LOGINก๊อก ๆ ๆ
ชื่อของ นที เลิศธารินทร์ ไม่ได้เป็นเพียงแค่ชื่อ หากแต่เปรียบเสมือนกับตราประทับแห่งความสำเร็จในวงการกฎหมาย ไม่มีใครที่ไม่รู้จักชื่อของเขาในวงการนี้ หนึ่งในทนายฝีมือดีที่สุด คดีไหนที่ว่ายาก คดีไหนที่ว่าดัง คดีที่ใหญ่ที่เขารับมาถ้าไม่ได้ตั้งใจทำให้แพ้... ก็ไม่มีคดีไหนที่เขาไม่เคยชนะ เพราะในศาล ชัยชนะไม่ใช่คำตอบทุกครั้งไป แต่เป็นแค่ ‘หมากตัวหนึ่ง’ บนกระดานที่เขาเลือกเดินเท่านั้น “เข้ามาครับ...” เสียงทุ้มเรียบเปล่งออกไปโดยไม่เงยหน้าจากกองเอกสารตรงหน้า ปลายนิ้วเรียวดันกรอบแว่นขึ้นอย่างเคยชิน สีหน้าไร้อารมณ์ใดเป็นพิเศษ แผ่นหลังยังคงตั้งตรงราวกับไม่รู้จักคำว่าล้า แสงจากโคมไฟเหนือโต๊ะทำงานส่องกระทบเนื้อผ้าสูทเรียบเนียนไร้รอยยับ ชุดที่ตัดได้อย่างพอดีตัวจนยากจะเชื่อว่าเป็นแค่ ‘สูททำงาน’ ปากกาด้ามสีเงินเงาวับเคียงข้างร่างสัญญา สิ่งที่สำหรับเขาเป็นเพียงแค่เครื่องมือ แต่สำหรับคนบางคนอาจหมายถึงราคาเงินเดือนทั้งหมดในชีวิตพวกเขา แม้ท่าทางจะดูสุภาพและไม่เร่งรีบ แต่ในทุกการเคลื่อนไหวของเขากลับแฝงไปด้วยแรงกดดันบางอย่าง ราวกับมีเส้นกั้นที่มองไม่เห็น เส้นที่ใครก็ไม่อาจก้าวได้ง่าย ๆ เหมือนคลื่นใต้น้ำที่ผิวเผินดูนิ่งสงบ แต่ลึกลงไปใครจะรู้... ว่ากระแสน้ำนั้นเชี่ยวกรากเพียงใด เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น ดวงตาคู่คมสบตากับหญิงสาวอีกฟากของโต๊ะอย่างเฉียบขาด รอยยิ้มบางเบาแตะมุมปากเหมือนจะอบอุ่น ความแตกต่างจากสีหน้าเรียบขรึมเมื่อครู่นี้ทำให้หัวใจคนมองเต้นผิดจังหวะอย่างช่วยไม่ได้ ไม่มีใครแน่ใจว่าสำหรับชายที่ชื่อ ‘นที’ เขาคือทิวาอุ่นในฤดูหนาว หรือเพียงแค่เย็นชาดั่งธารน้ำแข็งกันแน่ และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมใครก็ตามที่ได้พบเขาถึงได้อยากค้นหาคำตอบด้วยตัวเองกันนัก “พี่... เอ่อ... พี่นที อ้ายเองค่ะ” อ้ายใจ หลุดจากภวังค์ ดวงตาคู่กลมกะพริบปริบ ๆ พลันหลุบมองพื้นอย่างรวดเร็ว รอยยิ้มเคอะเขินระบายประดับใบหน้ารับอีกฝ่าย ก่อนที่สาวเจ้าเดินเข้าไปใกล้โต๊ะทำงานมากขึ้น ในมือของเจ้าหล่อนนั้นมีปิ่นโตใบน้อยถือติดมาด้วย “คุณป้าขอให้อ้ายช่วยเอาข้าวเย็นมาให้พี่นทีค่ะ” หล่อนว่าพลางชูภาชนะใส่อาหารให้เห็น ฝ่ามือของเธอเย็นเฉียบและสั่นเล็กน้อยด้วยความประหม่าปนเขินอาย ซึ่งไม่รอดพ้นสายตาเฉียบของนที แต่เขาเลือกที่จะไม่ใส่ใจ “ขอบคุณมากนะครับ แต่น้องอ้ายไม่จำเป็นต้องทำอะไรมาให้ตามที่คุณแม่พี่ขอก็ได้นะ อีกเดี๋ยวพี่ก็จะกลับบ้านแล้ว ลำบากเราเปล่า ๆ” รอยยิ้ม และคำพูดที่ฟังเหมือนเกรงใจนั่นทำให้หัวใจของอ้ายใจเต้นผิดจังหวะ หล่อนยิ้มเก้อ ตีความคำพูดของนทีว่าคือเป็นความห่วงใย หล่อนชอบเขามากจนละเลยน้ำเสียงที่แสนจะธรรมดาและความนิ่งลึกของชายหนุ่มไปอย่างสิ้นเชิง หญิงสาวตกอยู่ในวังวน แถมเจ้าหล่อนยังอยู่ในจุดที่ใกล้เกินเอื้อมยิ่งกว่าใคร เพราะเป็นคนที่ผู้ใหญ่หมายตาอยากให้เป็นคู่กันในอนาคต แม้จะไม่มีตำแหน่งหมั้นหมายอย่างเป็นทางการ ไม่มีสถานะ หรือชื่อเรียก แต่การที่มารดาของอีกฝ่ายมักจะขอร้องให้ช่วยส่งข้าวส่งน้ำมาเสมอ ในช่วงที่นทีต้องอยู่ทำงานจนดึก หรือแม้แต่เวลามีเรื่องสำคัญอย่างอื่น อ้ายใจจึงมักจะคิดว่าตนเป็น ‘คนสำคัญ’ ของนทีเพียงแค่หนึ่งเดียวมาตลอด “ไม่ลำบากหรอกค่ะ! อ้ายเต็มใจ” หล่อนคลี่ยิ้มกว้างกว่าเก่า ดวงตาเป็นประกายระยับ ใจละลายไปหมดเพราะคิดว่าอีกฝ่ายเป็นห่วง อ้ายใจยิ้มแก้มปริ ดวงหน้าของหล่อนพลันเห่อร้อน ต้องแก้เขินด้วยการเดินเอาปิ่นโตไปวางเอาไว้ให้บนโต๊ะกลางตัวเรียบ ก่อนที่เสียงถอดเถาปิ่นโตจะดังขึ้น นทีจับจ้องไปยังการกระทำของหล่อน แววตาของเขาไม่มีประกายของความรู้สึกใดเป็นพิเศษ เขาปล่อยให้อ้ายใจได้ทำตามใจตัวเองไปจนเสร็จ ไม่ได้คิดจะหักหน้าหล่อนหรือพูดให้อีกฝ่ายอาย จนกระทั่งหญิงสาวได้แยกชั้นปิ่นโตวางครบหมดแล้ว “แล้วนี่น้องอ้ายจะกลับเลยไหมครับ” เสียงทุ้มเอ่ยถาม น้ำเสียงนุ่มนวลแต่แฝงด้วยความกดดันบางอย่างที่ได้พูดออกมาตรง ๆ ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน ขยับเสื้อสูทให้เรียบร้อย เพียงไม่กี่ก้าวเขาก็เดินเข้าไปหยุดอยู่ข้างโต๊ะกลางที่มีภาชนะใส่อาหารหน้าตาน่ากินวางรออยู่ รอยยิ้มแตะมุมปากราวกับรู้ทันเพียงแค่มอง “หน้าตาน่ากินจัง...” ชายหนุ่มเปรยออกมาเบา ๆ แนบเนียนจงใจ เขาหันไปมองหญิงสาวผ่านเลนส์แว่นที่ยังสวมอยู่ ซึ่งมันทำให้ภาพลักษณ์ของเขายิ่งดูหล่อและฉลาดจนคนมองระยะใกล้ยิ่งใจเต้นแรง “น้องอ้ายทำเองหมดนี่เลยเหรอครับ” “ชะ... ใช่ค่ะ อ้ายทำเองหมดนี่เลยค่ะ” อ้ายใจตอบกลับอย่างกระตือรือร้น น้ำเสียงติดขัดเล็กน้อย สายตาหลุบต่ำไม่กล้าสบตาตรง ๆ กายแทบจะม้วนบิดอย่างคนเขินจัด ถ้อยคำของหล่อนใสและฟังดูซื่อนัก หากใครไม่รู้ก็ต้องคิดว่าหล่อนพูดความจริงเป็นแน่ แต่ไม่ใช่กับนที... เขารู้อยู่เต็มอกว่าหล่อนโกหก แต่ตอนนี้ไม่มีเรื่องอะไรที่จะไปทำให้อ้ายใจเสียหน้า เขาเพียงแค่มองหน้าหล่อนนิ่ง ๆ แม้อีกฝ่ายจะชิงหน้าแดงจัดราวกับผลตำลึงสุกไปแล้ว และนั่นทำให้นทีพอใจกับผลลัพธ์เป็นอย่างมาก “ถ้างั้น... ถ้างั้นอ้ายกลับก่อนดีกว่าค่ะ” อ้ายใจลิ้นแทบพันกันเมื่อพูด หล่อนก้มหน้าไม่ยอมสบตากับนทีอยู่ มือบางยกขึ้นโบกลาคนตรงหน้าผล็อย ๆ แล้วรีบหันหลังเดินออกไปจากห้องทำงานส่วนตัวของนทีทันที ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมาก แต่นทีก็ไม่มีทีท่าว่าจะเคลื่อนไหวตาม เขามองจนกระทั่งอีกฝ่ายลับสายตาไปแล้ว ดวงตาคู่คมจึงตวัดหันไปมองกับข้าวที่วางเรียงกันอยู่ แววตาของเขาไร้อารมณ์ เขาแค่นเสียงหัวเราะในลำคอ มือพลางล้วงกระเป๋า ก่อนที่เขาจะเดินกลับไปนั่งบนเก้าอี้สำนักงานตัวเดิม โดยที่ไม่แตะอาหารมื้อหรู ‘จากร้านดัง’ ที่วางเด่นอยู่เลยด้วยซ้ำ ความเงียบเป็นสิ่งเดียวที่กลายเป็นเพื่อนไปในตอนนี้ ไม่มีเสียงพลิกกระดาษ เสียงปากกาขีดเขียนหรือแม้แต่เสียงใด ๆ นทีเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ เป็นท่วงท่าที่ผ่อนคลายในยามที่พักจากการใช้สมอง ชายหนุ่มปล่อยให้เวลาผ่านไปช้า ๆ อาหารที่ตั้งอยู่ถูกลืมจนเย็นชืดไปแล้ว ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงอีกครั้ง นทีบิดกายไล่ความเมื่อยขบเล็กน้อย เขาติดกระดุมเสื้อสูทอย่างเร็วด้วยความชำนาญ จากนั้นก็ถอดแว่นออกจากหน้าเก็บใส่กล่องกำมะหยี่สีเข้มให้เข้าที่ เขาไม่ลืมเก็บปิ่นโต วางซ้อนชั้นกันเหมือนกับตอนที่มันมา ปิ่นโตใบน้อยแทบจะไม่เข้ากับรูปร่างสูงสง่าของเขาเลยขณะที่ชายหนุ่มหิ้วมันออกไปด้วย ทว่ามันก็น่ามองอย่างน่าอัศจรรย์ไม่แพ้กัน... ได้เวลากลับบ้านแล้ว “กินข้าวหรือยังครับ?” นทีถามพร้อมมอบรอยยิ้มให้ สายตาของเขามองไปยังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกะดึก ณ ลานจอดรถชั้นใต้ดิน ชายหนุ่มไม่ถามซ้ำแต่ยื่นปิ่นโตที่หิ้วอยู่ไปให้อีกฝ่ายรับเอาไว้ทันที ราวกับว่าไม่ต้องการคำปฏิเสธใด ๆ “ขอบคุณครับ! คุณนที!” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหนุ่มใหญ่ทำหน้าฉงน แต่แล้วก็ยิ้มร่าออกมาและรับปิ่นโตไว้อย่างไม่อิดออดเช่นกัน คิดในใจอย่างอดไม่ได้ว่าลาภปากตนอีกแล้ว เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรก แต่นับครั้งไม่ได้แล้วที่เขามักจะได้กินฟรีตลอดจากทนายหนุ่มที่พ่วงยศผู้บริหาร ในขณะที่นทีเพียงแค่ยิ้มรับคำขอบคุณเท่านั้น ก่อนที่เขาจะหันเดินไปยังรถยนต์คันหรูของตัวเองที่จอดรออยู่ ท่ามกลางลานจอดรถที่แทบจะร้างในช่วงดึก เขาปลดล็อกประตู ขึ้นไปนั่งบนเบาะหนังสีเข้ม คาดเข็มขัดนิรภัย ตามมาด้วยเครื่องยนต์คำรามอย่างนิ่มนวล ก่อนที่จะล้อจะแล่นออกไปจากตึกสำนักงานใหญ่ ตรงสู่ท้องถนนในยามราตรี เสียงฮัมเบา ๆ ของเครื่องยนต์ประกอบกับเสียงล้อบดพื้นคอนกรีตดังเป็นจังหวะ ตลอดเส้นทางที่เขาต้องผ่านทางเป็นประจำ แสงไฟข้างทางส่องเข้ามาความมืดในตัวรถเป็นระลอก สร้างเงาตัดกับภายในห้องโดยสารที่หรูหราและสะอาดเอี่ยม ไม่แพ้กับผู้ที่เป็นเจ้าของของมัน แสงสีนวลที่ส่องเข้ามายังเผยให้เห็นใบหน้าที่เรียบเฉย และขณะที่นิ้วเคาะลงเป็นจังหวะบนพวงมาลัยอย่างเคยตัวอีกด้วย ภาพลักษณ์ของนทีนั้นเป็นสิ่งที่อยากจะคาดเดา เขาหล่อเหลาดั่งรูปสลัก ริมฝีปากหยักได้รูปในตอนที่แย้มยิ้มคือเอกลักษณ์ไร้ที่ติ เวลาที่เขาแสดงออกต่อหน้าคนอื่นเขาเป็นแบบนั้น แต่มันไม่ใช่เมื่อเขาอยู่กับตัวเอง นทีแทบจะเหมือนคนละคน ไม่ยิ้ม ไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ ผ่านทั้งสีหน้าและแววตา การที่เขาปั้นแต่งเป็นเลิศ ซ่อนทุกอย่างเก่ง... มันก็ยิ่งทำให้เขากลายเป็นคนที่ยิ่งน่าค้นหา หลายนาทีผ่านไป ในที่สุดเมื่อเสียงเครื่องยนต์คำรามเบาลง ประตูเหล็กบานหนักก็เลื่อนเปิดออก ค่อย ๆ เผยให้เห็นโครงสร้างของคฤหาสน์หรูสไตล์โมเดิร์นผสมกับความคลาสสิกอันเป็นเอกลักษณ์ที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า