แชร์

บทที่ 10

ผู้เขียน: อิงเซี่ย
เมื่อมาถึงโรงพยาบาล และหลังจากที่แพทย์เห็นบาดแผลของเธอแล้ว ก็พูดออกมาไม่กี่ประโยคว่าเธอไม่รักร่างกายตัวเอง ปล่อยให้ตุ่มน้ำแตกหมด ถ้าติดเชื้อขึ้นมาจะไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ แล้ว

ซูมั่วก้มหน้าไม่พูดไม่จา พลางมองเท้าของตัวเองที่แดงเถือกและเต็มไปด้วยบาดแผล

ไม่ใช่ว่าเธอไม่รักร่างกายตัวเอง มันเป็น...

เพราะมีใครบางคนไม่คิดจะปล่อยเธอไป

แพทย์ทำการตรวจอำครั้ง พลันพบว่าก้นกบที่บริเวณหลังเอวของสาวน้อยคนนี้ก็ม่วงช้ำอย่างรุนแรง แขนก็ได้รับบาดเจ็บ ทั้งยังร้องไห้จนตาบวมแดงไปหมด นั่งเงียบไม่พูดไม่จาอยู่ตลอด ข้างกายก็ไม่มีใครอยู่ด้วย เหล่านี้มันทำให้เขาอดคาดเดาอะไรบางอย่างไม่ได้ เขาว่า

“เดี๋ยวไปเอกซเรย์หลังเอว ผมจะทำเรื่องนอนโรงพยาบาลให้คุณ อย่าเพิ่งกลับไปเลย”

“ขอบคุณค่ะคุณหมอ” ซูมั่วเอ่ยปาก น้ำเสียงของเธอแหบเล็กน้อย

นอนที่โรงพยาบาลก็ยังต้องให้พยาบาลคอยช่วยเหลือ ด้วยซูมั่วเอนหลังนอนไม่ได้ เธอได้แต่นอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียงพยาบาลเท่านั้น มีหมอนหนุนน่องไว้ ไม่อย่างนั้นก็จะไปโดนบาดแผลบนหลังเท้า

พยาบาลทายาให้เธอจนเสร็จ ตัวยาซึมเข้าไปในเนื้อ ความรู้สึกเย็น ๆ แผ่ซ่านออกมาจากบริเวณบาดแผล บรรเทาความเจ็บปวดอันแสบร้อน

ซูมั่วมองเวลา ตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งทุ่มครึ่งแล้ว เธอปิดโทรศัพท์และหลับตาลง เหนื่อยล้าไปทั้งกายและจิตใจ

เธอไม่อยากไปนึกถึงว่าตอนนี้ทั้งสองคนนั้นไปอยู่ที่ไหน และไม่อยากไปรู้ด้วยว่าพวกเขาพลอดรักหวานชื่นกันอย่างไร ในสมองมีอยู่เพียงความคิดเดียวเท่านั้น

พวกเขาคงหาที่นี่ไม่เจอใช่ไหม? ท้ายที่สุดเธอก็หลับสนิท

ในขณะนั้น

ตอนสองทุ่ม ฟู่อี้ชวนอยู่กินข้าวกับเย่ซินหย่าจนเสร็จ

ตอนสามทุ่ม ฟู่อี้ชวนพาเย่ซินหย่าไปเดินดูเคาน์เตอร์แบรนด์หรู และซื้อของขวัญให้เธออีกหนึ่งกอง

ตอนสี่ทุ่ม ฟู่อี้ชวนเหมาชิงช้าสวรรค์ริมน้ำไว้ เมื่อกระเช้าที่นั่งเคลื่อนตัวไปยังจุดสูงสุด ดอกไม้ไฟพลันผลิบาน สีสันสวยงามละลานตา ทั้งสองคนกอดจูบกัน

คืนนั้น เหล่านักท่องเที่ยวแถวริมแม่น้ำล้วนได้เป็นประจักษ์พยานต่อเหตุการณ์ฉากนี้ ทอดถอนใจว่าคุณชายบ้านไหนมาสารภาพรักกับแฟนสาวกันนะ น่าอิจฉาจริง ๆ

“อี้ชวน พวกเราซื้อกับข้าวกลับไปฝากมั่วมั่วสักชุดเถอะ นายพาฉันออกมาแต่ไม่พาเธอมาด้วย มั่วมั่วต้องเสียใจแน่ ๆ ฉันกลัวว่าเธอจะอดอาหารประชด

