เดินเข้ามาสมทบเข้ามาคำนับไท่
จางอวิ๋นซีเดินกลับมาถึงตำหนัก ก็พบว่าหานไท่หยางมานั่งรอนางอยู่นานแล้ว หญิงสาวรวบรวมความกล้าเดินเข้าไป นางไม่กล้าสบตาเขาที่นั่งบนเก้าอี้ไม้มองนางอย่างคาดโทษ เดิมทีหน้าที่การปรนนิบัติสามีย่อมเป็นหน้าที่ของภรรยาอย่างนาง แต่วันนี้นางมิได้ทำหน้าที่ได้เต็มที่ เกรงว่าเขาคงไม่พอใจนักนางขึ้นไปนอนบนเตียงอีกฝั่งอย่างรู้งาน ก่อนจะหยิบผ้าห่มคลุมกายนอนหลับไป หานไท่หยางมองนางอย่างไม่สบอารมณ์ เขารู้ว่านางออกไปหาซิ่วอิ่งมา และรู้ด้วยว่าซิ่วอิ่งนั้นบาดเจ็บและสนทนากับชายาของเขาอยู่นานสองนาน แต่มิได้สืบสาวความอันใดกับบทสนทนาของพวกนางนอกจากเขาจะมีเฉินหรงเป็นหูตาแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ไว้ใจใครง่ายๆ วิชาตัวเบาที่เขาฝึกฝนมานานหลายปีนับตั้งแต่อยู่ทางแดนเหนือบัดนี้ได้เอามาใช้อย่างจริงจัง ก็เพื่อลอบจับตาดูซิ่วอิ่งและองครักษ์เงาทั้งสิบของเมิ่งฉีทุกอย่างเป็นดั่งที่เขาเคยคาดการณ์ไว้เช่นเดียวกับจางอวิ๋นซี องครักษ์เงาพวกนี้เป็นคนของเมิ่งฉีทั้งหมด และมิใช่องครักษ์เงาทั่วไปแต่ฝีมือของพวกมันนั้นเทียบเท่าระดับมือสังหารได้เลยทีเดียว ฉะนั้นเขากับเฉินหรงต้องระมัดระวังมากนัก แม้กระทั่งหนิงเ
“มีเพียงพระชายาจางเท่านั้นที่จะช่วยได้..!”องครักษ์หนุ่มกล่าว ซือเหลียนนางกำนัลขององค์หญิงซิ่วอิ่งหน้าถอดสี เมื่อนึกพระพักตร์ของพระชายาเอกจางอวิ๋นซีที่เคยตบหน้านางเมื่อคราวก่อนด้วยความหวาดกลัว องค์หญิงของนางร้ายกับจางอวิ๋นซีถึงขนาดนั้น นางจะยอมมาช่วยหรือ“มะ ไม่เอา” ซิ่วอิ่งพยายามเอ่ยปากกล่าว แค่ได้ยินชื่อคนที่นางไม่ชอบอย่างจางอวิ๋นซี นางก็พาลโมโหยิ่งนัก การที่นางเจ็บป่วยอาเจียนแบบนี้ จางอวิ๋นซีต้องกลั่นแกล้งนางแน่ๆ นางจะไม่ยอมเด็ดขาด“ข้าเกลียดนาง!” นางรวบรวมแรงโพล่งขึ้นมาเสียงดัง นางเกลียดจางอวิ๋นซี!“พอได้แล้ว! ตอนนี้ไม่มีใครจะช่วยเจ้าได้นอกจากพระชายาจางเท่านั้น” เฉินหรงเขย่าไหล่ของสตรีที่นอนอ่อนแรงบนเตียงนอน“ขะ ข้าจะไปหาพระชายาเอง” ซือเหลียนกล่าว นางรีบเดินออกไปทันที ตอนนี้ต่อให้นางต้องหมอบกราบอีกฝ่ายนางก็ยอมทำ เพื่อรักษาเจ้านายนางให้ได้ซือเหลียนกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาที่ตำหนักของจางอวิ๋นซีอย่างเหนื่อยหอบนางยืนก้มหอบหายใจเมื่อมา
เฉินหรงอุ้มองค์หญิงซิ่วอิ่งมาที่บ้านพักของตนเอง เป็นบ้านไม้สีน้ำตาลไม่ใหญ่และไม่เล็กมาก ซึ่งเป็นของพระราชทานจากหานไท่หยางเมื่อคราวกลับมาร่วมงานพระราชสมภพของไทเฮา หานไท่หยางรู้ว่าเขารักสันโดษ ชอบความเงียบสงบยิ่งนัก จึงพระราชทานเรือนหลังหนึ่งให้แก่เขาร้อยวันพันปีเขาพักอาศัยอยู่ในวังอ๋อง น้อยครั้งที่จะกลับมาเรือนพักพระราชทานแห่งนี้ แต่วันนี้นึกไม่ถึงยิ่งนักว่าจะพาสตรีที่เคยเป็นคนรักของตนเองกลับมา“เจ้าพาข้ามาที่นี่ทำไม” นางถามหลังจากที่เขาวางร่างของนางบนเตียงนอน