แชร์

บทที่ 4 มรสุม

ผู้เขียน: 23.19น.
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-10-14 02:16:14

“หนูขอร้องนะคะเฮีย ตอนนี้หนูกับแม่ลำบากกันมากจริง ๆ”

เสียงสั่นเครือออกมาจากปากของหญิงสาวที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องยอมก้มหัวให้ใครมาก่อน แต่ตอนนี้มันเกิดขึ้นแล้วในขณะที่อัจฉรากำลังเผชิญหน้ากับเจ้าหนี้ของพ่อเป็นการส่วนตัว ณ จุดนี้หล่อนยอมลดศักดิ์ศรีที่มันค้ำคอลงบ้าง อย่างไรเสียหล่อนก็แทบไม่มีอะไรจะเสียไปมากกว่านี้แล้ว ยิ่งถ้าต้องเป็น ‘ตัวของเธอ’ ยิ่งไม่มีทาง

“แล้วหนู... มั่นใจได้ไงว่าจะไม่บิดเฮีย?”

เฮียโจ้ ชายหน้าโหด รูปร่างผอมบางแต่สักเต็มตัว คำพูดของเขาห้วนสั้น ไม่กรรโชกแต่แฝงไปด้วยความกดดันอย่างผู้ที่รู้ว่าตัวเองเหนือกว่าชัดเจน การแสดงออกนั้นดูไม่ยากที่จะสังเกตได้จากสายตาที่มักจะจ้องอัจฉราด้วยความพึงพอใจบางอย่างตั้งแต่หล่อนกล้าก้าวขาเข้าในรังของเขาตั้งแต่แรกแล้ว

“หนูสัญญาว่าหนูไม่เบี้ยวเฮียแน่นอนค่ะ นะคะเฮีย... ให้หนูใช้หนี้แทนพ่อนะ”

“โอ๊ย พูดมันก็พูดกันได้ง่าย ๆ หนู ตอน ‘ไอ้ยศ’ มันก็แทบจะคลานเข่ามาขอเฮียด้วยซ้ำ แต่ดูตอนนี้มันหนีไปไหนแล้วล่ะ?”

เจ้าหนี้หนุ่มพูดขึ้นเสียงดัง น้ำเสียงแฝงไปด้วยความเย้ยหยันระคนขบขัน ทำให้คนฟังใจหายวูบ เขามองอัจฉราที่หน้าเริ่มถอดสี พลางนั่งไขว่ห้างเอนหลังพิงโซฟาสบาย ๆ แต่สายตาก็ยังไม่หยุดมองหญิงสาว ทิ้งความกดดันเอาไว้ให้เธอแบกรับจนต้องก้มหน้าหลบสายตา

“หนู... หนูเองก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ว่าพ่อหายไปไหน”

หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา หล่อนรู้สึกชาไปทั้งหน้าจากความอัปยศที่เกิดขึ้น กลีบปากอิ่มเม้มเข้าหากันเบา ๆ ขณะที่มือกำกระเป๋าเป้ใบเก่งที่บนตักแน่นขึ้น บ่งบอกถึงความตึงเครียดและความกดดันที่กำลังเผชิญหน้าอยู่

แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อเสียงหัวเราะร่วนของเฮียโจ้ดังขึ้น อัจฉรารีบผงกหัวขึ้นมองอีกครั้ง แววตาแสดงออกถึงความสับสนอย่างไม่ปิดบัง ตามมาด้วยอาการนิ่งงันอย่างฉับพลัน ความรู้สึกเย็บเฉียบแล่นริ้วไปตามแนวกระดูกสันหลัง รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องกับประโยคที่อีกฝ่ายเอ่ยถามออกมา

“ไม่รู้? หนูก็ตอบง่ายดีว่ะ ฮ่า ๆ ๆ!”