“เมื่อก่อนเวลาที่เธอไม่พอใจอะไรก็เป็นแบบนี้ ฉันต้องหาวิธีร้อยแปดพันเก้ามาขอร้องเธอถึงจะกิน” ที่นั่งข้างคนขับ เย่ซินหย่าพูดออกมาด้วยความกลัดกลุ้ม

ที่จะให้ซื้อกับข้าวกลับไปด้วย แน่นอนว่าเป็นการแสร้งทำ เป้าหมายหลักคือการได้กลับบ้านกับฟู่อี้ชวน แบบนั้นจะได้ทำสิ่งที่ยังทำไม่เสร็จในห้องใหญ่เมื่อตอนนั้น

“เขามีกับข้าวที่ทำไว้นี่? โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ยังจะหิวตายได้อีก?” เมื่อพูดถึงซูมั่ว ฟู่อี้ชวนก็หน้าคล้ำดำเขียวทันที ทั้งยังพูดด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย

“เธอจะไปห่วงผู้หญิงแย่ ๆ ที่มีจิตใจร้ายกาจแบบนั้นทำไม เมื่อวานทำเธอถูกน้ำร้อนลวกจนบาดเจ็บ วันนี้ก็คว้ามีดมาจะฆ่าเธออีก ถ้าฉันเข้าไปไม่ทัน ก็ไม่รู้ว่าเธอจะถูกฟันจนบาดเจ็บแค่ไหน?” ฟู่อี้ชวนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

เย่ซินหย่าได้ยินแบบนั้นก็เงียบไปสักพัก จากนั้นถึงได้พูดออกมาด้วยเสียเบาหวิวว่า

“ตอนเด็ก ๆ ที่อยู่ในบ้านเด็กกำพร้า พวกเราสองคนต่างพึ่งพาซึ่งกันและกัน ไม่ว่าเธอจะทำตัวแบบไหนกับฉัน แต่เธอก็ยังเป็นญาติสนิทของฉัน”

ฟู่อี้ชวนได้ฟังก็ปวดแปลบในใจ ซินหย่าเป็นคนดีขนาดนี้ สุดท้ายกลับถูกซูมั่วทำร้ายด้วยสารพัดวิธี เรื่องดำเนินมาถึงตอนนี้แล้วก็ยังเห็นเธอเป็นญาติอยู่อีก...

“ผู้หญิงแบบนั้นไม่คู่ควรหรอก ต่อไปฉันจะเป็นญาติสนิทของเธอเอง” ฟู่อี้ชวนเอ่ยปากพูดออกไปด้วยความอยากปกป้องที่แน่นทะลักอยู่เต็มอก

พอได้ยินคำพูดนี้แล้ว เย่ซินหย่าก็หันไปมองเขาทันที ความดีใจและตื่นเต้นทอประกายอยู่ในดวงตา ทว่าก็หายไปในชั่วพริบตา เธอพูดออกมาอย่างเศร้าสร้อยว่า

“ฉันกับนายน่ะไม่ได้หรอก ตอนนี้มั่วมั่วเป็นภรรยาของนาย... ฉันแย่งคนของเธอมาไม่ได้”

“ทั้งที่เธอเป็นคนแย่งทุกสิ่งทุกอย่างไปจากเธอแท้ ๆ!” ฟู่อี้ชวนเสียงดังขึ้นไม่น้อย

“คุณนายฟู่ควรเป็นเธอต่างหากถึงจะถูก!”

ครั้นได้ยินคำพูดนี้ ภายนอกเย่ซินหย่าทำเป็นเผยสีหน้าเจ็บปวดระคนเสียใจออกมา ทว่าในใจกลับกระตุกยิ้มมุมปาก

ซูมั่วพูดเรื่องหย่าแล้ว แต่ฟู่อี้ชวนไม่ตกลง แม้จะบอกว่าเป็นการแก้แค้น แต่เธอก็ปล่อยให้ซูมั่วครองฐานะนั้นต่อไปไม่ได้ ดังนั้น...