รถสีดำเงาสะท้อนแสงไฟสีนวลเมื่อเคลื่อนตัวไปบนทางเข้าที่ปูหินลูกเต๋าสีเข้ม มุ่งหน้าสู่โรงรถที่ยังมีรถยนต์อีกหลายคันจอดเรียงกันอยู่ ทันทีที่รถหยุดนิ่งแล้ว นทีก็เปิดประตูพร้อมลงจากรถ พื้นรองเท้าหนังราคาแพงแตะพื้น เจ้าตัวก็เดินตรงเข้าไปยังคฤหาสน์หลังใหญ่ซึ่งเป็นสถานที่ที่ชายหนุ่มเรียกว่า ‘บ้าน’ ประตูบานคู่ลายวิจิตรก็ได้เปิดรออยู่แล้ว ราวกับรอคอยการกลับมาของเขา ไฟในบ้านเปิดแค่พอให้มองเห็นเท่านั้นในยามวิกาล นทีคลายเนกไทออก จากรองเท้าหนังมันวับถูกเปลี่ยนไปเป็นสลิปเปอร์สีขาว เขาไม่ได้ตรงขึ้นไปชั้นบนในทันที แต่เลือกที่จะไปยังห้องครัวแทน แทบทั้งวันที่นทีต้องใช้พลังงานอย่างหนัก ทำให้ท้องของเขาประท้วงต่อหิว ห้องครัวเป็นที่เดียวที่ไฟยังเปิดสว่างจ้าอยู่ เผยให้เห็นชามข้าวต้มวางอยู่บนเคาน์เตอร์หินอ่อน โดยปิดปากชามเอาไว้ด้วยพลาสติกห่ออาหาร มีโพสต์อิทแปะอยู่ด้วยพร้อมกับข้อความที่เขียนด้วยลายมือ ข้าวเย็นของเขาไม่ร้อนแล้ว... แต่ถึงอย่างนั้นนทีก็ไม่ได้บ่น เขาอ่านข้อความเพียงแค่ผ่าน ๆ ตา ใจความว่า ‘อุ่นก่อนทานนะคะ เนยทำเอาไว้ให้ก่อนกลับบ้านเหมือนเดิมค่ะ’ เขาไม่ได้สนอะไรกับข้อความนั้น เพียงแค่ดึงมันออกไปพร้อมกับฟิล์มห่ออาหาร ขยุ้มจนเป็นก้อนแล้วโยนลงถังขยะอย่างไม่ยี่หระ ก่อนที่จะเอาข้าวต้มชามนั้นไปอุ่นในไมโครเวฟเงียบ ๆ ราวกับว่าเป็นเรื่องเคยชิน ความเคยชินที่เปรียบดั่งกิจวัตรประจำวันของเขา... ส่วนหนึ่งในชีวิต ซึ่งไม่ได้มีอะไร ‘พิเศษ’ เกินไปสำหรับนทีที่กลับบ้านดึกแทบทุกวันอยู่แล้วคำพูดรู้ทันของนทีตัดผ่านความเงียบขึ้นมา ทำให้อัจฉราใจหายวาบ สะดุ้งเล็กน้อยด้วยความตกใจผสมอาย เพราะลืมไปเสียสนิทว่าคนปากร้าย ตาดี หูไว สมกับที่ประกอบวิชาชีพทนายความอันลือชื่อของเขาจริง ๆกระนั้นอัจฉราก็ไม่ได้โต้ตอบอะไรอีกแล้ว เธอสะกดกลั้นความเจ็บใจเอาไว้ ความอดทนประเภทนั้นทำให้นทีต้องหัวเราะ ‘หึ’ ออกมา มองร่างเล็กกลับเข้าไปในครัว เทข้าวต้มที่เหลืออยู่แทบเต็มชามลงถังขยะตามคำสั่งอย่างน่าพึงพอใจคนร่างบางเดินวนรอบราวกับหนูติดจั่น แต่เป็นหนูที่ยังละทิ้งหน้าที่ของตนเองไปไม่ได้เสียที กลีบปากอวบอิ่มเม้มเข้าหากัน หัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ ทั้งยังปวดหัวตุบ ๆ อย่างไม่สบายตัวจนต้องสะบัดหัวเบา ๆ เดินไปที่อ่างล้างจานทุกอย่างอยู่ในสายตาของนที ซึ่งกำลังจิบน้ำเปล่าเงียบ ๆ อยู่ที่เดิม ความอ่อนแอของอัจฉราเริ่มชัดเจนมากขึ้น เธอฝืนร่างกายทำงานหนักตลอดทั้งวันและคืนจนเห็นผล ทว่านทีไม่ได้รู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อยที่ใช้เธอขนาดนี้ ทั้งที่เห็นอยู่ว่าสภาพของหญิงสาวเกินจะรับไหวแล้วกระทั่งชามเซรามิกลื่นฟองสบู่ในมือของหล่อนร่วงลงพื้นเสียงดัง ‘เพล้ง!’ กระเบื้องสีขาวแตกเป็นชิ้นเ
อัจฉรายกหม้อข้าวต้มลงจากเตาด้วยมือที่สั่นนิด ๆ ผ่อนลมหายใจออกมา สุดท้ายก็ทำเสร็จเสียที เธอตักข้าวต้มใส่ชาม โรยต้นหอมและกระเทียมเจียว แล้วนำไปวางลงบนโต๊ะอาหาร ดวงตาที่อ่อนล้าอย่างชัดเจนกวาดมองห้องโล่งหรูที่เงียบผิดปกติ ทีวีจอใหญ่ยังคงเปิดค้างเอาไว้ ฉายรายการข่าวรอบดึก แต่คนที่เคยนั่งดูอยู่ตรงนั้น ตอนนี้ไร้วี่แววของตัวตน หญิงสาวไม่รู้ว่าเขาหายไปเมื่อไหร่ ทว่าการไม่เห็นก็ใช่ว่าความหนักอึ้งในอากาศจะหายไป อัจฉราเผลอเม้มปากเล็กน้อย ยังคงสัมผัสได้ถึงความรู้สึกร้อนผ่าวเหนือริมฝีปากจากเหตุการณ์ก่อนหน้า ตรึงตราอย่างยากที่จะลืมเลือน แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็พยายามปฏิเสธที่จะรู้สึกถึงมันอยู่ดี หล่อนส่ายหัวเบา ๆ สูดหายใจเข้าลึก เรียกสติให้หยุดเพ้อเสียที “ก็แค่จูบ... จะไปคิดมากทำไม ขนาดจูบกับหมายังไม่เห็นต้องคิดอะไรเลย” แม้ว่าความรู้สึกปวดหนึบผสมกับความขุ่นเคืองมันยังคงกัดเซาะหัวใจของเธออยู่ก็ตาม... “.....” ริมฝีปากหยักคลี่ยิ้มหยัน คำพูดของอัจฉรากระทบเข้าสู่โสตประสาทชัดเจนเลยทีเดียว นทียืนอยู่ที่ตีนบันไดทางลงจากช
แกร๊ก “เข้ามา” เจ้าของห้องออกคำสั่งอย่างราบเรียบ ร่างสูงเข้าไปในห้องขนาดกว้างครอบคลุมทั้งชั้นก่อน ประตูที่เปิดกว้างเผยให้เห็นด้านในที่ตกแต่งด้วยโทนสีดำ เทาเข้ม และสีขาว พื้นหินอ่อนวาววับสะท้อนแสงไฟสีนวลจากทั่วทุกมุมห้อง สอดคล้องกับตัวตนของผู้เป็นเจ้าของเพนท์เฮาส์แห่งนี้ได้เป็นอย่างดี ‘ทำไมต้องพามาที่นี่ด้วย... ในเมื่อทุกทีก็เห็นกลับบ้านตลอด’ อัจฉรามองเข้าไปข้างในห้องของนที