เสียงหัวเราะของเฮียโจ้ก้องกังวาน เขาแหงนหน้าหัวเราะอย่างชอบใจ แต่แล้วมันก็หยุดลงอย่างฉับพลันเมื่อเขาจ้องไปยังหญิงสาวอีกครั้ง คราวนี้สายตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความต้องการบางอย่าง แต่ในขณะเดียวกันก็ยังเสนอตัวเลือกให้หล่อนด้วย

“เฮียว่าเอางี้นะ... หนูแค่ตอบเฮียมาเลยดีกว่าว่าหนูจะ ‘เลือกอะไร’ เฮียน่ะคนใจเย็น แต่เฮียก็หมดความอดทนเป็นเหมือนกัน ตอบเฮียมา... วันนี้หนูมีเงินมาคืนเฮียไหม ถ้าไม่... หนูก็รู้อยู่แล้วเนอะว่าเฮียจะเอา ‘อะไร’ มาทดแทน”

ดวงหน้าหวานของอัจฉราซีดเผือดจนเกินคำว่าถอดสีไปแล้ว หล่อนไม่จำเป็นต้องตีความอะไรเลยในทุกประโยคที่อีกฝ่ายกล่าวมานั้น มันชัดเจนจนไม่ต้องหาคำตอบ หญิงสาวสบตากับชายหน้าโหดด้วยความรู้สึกเหมือนมีหินก้อนใหญ่กำลังกดทับอยู่กลางอก ด้วยมือที่สั่นเทาหญิงสาวก้มหน้าก้มตา เสียงรูดซิปดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศที่น่าอึดอัด ก่อนที่หล่อนจะหยิบเงินก้อนหนึ่งออกมาอย่างเกินกว่าจะคาดคิด

“หนูมีเงินเก็บอยู่ห้าหมื่น...”

ด้วยมือที่สั่นเทาอัจฉราวางเงินก้อนนั้นลงบนโต๊ะตรงหน้าเฮียโจ้ที่มองมันด้วยสายตาฉายแววประหลาดใจ กลิ่นเงินและสัมผัสของแบงก์ใหม่ ทำให้รู้สึกใจหายอย่างไม่อาจเลี่ยง แต่ก็ไม่มีทางอื่นแล้วเช่นกัน

“หนูไม่รู้ว่าพ่อติดหนี้เฮียอยู่แค่ไหน... แต่ตอนนี้หนูมีอยู่แค่นี้จริง ๆ ขอร้องนะคะเฮีย... อย่าเอาหนูไปเลยนะคะ แม่ของหนูก็อายุมากขึ้นทุกวัน มีโรคประจำตัว ถ้าไม่หนูก็ไม่มีใครดูแกแล้ว”

เฮียโจ้ยกยิ้มมุมปาก สายตาที่แสดงออกถึงความประหลาดใจเมื่อครู่ เปลี่ยนไปเป็นรอยยิ้มกรุ้มกริ่มแต่ก็แฝงไปด้วยความพึงพอใจอย่างอันตราย เขาเลิกนั่งไขว่ห้างและโน้มตัวไปข้างหน้า มือใหญ่ที่ผอมจนเห็นเส้นเลือดชัดเจนอย่างน่ากลัวยื่นออกไปหยิบเงินมัดนั้นมาถือเอาไว้ พลิกไปมาและกรีดนิ้วผ่านแบงก์ทีละใบเพื่อตรวจสอบ

“หนูนี่ฟังดูก็เป็นลูกประเสริฐจริง ๆ ไม่น่ามีพ่อทำตัวส้นตีนแบบนั้นเลยเนอะ”

เฮียโจ้แค่นหัวเราะ พร้อมกับส่ายหัวเบา ๆ ก่อนจะโยนเงินมัดเดิมลงบนโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจ เงยหน้าสบตากับหญิงสาวที่กำลังมองของอยู่ด้วยแววตาที่สั่นไหวด้วยความกลัว แต่ก็แฝงไปด้วยแววเว้าวอน... นั่นมันช่างน่าสนใจและน่าเวทนาซะไม่มี

“แต่ ‘แค่’ ห้าหมื่นไม่พอหรอกนะหนู ยอดจริงนะมันตั้ง ‘สองแสนแปด’ นี่เฮียยังไม่รวมดอกเบี้ยเข้าไปด้วยนะ”

อัจฉรารู้สึกเหมือนจะล้มทั้งยืนทั้งที่ตัวแข็งทื่อไปหมด ดวงตาเบิกกว้าง หัวตื้อจนคิดอะไรไม่ออกไปชั่งขณะ ‘สองแสนแปด’ เงินตั้งมากมายขนาดนั้น คือจำนวนที่พ่อของเธอหมดไปกับเล่นการพนัน สุรายาเมาจนหมดนั่นเลยหรือ... อัจฉรารู้มาตลอดว่าพ่อเธอเป็นคนอย่างไร แต่ไม่คิดว่าเขาจะแอบสร้างหนี้ไว้มากกว่าที่คิดและหนีขายไปแบบนี้!