เธอต้องบังคับให้ฟู่อี้ชวนเป็นฝ่ายขอหย่า

“ขอแค่ในใจของอี้ชวนมีฉันอยู่ ฉันก็พอใจแล้ว มั่วมั่วต่างหากที่แต่งงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย” เย่ซินหย่าเอ่ยปาก น้ำเสียงดูเศร้าสร้อย บอบบางน่าสงสาร

ฟู่อี้ชวนได้ฟังก็อยากจะพูดออกไปว่าหย่าแล้วจะมาแต่งกับเธอโดยไม่รู้ตัว ทว่าพอคำพูดเหล่านั้นมาถึงปากแล้วเขาก็กลืนมันลงไปอีกครั้ง มือทั้งสองข้างกำพวงมาลัยรถแน่น

รออยู่สักพัก ทว่าไม่มีการตอบรับจากอีกฝ่าย เย่ซินหย่าจึงกัดปาก ในดวงตาพลันปรากฏความเคียดแค้นและไม่ยินยอม

“จอดตรงด้านหน้าสักหน่อยเถอะ ฉันจะไปซื้อปลาต้มน้ำไปให้มั่วมั่ว เธอชอบกินที่สุดเลยละ” สุดท้ายเย่ซินหย่าก็เป็นฝ่ายพูดออกมา และเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น

ความคิดถูกเบี่ยงไปเรื่องอื่น ฟู่อี้ชวนมองเธอที่ใจดีมีเมตตาขนาดนี้ ในสมองพลันปรากฏภาพที่ซูมั่วถูกเขาผลักล้มอยู่ที่ห้องครัว

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเรื่องแรกหรือเรื่องหลังที่รบกวนจิตใจ สุดท้ายเขาก็จอดรถไปซื้อข้าว

ทว่าความเป็นจริงกลับไม่ได้เป็นไปตามแผนที่เย่ซินหย่าวางไว้ เพราะพอฟู่อี้ชวนซื้อข้าวแล้วก็พาเธอมาส่งที่โรงแรมทันที ไม่ได้พาเธอกลับไปบ้านด้วย

“รีบ ๆ นอนละ เจอกันพรุ่งนี้” ฟู่อี้ชวนยีผมของเธอเล็กน้อย พลางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

เย่ซินหย่าพยายามฝืนยิ้มน้อย ๆ ออกมา มองชายหนุ่มขับรถจากไป เธอกัดฟันขาว ๆ พลางกระทืบเท้าจนส้นของรองเท้าส้นสูงแทบหัก

รถเคลื่อนเข้าไปในโรงจอดรถ ขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นบน ฟู่อี้ชวนก้มหน้ามองกับข้าวที่ถืออยู่ในมือ แล้วนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่ซูมั่วเสียสติสาดน้ำใส่เขาขึ้นมา

ถ้าไม่ใช่เพราะซินหย่ายืนกราน เขาคงไม่มีทางซื้อข้าวมาให้ซูมั่วแน่ ปล่อยให้เธออดตายไปนั่นแหละ

เปิดประตูแล้วเข้าไปด้านใน ทว่าครั้งนี้ ที่ห้องรับแขกยังคงมืดสนิท

“ซูมั่ว! ตายหรือยัง? อยู่บ้านแล้วไม่คิดจะเปิดไฟหรือไง?” ฟู่อี้ชวนพูดเสียงดังลั่นด้วยความโมโห

ไม่มีคนตอบเขา

ฟู่อี้ชวนโมโหหนักยิ่งกว่าเดิมทันที หลังเข้าไปและเปิดไฟแล้ว ก็วางกับข้าวไว้ที่ห้องครัวก่อน ถึงได้เห็นว่าในครัวสะอาดสะอ้าน แสดงว่าซูมั่วอยู่ที่บ้าน

เขาเดินหน้าดำคล้ำเครียดไปหน้าประตูห้องนอนแขก เสียงตบประตูในครั้งนี้แทบจะทำให้ประตูพังอยู่รอมร่อ ทว่าตะโกนเรียกอยู่ครั้งสองครั้งแล้วก็ยังไม่มีใครตอบ เขาเลยระเบิดอารมณ์คว้ากุญแจมาเปิดประตูเข้าไปทันที

“เธอทำอะไรอยู่ข้างใน..” บานประตูถูกเปิดออกในทันที ทว่าคำพูดที่พ่นออกมาครึ่งหนึ่งแล้วกลับหยุดค้างขึ้นมา

เพราะในห้องว่างเปล่า

“ดี ดีมาก ไม่นึกเลยว่าจะกล้าหนีออกจากบ้าน!” ฟู่อี้ชวนกำหมัด ตอนนี้ความโมโหพุ่งขึ้นสูงจนถึงเพดานเลยทีเดียว
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 460