ก็อดคิดคิดในใจไม่ได้ เธอไม่ได้ตื่นเต้นกับความหรูหราของสถานที่เลยแม้แต่น้อย ทั้งที่เป็นเมื่อก่อนคงจะดีใจมากที่ได้เข้ามาอยู่ในพื้นที่ที่เปรียบเสมือนโลกอีกใบของเขา แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิม... ก็เหมือนที่เธอมองนทีไม่เหมือนก่อนเช่นกัน สายตาจ้องมองแผ่นหลังกว้างตรงหน้าด้วยความขุ่นเคืองผสมกับความหวาดหวั่นเล็กน้อย จนต้องสูดลมหายใจเข้าลึกอย่างแผ่วเบาเรียกสติ ทำใจดีสู้เสือ ก่อนจะยอมเดินตามหลังอีกฝ่ายเข้าไปในห้อง เสียงประตูปิดลงอย่างแผ่วเบาเบื้องหลัง แต่อัจฉราก็ยังยืนอยู่ที่เดิม ภาพสะท้อนของคนตัวเล็กที่ยืนนิ่งอยู่ข้างหลังบนกระจกหน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดาน ทำให้เผลอกระตุกยิ้มออกมาเล็กน้อย เพราะนทีคาดหวังว่าจะได้เห็นอ
“คุณนที... พูดบ้าอะไรออกมา... รู้ตัวบ้างไหม” น้ำเสียงของอัจฉราแผ่วเบา หัวของเธอรู้สึกตื้อไปหมดจนเกือบจะประมวลผลไม่ทัน แววตาที่สั่นระริกและชุ่มชื้นไปด้วยน้ำตา บัดนี้จ้องลึกลงไปที่ดวงตาคู่คม ราวกับจะหาคำตอบว่าใครกันที่พ่นข้อเสนออันแสนจะหยาบคายนั้นออกมา นทีหัวเราะ ‘หึ’ ในลำคอ เขาไม่ละสายตาไปจากแววตาฉ่ำน้ำที่มองมายังเขา เหมือนเป็นการตอบคำถามที่เธออยากรู้โดยที่ไม่ต้องอธิบาย ว่าคน ‘หยาบคาย’ คนนั้น มันก็คือตัวตนของเขาเอง... ด้านที่ไม่เคยเผยให้ใครได้รู้จักมาก่อน “รู้สิ... แต่ถ้าอยากได้ยินอีกครั้งก็จะย้ำให้... ฉันอยากให้เธอ ‘มอง’ แค่ฉัน ‘คนเดียว’ เท่านั้น... เหมือนที่เธอเป็นมาตลอด... อย่าลืมตัวสิ เนย” เสียงทุ้มพร่าว่าพลางเลื่อนมือที่กุมอยู่หลังคอที่ร้อนระอุของหญิงสาว เคลื่อนมาช้า ๆ จนถึงปลายคางเชิด แล้วเชยคางหล่อนให้สบตากับเขาชัด ๆ ก่อนจะไล่สายตามองริมฝีปากอิ่มที่ตอนนี้บวมเจ่ออย่างน่าพึงพอใจ “แต่นั่นมันไม่เกี่ยวกัน! นั่นมันเรื่องของเนย เนยรับผิดชอบเองได้ คุณนทีมีสิทธิ์อะไรมาสั่ง” น้ำเสียงของอัจฉราเจือไปด้วยความสั่นเครือ แม้ว่าจะพยายามเป็นเข้มแข็ง แต่หัวใจของเธอกลับเต้นไม่หยุด ยังคง