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบไปด้วยความตกใจ เจ้าหนี้นิสัยเหลี่ยมจัดก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกยิ้มมุมปาก สายตาที่มองหญิงสาวเต็มไปด้วยการประเมินค่าอย่างพึงพอใจ ยังไม่ทันไรก็คิดว่าตัวเองถือไพ่เหนือหล่อนเสียแล้ว อย่างไรเสียเขาก็เป็นเจ้าหนี้ และตอนนี้อัจฉราก็ยอมรับสภาพหนี้แทนพ่อของเธอไปแล้ว

“เอาเถอะ! ถือว่าเฮียเห็นใจหนูละกัน เฮียไม่เอาดอกก็ได้ ยังไงวันนี้หนูจะมีเงินมาให้เฮียก็จริง... แต่เฮียมีเงื่อนไข ภายในสามเดือนถ้าหนูหาเงินต้นมาคืนเฮียไม่ครบ...”

เฮียโจ้มองอัจฉราอีกครั้งตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะเลื่อนกลับมาสบตาเธออีกครั้ง ดวงตาของหล่อนสั่นไหว... ช่างถูกใจเขาเสียจริง

“หนูต้องมาเป็นเด็กเฮียอย่างไม่มีข้อแม้... วันนี้เฮียเอาเงินห้าหมื่น แต่ครั้งหน้าต้องสองแสนแปด จำใส่หัวสวย ๆ หนูเอาไว้ด้วยล่ะ”

ร่างบางเดินเหมือนคนหมดแรงไปตามฟุตบาทริมถนนใหญ่ในยามค่ำคืน อากาศชื้นเหมือนฝนใกล้จะตกแล้ว แต่อัจฉรายังคงใจลอยไปกับถ้อยคำนั้นที่ยังฝังอยู่ในหัว ความรู้สึกสิ้นไร้หนทางประเดประดังเข้ามาราวกับพายุลูกใหญ่ในใจ หลายครั้งที่หล่อนมีความคิดบ้า ๆ ถามตัวเองว่า ถ้าหากเดินลงไปบนถนนตอนนี้จะเกิดอะไรขึ้น... เรื่องมันจะจบลงหรือเปล่า

แต่สุดท้ายอัจฉราก็ไม่กล้าพออยู่ดี ต้องยอมก้มหน้ารับชะตากรรมที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนก่อ เดินอยู่นานเป็นชั่วโมงจนเหงื่อกาฬท่วมตัว หายใจหอบถี่ด้วยความเหนื่อย แต่หล่อนไม่มีตัวเลือกอื่นแล้ว แม้แต่เงินค่ารถไม่กี่บาทตอนนี้ยังต้องคิดหนักจนไม่กล้าใช้ กระเป๋าเป้ใบเก่งตอนนี้เบาหวิวจนแทบไม่รู้สึกถึงน้ำหนักที่ไหล่

ราวกับฟ้าฝนรับรู้ได้ถึงความทุกข์ระทมและความเศร้าโศกที่แบกรับเอาไว้ ท้องฟ้าส่งเสียงคำรามลั่น ทันใดนั้นสายฝนก็กระหน่ำเทลงมาเย้ยหยันชีวิตที่มันบัดซบนี้ เสื้อผ้าของอัจฉราค่อย ๆ หนักขึ้นตามปริมาณของน้ำฝนที่ เปียกชุ่มภายในเวลาอันรวดเร็วจนดูไม่จืด แต่อัจฉราก็ยังคงเดินต่อไปเหมือนหุ่นยนต์ที่ไร้ชีวิต

หุ่นยนต์ที่ไม่สามารถควบคุมอะไรได้ แม้น้ำตาเจ้ากรรมของตัวเองมันไหลรินลงมาแข่งกับสายฝน ม่านน้ำตาบดบังการมองเห็นในยามราตรีกาลที่มืดมนแถมเป็นคืนที่มีพายุเข้า ร่างบางสั่นระริกด้วยความหนาวเย็นที่เริ่มกัดผิว กลีบปากอิ่มซีดคล้ำ ขณะที่ฟันกระทบกันจนเกิดเสียง ใครขับรถผ่านไปผ่านมาก็คงคิดว่าหญิงสาวคนนี้ถ้าไม่บ้าก็คงไม่เต็ม เพราะคงไม่มีคนปกติที่ไหนมาเดินตากฝนอยู่แบบนี้