    แต่เมื่อดูจากผลแพ้ชนะคืนนี้แล้ว ดูเหมือนเธอจะกังวลมากเกินไปนอกจากเพื่อนสนิทจะถูกเอาเปรียบไปบ้าง ก็ถือเป็นว่าทำผลงานได้ดีที่สุดในงานซูมั่วคุยเป็นเพื่อนเธอ จนกระทั่งเธอกลับถึงบ้าน จึงเพิ่งวางสายหลีโย่วเข้าบ้าน สีหน้าที่โกรธเกรี้ยวทั้งหมดถูกเก็บไว้ หลังจากตอบแม่แบบส่ง ๆ ก็ขึ้นไปชั้นบนหลีเชินโผล่มาตรงหน้า ถือแก้วน้ำอยู่ แล้วถาม“เป็นยังไงบ้าง? คืนนี้มีแขกผู้ชายที่ถูกใจไหม?”หลีโย่วตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย “พี่ พี่รู้ไหมว่าพี่เหมือนอะไร?”หลีเชิน “?”“เหมือนแม่เล้าที่คอยเรียกลูกค้าให้พวกสาว ๆ ในสมัยโบราณมากเลย” หลีโย่วพูดด้วยรอยยิ้มหลีเชิน “...”“ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ ฉันเป็นห่วงเธอ และคิดถึงอนาคตที่มีความสุขของเธออยู่นะ” หลีเชินพูด“เธอคิดว่าถ้าเธอชอบใครแล้วฉันจะยอมให้เธอแต่งงานเลยเหรอ? ฉันยังต้องไปตรวจสอบด้วยตัวเองก่อน ถ้าไม่ผ่านด่านฉันก็ไม่ได้”หลีโย่วเบะปาก ไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ขณะที่กำลังจะเดินจากไป ก็ได้ยินพี่ชายเธอถามอีกครั้ง“คืนนี้เจิ้งเซวียนก็ไปงานเลี้ยงเรือสำราญนั่นด้วย พวกเธอเจอกันไหม?”“เจอกัน” หลีโย่วตอบ“ไม่ได้เจอกันหกปี เลยคุยกันเรื่อยเปื่อย หลังจากฉันกลับมาเขาก

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 459

    ยิ่งไปกว่านั้นเธอก็ไม่จำเป็นต้องแกล้งเขา และเขาก็ไม่ได้ทำอะไรผิดต่อเธอด้วยคิดดูแล้ว ดูเหมือนว่าทุกการกระทำ และทุกคำพูดของหลีโย่วก็ล้วนไม่ได้มีปัญหาความแปลกใจตอนที่เห็นตนปรากฏตัว ก็เพราะว่าจำเขาได้ จึงเดินตามเขาออกไปทันทีตนยื่นน้ำผลไม้ให้เธอ เธอก็รับไปดื่มอย่างไม่มีความระแวดระวัง เพราะรู้ว่าเขาจะไม่ทำร้ายเธอบอกว่าไม่ได้คบใคร บอกว่ามีพี่ชายที่เข้มงวด แล้วยังบอกว่าเขาอายุเท่า ๆ กับพี่ชายของเธอ ทุกอย่างก็สอดคล้องกันหมดเจิ้งเซวียน ‘...เพราะงั้นเป็นเขาเองที่มีปัญหา ใครใช้ให้ไม่ถามชื่ออีกฝ่ายก่อนล่ะ? กลับตั้งใจหว่านเสน่ห์แล้วค่อยถามอีกที’ที่ผ่านมาจีบหญิงไม่เคยพลาด ในที่สุดวันนี้ก็พลาด เหมือนคนเดินอยู่ริมน้ำ รองเท้าจะไม่เปียกได้ยังไง?เจิ้งเซวียนปิดหน้าอย่างหมดแรง สุดท้ายผ่านไปสิบนาทีเต็ม ๆ เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็สตาร์ตรถเตรียมตัวกลับบ้านสิ่งเดียวที่ทำให้เขาสบายใจได้ก็คือหลีโย่วจะไม่บอกพี่ชายของเธอ และเขาก็ไม่ต้องไปเผชิญหน้ากับเพื่อนสนิทตัวต่อตัวแล้วถูกจัดการขณะเดียวกัน บนถนนที่กว้างขวางรถเฟอร์รารีเปิดประทุนขับเร็วมาก ทับเส้นจำกัดความเร็วเสียงลมหวีดหวิวข้างหู ก็ยังไ

