ชายสี่คนเดินตามอีถงและลู่หลิงที่พาเดินเข้ามาลึกพอสมควร ก่อนที่นางทั้งสองจะหยุดเดิน แล้วหันกลับมาแสยะยิ้มให้พวกเขา จากใบหน้าที่ปกติยามนี้เนาะเฟะมีหนอนชอนไช ดวงตาหลุดออกมานอกเบ้า ชายทั้งสี่ตาเหลือกถลนกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า ก่อนจะพากันร้องลั่นด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะพากันวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต พอหยุดพักหายใจ ก็เห็นร่างวิญญาณที่น่าเกลียดน่ากลัวมาอยู่ตรงหน้า พวกเขาหวาดกลัวจนหมดสติ อีถงและลู่หลิงจึงเดินออกไปหากลุ่มที่ยืนรออยู่
“นายท่าน” พวกเขาอีกหกคนหันมาตามเสียง ก็ถึงกับผงะกับใบหน้าที่น่าเกลียดน่ากลัวของนางทั้งสอง พอหันมามองชายที่ยืนอยู่กับเด็ก ยามนี้เขาก็ดึงคอออกจากหัวอย่างช้า แล้วโยนเล่นไปมา ส่วนเด็กน้อยก็ยืดมืออันแสนยาวเหยียดขึ้นไปโหนต้นไม้ แกว่งไกวตนเองไปมา ชายทั้งหกคนหมดสติไปทันทีด้วยความกลัว ก่อนปิงปิงจะรีบไปส่งข่าวกับว่านชิงอี ไม่นานกลุ่มของท่านอ๋องก็มาถึง “พวกเจ้าทำได้ดีมาก” ว่านชิงอีเอ่ยชม มีผู้ช่วยเป็นวิญญาณก็ดีแบบนี้ไม่ต้องเปลืองแรง “อู่ถงจับมัดพวกเขาเอาไว้ ส่งคนไปแจ้งทางการให้มาเอาตัวพวกเขาไป บอกองค์ชายซีห่าวให้ส่งคนมาช่วยข้ามากหน่อย อีกอย่างบอกองค์ชายซีห่าวชายสิบคนนี้ ข้ากลับไปจะไปไต่สวนด้วยตัวเอง “พ่ะย่ะค่ะ” พอไปถึงหมู่บ้านตงซานก็เป็นเวลาใกล้ค่ำแล้วหัวหน้าหมู่บ้านออกมาต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี เขาเอ่ยขอโทษขอโพยที่ไม่ได้ไปด้วยตนเอง เพราะตัวเขาก็มีอาการไม่สบายจึงไม่สามารถเดินทางไกลได้ ก่อนจะเชื้อเชิญท่านอ๋องและท่านหญิง ให้เข้าพักที่เรือนของเขา “เรือนของกระหม่อมไม่ได้ใหญ่โตมากนัก ขอประทานอภัยในความไม่สะดวกด้วยพ่ะย่ะค่ะ” “ท่านอ๋อง ท่านหญิง หม่อมฉันมีห้องว่างที่เตรียมไว้เพียงหนึ่งห้อง ไม่ทราบว่าท่านอ๋องกับท่านหญิง จะสะดวกพักร่วมกันได้หรือไม่เพคะ” นางเป็นสตรีที่อยู่ในกลุ่มของสี่คนที่ไปขอความช่วยเหลือ คาดว่าน่าจะเป็นภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้าน “เจ้าไม่ต้องกังวลข้าอยู่ได้ ว่าแต่ท่านหัวหน้าหมู่บ้านได้ให้หมอมาตรวจอาการหรือไม่?” “ตรวจแล้วแต่ท่านหมอก็ไม่ทราบสาเหตุพ่ะย่ะค่ะ” “แล้วคนส่วนใหญ่ที่เสียชีวิตเป็นบุรุษหมดเลยหรือ?” “พ่ะย่ะค่ะ” “แล้วตอนนี้ใครมีอาการแย่สุด?” “บุตรชายของหม่อมฉันเพคะท่านหญิง นอนป่วยได้เจ็ดวันแล้วเพคะ” หญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งเข้ามาคุกเข่าด้วยน้ำตา “พาข้าไปดูที ท่านอ๋องไปดูกันเพคะ” ว่านชิงอีเผลอจับมือเขา แล้วเดินจูงมือไปด้วยกันอย่างลืมตัว เขาเองก็ปล่อยให้นางจูงมือโดยไม่ปริปากใดๆ ฮุ่ยเจียงและอู่ถงมองหน้ากันด้วยความเขินแทนนายของตน “พอมาถึงบ้านหลังหนึ่ง ว่านชิงอีก็เดินตามหญิงคนนั้นเข้าไป แต่ก็ต้องชะงักกับกลิ่นสาบบางอย่าง และยังมีหมอกควันไอความชั่วร้าย ลอยกระจายไปทั่วบริเวณ พอเข้าไปในห้องก็เห็นชายผู้หนึ่งนอนอยู่บนเตียง ข้างกายมีสตรีผมยาวลากพื้น หันมามองการมาของนางอย่างไม่ใส่ใจ ว่านชิงอีเห็นแค่นี้ก็พอเดาออก ว่านางคงจะมารอรับวิญญาณของร่าง “เจ้ามารอรับวิญญาณของเขาหรือ?” วิญญาณตนนั้นเมื่อรู้ว่าว่านชิงอีมองเห็นตนก็ชะงัก “ชายผู้นี้ใกล้ตายแล้ว ข้าต้องการวิญญาณของเขาไปให้นายท่าน” “เจ้าไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยหรือเขาใกล้ตายแต่ยังไม่ตาย หากข้าไม่อนุญาตใครก็เอาวิญญาณเขาไปไม่ได้!” วิญญาณตนนั้นหันมาจ้องมองว่านชิงอีด้วยใบหน้าถมึงทึง ก่อนจะพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว เพื่อจะบีบคอของว่านชิงอี แต่แค่เพียงเข้าใกล้ว่านชิงอี วิญญาณตนนั้นก็ต้องผงะลอยกระเด็นออกไป ด้วยความปวดแสบปวดร้อน “เจ้าเป็นใครเหตุใดถึงมีพลังแข็งแกร่งถึงเพียงนี้?” “ข้าเป็นใครนะรึ? ข้าก็คือคนที่จะมาเอาวิญญาณของเจ้านะสิ เป็นเช่นไรเคยแต่เอาวิญญาณผู้อื่น คราวนี้มาถูกข้าเอาวิญญาณเจ้าบ้างกลัวหรือไม่?” “ไม่มีทาง!” วิญญาณตนนั้นเตรียมท่าจะหนี ปิงปิงก็ยื่นสายสิญจน์อาคมให้ว่านชิงอีอย่างรู้งาน ว่านชิงอีใช้พลังโยนสายสายสิญจน์ออกไป จากนั้นสายสิญจน์ก็กลายเป็นเชือกเส้นใหญ่ ไปมัดร่างของวิญญาณตนนั้นไว้อย่างแน่นหนา “ปล่อยข้านะ!