ขณะเดียวกันบนถนนใหญ่เส้นเดียวกันห่างจากร่างบางกลางสายในไปไม่ไกล รถยนต์ซีดานสีดำเงาก็ปรากฏให้เห็น ซึ่งกำลังขับฝ่าพายุไปด้วยความเร็วคงที่ คนขับควบคุมการเคลื่อนไหวด้วยความชำนาญแม้ถนนจะลื่นกว่าปกติ ตามรายงานสภาพอากาศบอกว่าคืนนี้พายุจะเข้า ซึ่งก็จริงเพราะตอนนี้วิสัยทัศน์ภายนอกขาวโพลนไปหมดแล้ว

นที ผู้เป็นเจ้าของรถยนต์คันดังกล่าวขับไปตามเส้นทางประจำเพื่อกลับบ้านเป็นปกติ ดวงตาคู่คมมองถนนเบื้องหน้าผ่านกรอบแว่นสายตาด้วยสมาธิ ไม้ปัดน้ำฝนทำงานอย่างมีประสิทธิภาพปาดหยดน้ำออกจากกระจกให้มองเห็นทาง ผสานกับไฟสูงในสภาพอากาศที่ย่ำแย่ ความเร็วรถค่อย ๆ ชะลอตัวลงอีกระดับขณะที่กำลังจะเปลี่ยนเส้นทาง

ทว่าในจังหวะนั้นเองด้วยความบังเอิญ สายตาอันเฉียบคมของเขาเผลอมองไปข้างทางอย่างไม่ได้ตั้งใจ นทีกลับจดจำร่างหนึ่งที่เดินอยู่บนฟุตบาทได้ในทันที กลุ่มผมสีแดงที่ตอนนี้เปียกน้ำฝนจนลู่ไปตามลำคอและแผ่นหลังของเธอ ไหนจะผิวขาวซีดเพราะความหนาวเย็นนั่น ผู้หญิงผมแดงเพียงคนเดียวในตอนนี้ที่นทีรู้จักมีเพียงคนเดียวเท่านั้น... อัจฉรา

คิ้วหนาขมวดเล็กน้อยด้วยความช่างสังเกตที่ ติดเป็นนิสัย ‘ทำไมเธอถึงมาเดินตากฝนแบบนี้’ นทีตั้งคำถามอย่างอดไม่ได้ด้วยความอยากรู้ ไม่ใช่เพราะความห่วงใยแต่อย่างใด เพราะแทนที่เขาจะจอดดูชายหนุ่มกลับเร่งเครื่องขับผ่านเธอไปทันที สายตาเผลอมองผ่านกระจกมองหลัง ในจังหวะนั้นร่างบางก็ทรุดตัวลงไปพอดี ดวงตาคู่คมก็หรี่ลงเล็กน้อยด้วยความไม่เข้าใจ

“โง่หรือบ้ากันแน่...”

เสียงทุ้มพึมพำกับตัวเอง สีหน้าของเขายากที่จะอ่านออก ชายหนุ่มขับรถเข้าเลนขวาสุดอย่างฉับพลัน ก่อนจะกดย้อนเกียร์ถอยหลังไปเทียบขอบฟุตบาทตรงจุดที่เห็นอัจฉรา เมื่อพอดีแล้วเขาก็ลดกระจกลงเพื่อมองออกไป ทำให้น้ำฝนกระเซ็นมาโดนเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ สายตาจ้องไปยังร่างเล็กที่นั่งตัวสั่นระริกและยังไม่รู้ตัว

“จะไปไหน... ขึ้นมาสิ...”