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 458

    “ไปให้พ้นเลย เอาแต่พูดเรื่องไม่ดีอยู่ได้” หวังคุนด่าพลางยิ้มเจิ้งเซวียนมองหลีโย่ว แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแบบพี่ชายพูด“เสี่ยวโย่วจื่อก็อยู่เล่นที่นี่ต่อเถอะ ฉันไปก่อนนะ วันหลังจะนัดรวมตัวกับพี่ชายเธอด้วย”“ฉันก็จะไปเหมือนกันค่ะ อยู่นานพอสมควรแล้ว ไปรายงานพี่ชายได้แล้วค่ะ” หลีโย่วยิ้มอย่างซุกซนเจิ้งเซวียนเข้าใจว่าคำพูดนี้หมายความว่าอะไร สรุปคือวันนี้หลีเชินบังคับให้เธอมางานนี้นึกถึงตอนที่เธอบอกว่าวันหยุดสุดสัปดาห์ออกไปข้างนอกคนเดียวไม่ได้ พี่ชายเธอเข้มงวดมาก ซึ่งก็ตรงกับนิสัยของหลีเชินจริง ๆ เพราะงั้น...ทำไมเขาถึงนึกเชื่อมโยงไม่ได้ตั้งแต่แรกกันนะ?ในใจเจิ้งเซวียนเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย รู้สึกว่าวันนี้ออกจากบ้านไม่ได้ดูฤกษ์ดูยาม เขาไม่ได้ขายหน้าขนาดนี้มานานแล้วจริง ๆ แถมยังเป็นต่อหน้าน้องสาวอีก...“งั้นเดี๋ยวฉันไปส่งเธอกลับบ้านนะ” เจิ้งเซวียนเก็บความคิด และพูดด้วยรอยยิ้มบาง“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันขับรถมาเอง แต่เราออกไปพร้อมกันก็ได้ค่ะ” หลีโย่วพูดทั้งสองคนเดินคู่กันออกมาจากงาน ลงจากเรือสำราญ จากนั้นก็ไปที่ลานจอดรถในช่วงเวลานี้ มีแค่เสียงพื้นรองเท้าที่ก้าวเดินของทั้งคู่เท่านั้น

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 457

    เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องอะไรกับ...หลีเชินเขาหันคอที่แข็งทื่อไปช้า ๆ มองใบหน้าที่แฝงด้วยรอยยิ้มหวานจาง ๆ ของหญิงสาวกระแสเวลาที่ยาวนานหกปีเหมือนย่อลงในชั่วขณะนี้ ภาพของหญิงสาวที่สดใสมีเสน่ห์ตรงหน้า ซ้อนทับกับเด็กสาวที่สวมแว่นกรอบดำทั้งยังอวบเล็กน้อยเมื่อสมัยมัธยมปลายเขาก็ว่าอยู่ว่าทำไมตอนนั้นถึงรู้สึกคุ้นตานัก ที่แท้ก็เพราะสาเหตุนี้...“หลี...หลีโย่ว” จ้องมองอย่างนิ่งงันไปหลายวินาที เจิ้งเซวียนจึงเพิ่งพูดอ้ำอึ้งอย่างตกตะลึงเห็นเพียงหญิงสาวพยักหน้า รอยยิ้มบนใบหน้าที่ยิ่งหวานและจริงใจ กลับทำให้หัวใจของเจิ้งเซวียนกระตุก ต้องฝืนรักษารอยยิ้มไว้อย่างยากลำบาก ไม่ให้กระอักเลือดออกมาการจีบสาวในวันนี้ไม่ใช่แค่ล้มเหลว แต่โคตรจะล้มเหลวเพราะเหตุไม่คาดฝันหลีโย่ว เสี่ยวโย่วจื่อ เด็กสาวคนนั้นที่เขามองว่าเป็นน้องสาวมาตลอด ผลคือเขากลับ...หยอดเธอ อยากจีบเธอมาเป็นแฟนจิตสำนึกถูกประณาม เขาถูกตอกตรึงไว้บนเสาแห่งความอับอายทางศีลธรรมแต่เขารู้สึกว่าตนคงไม่ต้องรอให้ถูกจิตสำนึกของตัวเองฆ่าตายหรอก เพราะถ้าหลีเชินรู้ว่าเขาจะจีบน้องสาวของอีกฝ่าย คงฟันตนตายก่อนในมีดเดียวแน่“เสี่ยวโย่วจื่อ...” เจิ้งเซ