นางมองสำรวจรอบๆ เรือนหลังเล็กๆ นี้ แม้จะไม่เล็กไม่ใหญ่มาก แต่เงียบสงบอย่างยิ่งองครักษ์หนุ่มไม่ตอบ เขาเดินไปหยิบเทียบยาสำหรับรักษาบาดแผลมา เตรียมทำแผลที่ถูกกระบี่ฟันให้กับนาง“เจ้าจะทำอะไรข้า” นางร้องถามด้วยความตกใจ เฉินหรงถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย เขาฉีกกระชากเสื้อผ้าของนางตรงส่วนที่ถูกฟันออก เผยให้เห็นหัวไหล่ขาวเนียนชวนกลืนน้ำลายยิ่ง องครักษ์หนุ่มพยายามควบคุมตนเองไม่ให้รู้สึกใดๆ กับนางอีก แต่สุดท้ายเขาก็ไม่อาจทำได้เมื่อเห็นนางตกอยู่ในอันตราย“
จางอวิ๋นซีนำชามอาหารของสุนัขจิ้งจอกที่ตนเองเลี้ยงเอาไว้ มาจัดเป็นภาชนะใส่สำรับอาหารขององค์หญิงซิ่วอิ่ง! นางแสร้งปรุงอาหารในสำรับขององค์หญิงทั้งหมดเป็นรสเค็มและรสเผ็ด ในเมื่ออยู่ดีไม่ว่าดี ชอบหาเรื่องนางนัก นางก็จะสั่งสอนให้รู้เองว่าใครเป็นใหญ่!หากหานไท่หยางอยากมีชายารองนางก็ไม่ขัด แต่ในเมื่อวังนี้นางคือนายหญิงใหญ่ นางต้องสั่งสอนให้แขกผู้มาเยือนซึ่งกำลังจะกลายเป็นภรรยาอีกคนของสามีหลาบจำเสียบ้างมาเล่นกับใครไม่เล่น...มาเล่นกับแพทย์จากโลกอนาคตแบบข้า เจอกันหน่อยเถิดยัยองค์หญิง!“พระชายา ทรงทำสิ่งใดเพคะ!” หัวหน้าแม่ครัวเอามืออุบปากด้วยความตกใจ เมื่อเห็นจางอวิ๋นซีนำชามอาหารสุนัขมาใส่ข้าวสวยขององค์หญิงซิ่วอิ่งจนเกือบพูนจาน และยังปรุงให้รสชาตผิดแผกไปจากเดิมอีกชู่ว์หญิงสาวเอานิ้วมือแตะที่ริมฝีปากของตนเองเบาๆ เป็นเชิงให้หัวหน้าแม่ครัวและบรรดาลูกน้องเงียบเอาไว้ “ห้ามบอกใครเด็ดขาดนะ ไม่งั้นข้าจะโกรธมากๆ ด้วย”“เพคะ” หัวหน้าแม่ครัวยิ้มรับ นางคาดเดาว่าพระชายาคงหาทางสั่งสอนองค์หญิงซิ่วอิ่ง ที่ช
หลิวฮองเฮาคิดไม่ตกว่าควรวางแผนเช่นไรถึงจะล้มงานแต่งของหานอี้กับจางเซียวหรูลงได้ เนื่องด้วยจางเยี่ยนผู้เป็นบิดาของจางเซียวหรู มีจิตใจฝักใฝ่มาทางหานอี้อย่างเห็นได้ชัด หากหานอี้ได้รับการสนับสนุนจากเจ้ากรมการปกครองและอัครมหาเสนาบดีอย่างเขา ย่อมเป็นที่แน่นอนว่าตำแหน่งรัชทายาทอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม แต่กับหานไท่หยางที่มีเพียงไม่กี่คนที่สนับสนุน จะนำสิ่งใดไปต่อกรกับหานอี้กันจางกูกูรินน้ำชาถวายอย่างรู้พระทัย “พระนาง ทรงเสวยชาก่อนเถิดเพคะ”หลิวฮองเฮายกจอกชาขึ้นดื่มดับกระหาย พลางใช้ความคิดหาแผนการอย่างถี่ถ้วน“อีกไม่กี่วันก็เป็นฤกษ์อภิเษกที่ไทเฮาทรงให้ท่านราชครูหาเอาไว้ พระนางจะทรงปล่อยให้เป็นเช่นนี้จริงหรือเพคะ” หวังกูกูถาม นางกับจางกูกูถวายการรับใช้หลิวฮองเฮามานาน ตั้งแต่พระนางเป็นพระชายารัชทายาท ก่อนขึ้นสู่ตำแหน่งฮองเฮามานานหลายสิบปี มีสิ่งใดบ้างที่พวกนางไม่รู้ว่าองค์ฮองเฮาทรงกังวลพระทัย“หากพระนางทรงกังวลพระทัยเช่นนั้น เหตุใดไม่ยอมรับการแต่งงานให้องค์หญิงซิ่วอิ่งเป็นพระชายาเอกของท่านอ๋องเล่าเพคะ” หวังกูกูเสนอแนะ