นทีเรียกเสียงดังกว่าเสียงฝนอย่างตั้งใจ น้ำเสียงที่คุ้นหูนั้นเข้าหูอัจฉราอย่างที่เขาคาดการณ์เอาไว้ หล่อนผงกหัวหันมามองเขาอย่างรวดเร็ว ดวงตาที่แดงก่ำของหล่อนฉายแววตกใจไม่น้อยที่เห็นว่าเป็นเขา มือของนทีกำพวงมาลัยแน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว เมื่อเห็นใบหน้าของอัจฉราชัด ๆ

มันไม่ใช่เรื่องของเขาเลยสักนิด... แต่เพราะเธอเป็นเด็กในบ้านของเขา เพราะยังไงเสียก็คนคุ้นเคย จะปล่อยผ่านไปเฉย ๆ อย่างที่คิดจึงไม่ง่าย ทั้งที่นทีจะรู้อยู่เต็มอกว่าหญิงสาวคิดอย่างไรกับเขาก็ตาม ไม่ต้องการให้เธอเข้ามาวุ่นวายในชีวิตของเขาด้วยซ้ำ แต่พอเห็นเธออยู่ในสภาพนี้... จะปล่อยไปเฉย ๆ ก็คงดูจะใจดำเกินไป

อัจฉราลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วด้วยความตกใจ หัวใจพลันเต้นผิดจังหวะ หล่อนรีบหันหน้าหนีเพื่อเช็ดน้ำตา ทั้งที่สายฝนน่าจะทำให้ดูไม่ออกอยู่แล้วว่าเธอกำลังร้องไห้ แต่เพราะคนคนนั้นคือนที หญิงสาวก็ไม่อยากให้เขาเห็นความน่าสมเพชของเธอเลยแม้แต่น้อย เมื่อจัดการกับตัวเองเสร็จแล้วหล่อนก็หันไปทางเขาอีกครั้ง

“ไม่เป็นไรค่ะ... เนยเปียกไปทั้งตัว...”

อัจฉราปฏิเสธเสียงสั่นเพราะหนาว ช่วยปิดบังความจริงที่ว่าหล่อนร้องไห้ได้บ้าง แต่สายตากลับหลุบมองพื้นไม่กล้าสบตากับเจ้าของนัยน์ตาคู่คมภายใต้กรอบแว่นนั้นตรง ๆ อยู่ดี

“เดี๋ยวจะทำให้รถคุณนทีเปียกไปด้วยเปล่า ๆ...”

“ไม่ต้องห่วงรถ... ขึ้นมา”

นทีจับสังเกตเห็นความผิดปกติในท่าทางและน้ำเสียงของหญิงสาวชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการรับหันไปเช็ดน้ำตา การพยายามทำเหมือนว่าไม่เป็นอะไร ซึ่งไม่ใช่เรื่องของเขา แทนที่จะมาเสียเวลากับบทสนทนาไร้ประโยชน์ นทีเลือกที่จะปลดล็อกประตูฝั่งผู้โดยสารอย่างเด็ดขาด เสียง ‘แก๊ก’ ดังขึ้น จากนั้นเขาก็เลื่อนกระจกฝั่งตัวเองขึ้นจนปิดสนิท บ่งบอกว่าไม่ต้องการข้ออ้างใด ๆ อีกต่อไป

อัจฉรามองไปยังกระจกที่ติดฟิล์มมืดแทบมองไม่เห็นด้านใน มันเหมือนกับการตอกเส้นคั่นระหว่างกันที่เธอไม่ทางข้ามไปได้แม้จะอยู่บนทางเดียวกันก็ตาม กลีบปากอิ่มเม้มเข้าหากันเบา ๆ ก่อนจะตัดสินใจวิ่งอ้อมรถขึ้นไปนั่งในฝั่งผู้โดยสาร อัจฉราปิดประตูอย่างแผ่วเบา แม้จะสับสนกับสถานการณ์แต่หล่อนก็ยังเกรงใจเขาอย่างถึงที่สุด

“คาดเข็มขัดด้วย”

ขณะเดียวกันนทีก็รอด้วยความอดทน เมื่อเห็นว่าอัจฉราทำตามเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว เขาก็เข้าเกียร์เดินหน้าและเหยียบคันเร่งขับออกไปทันที โดยที่ไม่มีบทสนทนาใด ๆ ระหว่างเขากับเธอเกิดขึ้นอีกเลย นอกจากความเงียบที่โรยลงตัวอย่างน่าอึดอัด เสียงฝนและเสียงเครื่องยนต์เท่านั้น

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • นที (โปรด) รัก   บทที่ 20 พังที่กายไม่ใช่หัวใจ [2/2]

    คำพูดรู้ทันของนทีตัดผ่านความเงียบขึ้นมา ทำให้อัจฉราใจหายวาบ สะดุ้งเล็กน้อยด้วยความตกใจผสมอาย เพราะลืมไปเสียสนิทว่าคนปากร้าย ตาดี หูไว สมกับที่ประกอบวิชาชีพทนายความอันลือชื่อของเขาจริง ๆกระนั้นอัจฉราก็ไม่ได้โต้ตอบอะไรอีกแล้ว เธอสะกดกลั้นความเจ็บใจเอาไว้ ความอดทนประเภทนั้นทำให้นทีต้องหัวเราะ ‘หึ’ ออกมา มองร่างเล็กกลับเข้าไปในครัว เทข้าวต้มที่เหลืออยู่แทบเต็มชามลงถังขยะตามคำสั่งอย่างน่าพึงพอใจคนร่างบางเดินวนรอบราวกับหนูติดจั่น แต่เป็นหนูที่ยังละทิ้งหน้าที่ของตนเองไปไม่ได้เสียที กลีบปากอวบอิ่มเม้มเข้าหากัน หัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ ทั้งยังปวดหัวตุบ ๆ อย่างไม่สบายตัวจนต้องสะบัดหัวเบา ๆ เดินไปที่อ่างล้างจานทุกอย่างอยู่ในสายตาของนที ซึ่งกำลังจิบน้ำเปล่าเงียบ ๆ อยู่ที่เดิม ความอ่อนแอของอัจฉราเริ่มชัดเจนมากขึ้น เธอฝืนร่างกายทำงานหนักตลอดทั้งวันและคืนจนเห็นผล ทว่านทีไม่ได้รู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อยที่ใช้เธอขนาดนี้ ทั้งที่เห็นอยู่ว่าสภาพของหญิงสาวเกินจะรับไหวแล้วกระทั่งชามเซรามิกลื่นฟองสบู่ในมือของหล่อนร่วงลงพื้นเสียงดัง ‘เพล้ง!’ กระเบื้องสีขาวแตกเป็นชิ้นเ

  • นที (โปรด) รัก   บทที่ 20 พังที่กายไม่ใช่หัวใจ [1/2]

    อัจฉรายกหม้อข้าวต้มลงจากเตาด้วยมือที่สั่นนิด ๆ ผ่อนลมหายใจออกมา สุดท้ายก็ทำเสร็จเสียที เธอตักข้าวต้มใส่ชาม โรยต้นหอมและกระเทียมเจียว แล้วนำไปวางลงบนโต๊ะอาหาร ดวงตาที่อ่อนล้าอย่างชัดเจนกวาดมองห้องโล่งหรูที่เงียบผิดปกติ ทีวีจอใหญ่ยังคงเปิดค้างเอาไว้ ฉายรายการข่าวรอบดึก แต่คนที่เคยนั่งดูอยู่ตรงนั้น ตอนนี้ไร้วี่แววของตัวตน หญิงสาวไม่รู้ว่าเขาหายไปเมื่อไหร่ ทว่าการไม่เห็นก็ใช่ว่าความหนักอึ้งในอากาศจะหายไป อัจฉราเผลอเม้มปากเล็กน้อย ยังคงสัมผัสได้ถึงความรู้สึกร้อนผ่าวเหนือริมฝีปากจากเหตุการณ์ก่อนหน้า ตรึงตราอย่างยากที่จะลืมเลือน แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็พยายามปฏิเสธที่จะรู้สึกถึงมันอยู่ดี หล่อนส่ายหัวเบา ๆ สูดหายใจเข้าลึก เรียกสติให้หยุดเพ้อเสียที “ก็แค่จูบ... จะไปคิดมากทำไม ขนาดจูบกับหมายังไม่เห็นต้องคิดอะไรเลย” แม้ว่าความรู้สึกปวดหนึบผสมกับความขุ่นเคืองมันยังคงกัดเซาะหัวใจของเธออยู่ก็ตาม... “.....” ริมฝีปากหยักคลี่ยิ้มหยัน คำพูดของอัจฉรากระทบเข้าสู่โสตประสาทชัดเจนเลยทีเดียว นทียืนอยู่ที่ตีนบันไดทางลงจากช

  • นที (โปรด) รัก   บทที่ 19 รอเห็นเธอพัง [2/2]