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 456

    “เธอเรียนเต้นมาตั้งแต่เด็กเลยเหรอ? รู้จักการเต้นหลายประเภทแถมยังเชี่ยวชาญหมดเลยด้วย เหมือนเป็นนักเต้นมาตั้งแต่เกิดเลย”“ฉันเคยเต้นกับคู่เต้นผู้หญิงคนอื่นนะ แต่ท่วงท่าของพวกเธอไม่คล่องแคล่วเท่าเธอ และยิ่งไม่มีชีวิตชีวาเหมือนเธอด้วย”“ตอนเพลงเร็วจังหวะเธอก็ดีมาก เข้าถึงอารมณ์เพลงได้เร็ว รอยยิ้มก็สดใสเปล่งประกาย เหมือนสาวน้อยชาวทิเบตที่มีความกระตือรือร้นใต้ภูเขาหิมะเลย”......เขาชม แต่หญิงสาวไม่ได้ตอบกลับ รู้ว่าอีกฝ่ายอาย เขาก็ไม่ได้เป็นฝ่ายเปิดโปงในฐานะนักล่าฝ่ายรุกคนหนึ่ง เมื่อบรรยากาศค่อย ๆ คืบหน้า มือซ้ายของเขาก็ขยับเล็กน้อย แล้วเป็นฝ่ายจับมือที่นุ่มนิ่มของอีกฝ่ายในขณะเดียวกันมืออีกข้างที่โอบหลังเอวไว้หลวม ๆ ก็วางลงไปอย่างแผ่วเบา พร้อมพาเธอหมุนวงใหญ่รอบหนึ่งเมื่อเพลงวอลซ์จบลง ทั้งสองคนเข้าขากันได้อย่างสมบูรณ์แบบ รับลมทะเล และพูดคุยเรื่อยเปื่อย ตอนนี้คืบหน้าไปอีกก้าวแล้ว“อายุเท่าไรแล้ว?” เจิ้งเซวียนถาม “ยังเรียนอยู่หรือเปล่า?”“ยี่สิบสี่แล้ว” หญิงสาวตอบเจิ้งเซวียนแปลกใจเล็กน้อย แล้วพูด“ดูไม่ออกเลยจริง ๆ ฉันนึกว่าเธอเพิ่งบรรลุนิติภาวะ ยังเป็นนักศึกษาอยู่ซะอีก”ประโยคน

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 455

    “ดื่มเถอะ ฉันเป็นคนซื่อตรง ไม่ใช้วิธีต่ำทรามแบบนั้นหรอก”หญิงสาวได้ยินแบบนี้ก็จิบสองอึกจนชุ่มคอ จากนั้นก็นั่งลงเงียบ ๆ“เมื่อกี้มองออกว่าเธอเหนื่อยกับการรับมือ ถึงแม้พวกเราจะไม่ได้นัดแนะกันมาก่อน แต่กลับร่วมมือกันได้ดีทีเดียว” เจิ้งเซวียนพิงราวกั้นพลางมองเธอแล้วพูด“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวเอ่ยเสียงของเธอแผ่วลงเล็กน้อย เจิ้งเซวียนที่ฟังความผิดปกติไม่ออก ยิ้มบางและพูด“แค่ช่วยเหลือเล็กน้อย ช่วยเธอได้ฉันก็ดีใจ”บทสนทนาดูเหมือนจะจบลงตรงนี้ แต่เจิ้งเซวียนเป็นใคร เขาสร้างหัวข้อสนทนาได้ง่ายเหมือนจับวางอยู่แล้ว“ฉันเห็นการเต้นเพลงแรกของเธอ จังหวะแปดนับที่สาม ถ้าหมุนเพิ่มอีกครึ่งรอบอาจจะสวยกว่านี้นะ” เขาพูดเขาไม่ได้ใช้ถ้อยคำสวยหรูเพื่อชมเอาใจเธอ และยิ่งไม่ได้บอกว่าท่าเต้นของเธอได้มาตรฐานแค่ไหน และรูปร่างของเธอเย้ายวนแค่ไหนแต่ชี้ให้เห็นถึง ‘ปัญหา’ ราวกับกำลังพูดเรื่องการเต้นรำอย่างบริสุทธิ์ใจเพราะวิธีจีบผู้หญิงที่ไม่เคยมีความรักกับผู้หญิงที่เคยมีความรักนั้นแตกต่างกันมาก การชมอย่างผลีผลามและเจตนาที่ชัดเจนเกินไปมีแต่จะทำให้อีกฝ่ายตกใจจนหนีไปกลับกันการชี้แนะอย่างจริงใจ และรุกอย่างช้า ๆ จ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status