เสียงหัวเราะ ‘หึ’ ดังออกมาจากลำคอ ยอมรับว่าเขาถูกใจไม่น้อยเลยที่ทำให้อัจฉราหางโผล่จนได้ แววตาที่เยือกเย็นหันกลับมามองเธอช้า ๆ เป็นแววตาของนักล่าอย่างไม่ปิดบังเช่นกัน “บ้าเหรอ... หึ... กล้า... กล้าดีนักนะ เนย” สิ้นประโยคฝ่ามือใหญ่ก็กระแทกลงบนแผงควบคุมลิฟต์อย่างจัง เสียงดังจนคนร่างบางสะดุ้งโหยง ถอยหลังไปประชิดกับผนังที่เย็นเฉียบโดยสัญชาตญาณ พร้อมกันนั้นลิฟต์ก็ค้างทันที ชายหนุ่มกดปุ่มหยุดการทำงานเอาไว้ โดยที่สายตาไม่ละไปจากอัจฉราเลย รอยยิ้มร้ายกาจแบบที่น้อยคนจะได้เห็นนักปรากฏขึ้น ขณะที่ร่างสูงใหญ่ค่อย ๆ ก้าวเข้าไปใกล้คนตัวเล็กกว่าที่พยายามชูคอหวังจะฉก แต่มันไม่น่ากลัวเลยแม้แต่น้อยเหมือนลูกแมวที่พยายามข่วนกลับมากกว่า “คุณนที... จะทำอะไร... ถอยออกไปนะ!” อัจฉราส่งเสียงขู่อีกฝ่าย แต่กลับสั่นและไร้น้ำหนักอย่างน่าเจ็บใจ ผู้ชายที่รักและเทิดทูนในใจมาตลอดตอนนี้กลับแยกเขี้ยวใส่ น่ากลัวและพร้อมที่จะกัด หญิงสาวขยับหนีเขาไปเรื่อย ๆ ทั้งที่ไม่มีพื้นที่ให้ไป ก่อนจะต้องตกใจเมื่ออีกฝ่ายเข้ามาประชิดกะทันหัน ปึง! เสียงฝ่ามือหนากระแทกเข้ากับกำแพงข้างศีรษะ แรงพอที่จะทำให้หญิงสาวสะดุ้งสุดตัวและลิฟต
“คุณนที” “.....” “เจ็บไหม... เนยขอโทษนะ” น้ำเสียงหวานแผ่วดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบของรถยนต์ที่ยังคงขับฝ่าฝนไปด้วยความเร็วคงที่ สายตาของหญิงสาวฉายแวววูบไหวเล็กน้อย เมื่อเอ่ยประโยคที่ทั้งถามและขอโทษ ทว่านทีกลับยังคงนิ่งเฉย เขาไม่ตอบคำถามของเธอหรือว่าแสดงปฏิกิริยาอะไรนอกเหนือไปจากความเงียบที่มีเท่านั้น ใบหน้าหล่อยังคงเรียบเฉย แววตาอ่านไม่ออกภายใต้แสงไฟที่สะท้อนผ่านมาเป็นระยะ เผยให้เห็นมุมปากที่มีรอยแผลสด อัจฉรามองเสี้ยวหน้านั้นด้วยความรู้สึกผิดที่ล้นหัวใจ แม้ว่าเมื่อกลางวันจะรู้สึกเคืองเขามากแค่ไหนก็ตาม ทว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ เธอไม่รู้ว่านทีเขาแค่ผ่านมาเพราะความบังเอิญหรือเปล่า แต่สิ่งที่ชัดเจนที่สุดคือเขาต้องมาเจ็บตัวเพราะเธอ ดวงตาสียางไม้สั่นไหวเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงไม่ยอมตอบคำถามของเธอ แทนที่จะเร่งเร้าเขาต่อไป หญิงสาวเลือกที่จะละสายตามองออกข้างทางแทน เธอไม่กล้าแล้ว... แม้จะทั้งความกังวลและห่วงแค่ไหน แต่ก็รู้ตัวดีว่าไม่ได้มีสิทธิ์ไปก้าวก