    แกร๊ก “เข้ามา” เจ้าของห้องออกคำสั่งอย่างราบเรียบ ร่างสูงเข้าไปในห้องขนาดกว้างครอบคลุมทั้งชั้นก่อน ประตูที่เปิดกว้างเผยให้เห็นด้านในที่ตกแต่งด้วยโทนสีดำ เทาเข้ม และสีขาว พื้นหินอ่อนวาววับสะท้อนแสงไฟสีนวลจากทั่วทุกมุมห้อง สอดคล้องกับตัวตนของผู้เป็นเจ้าของเพนท์เฮาส์แห่งนี้ได้เป็นอย่างดี ‘ทำไมต้องพามาที่นี่ด้วย... ในเมื่อทุกทีก็เห็นกลับบ้านตลอด’ อัจฉรามองเข้าไปข้างในห้องของนที ก็อดคิดคิดในใจไม่ได้ เธอไม่ได้ตื่นเต้นกับความหรูหราของสถานที่เลยแม้แต่น้อย ทั้งที่เป็นเมื่อก่อนคงจะดีใจมากที่ได้เข้ามาอยู่ในพื้นที่ที่เปรียบเสมือนโลกอีกใบของเขา แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิม... ก็เหมือนที่เธอมองนทีไม่เหมือนก่อนเช่นกัน สายตาจ้องมองแผ่นหลังกว้างตรงหน้าด้วยความขุ่นเคืองผสมกับความหวาดหวั่นเล็กน้อย จนต้องสูดลมหายใจเข้าลึกอย่างแผ่วเบาเรียกสติ ทำใจดีสู้เสือ ก่อนจะยอมเดินตามหลังอีกฝ่ายเข้าไปในห้อง เสียงประตูปิดลงอย่างแผ่วเบาเบื้องหลัง แต่อัจฉราก็ยังยืนอยู่ที่เดิม ภาพสะท้อนของคนตัวเล็กที่ยืนนิ่งอยู่ข้างหลังบนกระจกหน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดาน ทำให้เผลอกระตุกยิ้มออกมาเล็กน้อย เพราะนทีคาดหวังว่าจะได้เห็นอ

  • นที (โปรด) รัก   บทที่ 19 รอเห็นเธอพัง [1/2]

    “คุณนที... พูดบ้าอะไรออกมา... รู้ตัวบ้างไหม” น้ำเสียงของอัจฉราแผ่วเบา หัวของเธอรู้สึกตื้อไปหมดจนเกือบจะประมวลผลไม่ทัน แววตาที่สั่นระริกและชุ่มชื้นไปด้วยน้ำตา บัดนี้จ้องลึกลงไปที่ดวงตาคู่คม ราวกับจะหาคำตอบว่าใครกันที่พ่นข้อเสนออันแสนจะหยาบคายนั้นออกมา นทีหัวเราะ ‘หึ’ ในลำคอ เขาไม่ละสายตาไปจากแววตาฉ่ำน้ำที่มองมายังเขา เหมือนเป็นการตอบคำถามที่เธออยากรู้โดยที่ไม่ต้องอธิบาย ว่าคน ‘หยาบคาย’ คนนั้น มันก็คือตัวตนของเขาเอง... ด้านที่ไม่เคยเผยให้ใครได้รู้จักมาก่อน “รู้สิ... แต่ถ้าอยากได้ยินอีกครั้งก็จะย้ำให้... ฉันอยากให้เธอ ‘มอง’ แค่ฉัน ‘คนเดียว’ เท่านั้น... เหมือนที่เธอเป็นมาตลอด... อย่าลืมตัวสิ เนย” เสียงทุ้มพร่าว่าพลางเลื่อนมือที่กุมอยู่หลังคอที่ร้อนระอุของหญิงสาว เคลื่อนมาช้า ๆ จนถึงปลายคางเชิด แล้วเชยคางหล่อนให้สบตากับเขาชัด ๆ ก่อนจะไล่สายตามองริมฝีปากอิ่มที่ตอนนี้บวมเจ่ออย่างน่าพึงพอใจ “แต่นั่นมันไม่เกี่ยวกัน! นั่นมันเรื่องของเนย เนยรับผิดชอบเองได้ คุณนทีมีสิทธิ์อะไรมาสั่ง” น้ำเสียงของอัจฉราเจือไปด้วยความสั่นเครือ แม้ว่าจะพยายามเป็นเข้มแข็ง แต่หัวใจของเธอกลับเต้นไม่หยุด ยังคง