นายของข้าไม่มีทาปล่อยเจ้าแน่”วิญญาณตนนั้นคำรามออกมาอย่างกราดเกรี้ยว “สายสิญจน์จงรัดให้แน่น” พอนางเอ่ยจบสายสิญจน์ที่กลายเป็นเชือกก็เริ่มรัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนร่างของวิญญาณตนนั้นสิ้นสติ ว่านชิงอียกมือขึ้นมาร่างของวิญญาณก็หดเล็กลง ก่อนจะลอยเข้าไปอยู่ในย่าม ที่ปิงปิงสะพายอยู่ข้างตัว ว่านชิงถอนใจออกมาก่อนจะนั่งลงข้างเตียง ปิงปิงมายืนข้างนางเช่นกัน ก่อนจะวางมือลงบนหน้าผาก ปล่อยพลังไอสีทองให้เขา ว่านชิงอีหยิบยาที่นางได้ทำไว้ ยัดใส่ปากของชายผู้นั้น ก่อนจะลุกออกมายืนข้างเหว่ยอ๋อง “เขาปลอดภัยแล้วเพคะ” เหว่ยอ๋องถอนใจออกมาอย่างผ่อนคลายและโล่งอก ว่านชิงอียื่นยันต์ป้องกันให้กับสตรีนางนั้น “ให้ลูกชายเจ้าพกติดตัว ตัวเจ้าก็พกติดตัวด้วย ว่าแต่ครอบครัวเจ้ามีกันกี่คน?” “ห้าคนเพคะ” “งั้นเอาไปห้าอัน มันเป็นยันต์ป้องกันภูตผีปีศาจได้ ลูกชายเจ้าปลอดภัยแล้ว ไม่นานก็คงฟื้น ข้าคงต้องขอตัวก่อน” จู่ๆ คนในครอบครัวและสตรีนางนั้น ก็คุกเข่าคำนับให้นางอย่างซาบซึ้งในบุญคุณ “ลุกขึ้นเถิด” ว่านชิงอีบอกให้พวกเขาลุกขึ้น ก่อนจะเดินออกไปตามด้วยเหว่ยอ๋องและองครักษ์ พอกลับมาที่เรือนของหัวหน้าบ้านหมู่บ้าน นางก็เห็นสตรีหลายนางกำลังจัดเตรียมอาหาร การแต่งตัวแต่ละคนถือว่าดีและงดงาม สตรีแต่ละนางดูงดงามสมวัย น่าจะอายุมากกว่าร่างนี้สองถึงสามปี ว่านชิงอีแอบเบ้ปาก ก็ไม่เห็นต้องเล่นใหญ่ขนานนี้เลย ก็แค่กินอาหาร แต่เอะ!ในยุคจีนโบราณบุรุษมีภรรยาได้หลายคน และยิ่งเป็นคนของราชวงศ์ สตรีมากมายยอมแม้เป็นได้แค่อนุ ยิ่งหน้าตาหล่อเหล่าสง่างามเช่นท่านอ๋อง สตรีคงอยากไปเป็นกระทั่งบ่าวรับใช้ “ท่านอ๋อง ท่านหญิง หม่อมฉันเตรียมอาหารเสร็จแล้วเพคะ” “อืมขอบใจ ท่านอ๋องให้องครักษ์มากินด้วยกันเถิดเพคะ จะได้รีบพักผ่อน” “พวกเจ้าก็มากินพร้อมกัน” องครักษ์มองหน้ากัน ท่านหญิงนางไม่ถือตัวเลยสักนิด เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ร่วมโต๊ะกับผู้สูงศักดิ์ ว่านชิงอีนั่งลงข้างเหว่ยอ๋องก่อนจะคีบอาหารให้เขาอย่างเอาใจ บรรดาสตรีที่ถูกคัดสรรมาในค่ำคืนนี้เหลือบตามอง เหว่ยอ๋องอยู่เป็นระยะๆ บุรุษผู้นี้ช่างหล่อเหล่าและสง่างามสมกับเป็นเชื้อพระวงศ์ ร่างกายสูงใหญ่ดังบุรุษยอดนักรบในตำนาน หากเขาเรียกให้ไปรับใช้คงดีไม่น้อย แต่ว่าท่านหญิงเหตุใดถึงสนิทสนมกับท่านอ๋องถึงเพียงนี้ ท่านอ๋องเองก็ดูเกรงใจ และเอาใจนางอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าทั้งสองกำลังคบหาดูใจกันอยู่ใช่หรือไม่? ก่อนบุตรสาวของหัวหน้าหมู่บ้านจะนำสุรามารินให้ทุกคน ว่านชิงอีสังเกตว่านางชายตามองเหว่ยอ๋องอยู่ตลอดเวลา แต่เหว่ยอ๋องก็เหมือนไม่ใส่ใจสิ่งใด บุรุษผู้นี้ช่างเย็นชาเสียจริง “ขอประทานอภัยเพคะท่านอ๋อง หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจ เดี๋ยวหม่อมฉันจะไปนำผ้า..” นางพูดยังไม่ทันจบเหว่ยอ๋องก็เอ่ยขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ไม่เป็นไรข้าอิ่มแล้ว ท่านหญิงท่านอิ่มหรือยัง?” “อิ่มแล้วเพคะ” “งั้นไปกันเถอะ” เขาคว้ามือนางมากุมแล้วพาเดินออกไปทันที เขารู้ว่าสตรีนางนั้นตั้งใจยั่วยวนเขา เขาเห็นสตรีและนางกำนัลในวังหลวงมาเยอะ แค่ปรายตามองเขาก็ดูออกว่านางคิดเช่นไร มารยาสตรีเขาเห็นจนเอือมระอา แต่ว่าต่างกันกับว่านชิงอี ถึงแม้จะรู้ว่านางหยอกเย้าและเกี้ยวพาเขาก็ตาม แต่เขากลับมองว่ามันช่างน่ารักน่าเอ็นดู และเขาก็รู้มีความสุขและอารมณ์ดีทุกครั้งที่นางทำเช่นนั้นดึกสงัดในค่ำคืนเดือนมืด ว่านชิงอีและพี่สาวอีกสองคนของนางก็ยังไม่พากันเตรียมตัวเข้านอน เพราะว่านชิงอีไหว้วานให้พี่สาวทั้งสอง ช่วยพับยันต์ที่นางเขียนขึ้นมามากมาย เพราะอีกไม่นานจะเป็นเทศกาลปีใหม่ ว่านชิงอีจึงอยากจะทำไว้แจกผู้คน แต่ในความรู้สึกส่วนตัวลึกๆ นางมีลางสังหรณ์ว่าจะมีเรื่องราวไม่ดีเกิดขึ้น นางจึงคิดว่าหากมียันต์ป้องกันภูตผีพกติดตัวกันเอาไว้ ก็อาจจะพอช่วยอยู่ได้บ้างแม้จะไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย ว่านชิงอีปรายตามองปิงปิงที่นอนเล่นอยู่บนเตียงของนาง ส่วนดวงวิญญาณอีกสามดวงนั่งอยู่อีกมุมหนึ่ง “เหตุใดเจ้าถึงต้องทำเยอะขนานนี้กัน? ว่านชิงหลานเริ่มรู้สึกเบื่อ เพราะนั่งทำมาหลายชั่วโมงแล้ว เสี่ยวหมานพยักหน้าเห็นด้วยที่ เพราะนางก็เริ่มเมื่อยมือเช่นเดียวกัน “งั้นพี่ใหญ่พี่รองก็ไปนอนเถิดเจ้าค่ะ วันหลังคอยมาพับใหม่” ว่านชิงอีมองเห็นความเหนื่อยล้าของพี่สาวทั้งสอง จึงรีบบอกให้ไปพักผ่อนเสียง “ถ้าเช่นนั้นข้าไปก่อนนะ” ว่านชิงหลินและว่านชิงหลานรีบเอ่ยลา เพราะร่างกายเริ่มล้าและง่วงนอนเต็มที หลังจากพี่สาวของนางจากไปไม่นาน จู่ ๆ ลมก็พัดอย่างรุนแรงคล้ายจะมีลมฝน แต่กลิ่นที่มาพร้อมกับล