  • นที (โปรด) รัก   บทที่ 18 จูบสั่งสอน [2/2]

    เสียงหัวเราะ ‘หึ’ ดังออกมาจากลำคอ ยอมรับว่าเขาถูกใจไม่น้อยเลยที่ทำให้อัจฉราหางโผล่จนได้ แววตาที่เยือกเย็นหันกลับมามองเธอช้า ๆ เป็นแววตาของนักล่าอย่างไม่ปิดบังเช่นกัน “บ้าเหรอ... หึ... กล้า... กล้าดีนักนะ เนย” สิ้นประโยคฝ่ามือใหญ่ก็กระแทกลงบนแผงควบคุมลิฟต์อย่างจัง เสียงดังจนคนร่างบางสะดุ้งโหยง ถอยหลังไปประชิดกับผนังที่เย็นเฉียบโดยสัญชาตญาณ พร้อมกันนั้นลิฟต์ก็ค้างทันที ชายหนุ่มกดปุ่มหยุดการทำงานเอาไว้ โดยที่สายตาไม่ละไปจากอัจฉราเลย รอยยิ้มร้ายกาจแบบที่น้อยคนจะได้เห็นนักปรากฏขึ้น ขณะที่ร่างสูงใหญ่ค่อย ๆ ก้าวเข้าไปใกล้คนตัวเล็กกว่าที่พยายามชูคอหวังจะฉก แต่มันไม่น่ากลัวเลยแม้แต่น้อยเหมือนลูกแมวที่พยายามข่วนกลับมากกว่า “คุณนที... จะทำอะไร... ถอยออกไปนะ!” อัจฉราส่งเสียงขู่อีกฝ่าย แต่กลับสั่นและไร้น้ำหนักอย่างน่าเจ็บใจ ผู้ชายที่รักและเทิดทูนในใจมาตลอดตอนนี้กลับแยกเขี้ยวใส่ น่ากลัวและพร้อมที่จะกัด หญิงสาวขยับหนีเขาไปเรื่อย ๆ ทั้งที่ไม่มีพื้นที่ให้ไป ก่อนจะต้องตกใจเมื่ออีกฝ่ายเข้ามาประชิดกะทันหัน ปึง! เสียงฝ่ามือหนากระแทกเข้ากับกำแพงข้างศีรษะ แรงพอที่จะทำให้หญิงสาวสะดุ้งสุดตัวและลิฟต

  • นที (โปรด) รัก   บทที่ 18 จูบสั่งสอน [1/2]

    “คุณนที” “.....” “เจ็บไหม... เนยขอโทษนะ” น้ำเสียงหวานแผ่วดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบของรถยนต์ที่ยังคงขับฝ่าฝนไปด้วยความเร็วคงที่ สายตาของหญิงสาวฉายแวววูบไหวเล็กน้อย เมื่อเอ่ยประโยคที่ทั้งถามและขอโทษ ทว่านทีกลับยังคงนิ่งเฉย เขาไม่ตอบคำถามของเธอหรือว่าแสดงปฏิกิริยาอะไรนอกเหนือไปจากความเงียบที่มีเท่านั้น ใบหน้าหล่อยังคงเรียบเฉย แววตาอ่านไม่ออกภายใต้แสงไฟที่สะท้อนผ่านมาเป็นระยะ เผยให้เห็นมุมปากที่มีรอยแผลสด อัจฉรามองเสี้ยวหน้านั้นด้วยความรู้สึกผิดที่ล้นหัวใจ แม้ว่าเมื่อกลางวันจะรู้สึกเคืองเขามากแค่ไหนก็ตาม ทว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ เธอไม่รู้ว่านทีเขาแค่ผ่านมาเพราะความบังเอิญหรือเปล่า แต่สิ่งที่ชัดเจนที่สุดคือเขาต้องมาเจ็บตัวเพราะเธอ ดวงตาสียางไม้สั่นไหวเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงไม่ยอมตอบคำถามของเธอ แทนที่จะเร่งเร้าเขาต่อไป หญิงสาวเลือกที่จะละสายตามองออกข้างทางแทน เธอไม่กล้าแล้ว... แม้จะทั้งความกังวลและห่วงแค่ไหน แต่ก็รู้ตัวดีว่าไม่ได้มีสิทธิ์ไปก้าวก

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status