ทางด้านสามตระกูลใหญ่ ที่ยามนี้มารวมตัวกันอยู่ที่จวนของตระกูลกู้ เพื่อรอฟังข่าวว่าวันนี้ท่านหญิงจะเป็นเช่นไร เมื่อมีข่าวออกมาว่าผู้คนได้ไปรวมตัวกัน ที่หน้าสำนักงานหน่วยสืบสวนเพื่อเรียกร้องให้จับท่านหญิง มาเผาไฟต่อหน้าทุกคน ฝ่ายกรมยุติธรรมเมื่อถูกกดดันจากราษฎร จึงต้องเข้าไปตรวจสอบ เพื่อความสบายใจให้แก่ทุกคน แม้ว่าเรื่องนี้ฟังดูแล้วข้อกล่าวหาอาจดูเกินจริง และดูเหมือนใส่ร้ายท่านหญิงจนเกินไป แต่เนี่ยนเจินกรมยุติธรรมก็ต้องทำตามหน้าให้ดีที่สุด สร้างความพอใจให้กับสามตระกูลใหญ่เป็นอย่างมาก พวกเขาจึงนัดกันมานั่งจิบชา รอฟังข่าวอยู่ที่จวนเสนากู้ สามฮูหยินและคุณหนูทั้งสามต่างพากัน พูดคุยอย่างอารมณ์ดี พวกนางคิดว่าอย่างไรวันนี้ท่านหญิงก็คงไม่รอด เพราะเหตุการณ์วันนั้นหลายคนเห็นกับตาตนเอง ว่านางสามารถสร้างภาพลวงตาทำให้ผู้คนหวาดกลัว ข้อกล่าวหาว่านางเป็นปีศาจไม่ดูเกินจริงเลยสักนิด “รายงานขอรับ” บ่าวจวนเสนาบดีกู้รีบเข้ามารายงาน หลังออกไปเกาะติดสถานการณ์ เกี่ยวกับท่านหญิงมาทั้งวัน เมื่อได้ยินเสียงตะโกนบอกของบ่าวที่มารายงาน ทุกคนก็ตั้งอกตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ “เรียนท่านเสนาตอนนี้ผู้คนที่รวมตัวกัน ไป
ทางด้านเหว่ยอ๋องพอกลับมาถึงเมืองหลวง เขาและว่านชิงอี ก็ได้แวะที่สำนักงานสืบสวนคดีก่อนเป็นที่แรก เพราะอยากรู้เรื่องที่ให้จับคนร้ายมาขังเพื่อรอไต่สวน แต่กลับต้องผิดหวังเมื่อ องค์ชายซีห่าวบอกว่า นักฆ่าทั้งสิบคนถูกลอบสังหารฆ่าปิดปากจนหมด “เจ้าว่าอย่างไรนะ!” เหว่ยอ๋องแผดเสียงออกมาอย่างผิดหวัง “ข้าก็ไม่คิดว่าคนบงการ จะคิดจัดการกับกลุ่มคนร้ายเช่นนี้ คงไม่อยากให้เรื่องราวถูกสาวถึงตัว แล้วทางหมู่บ้านตงซานเป็นเช่นไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ?” “ก็เรียบร้อยดี เหมือนมีคนจงใจสร้างสถานการณ์ขึ้น ให้ข้าและนางออกไปจากเมืองหลวง ข้าคิดว่าชาวบ้านคงไม่รู้เรื่องอันใด แต่ชิงอีได้ทิ้งคนให้คอยสอดส่องและคอยรายงานแล้ว” องค์ชายซีห่าว สะดุดคำเรียกที่เหว่ยอ๋องเรียกท่านหญิงว่าชิงอี สงสัยความสัมพันธ์ของพวกเขาคงรุดหน้าไปเป็นอย่างดีสินะ “เหตุใดท่านหญิงถึงได้กลายเป็นชิงอีเฉยๆ แล้วเล่า ความสัมพันธ์ของพวกท่านทั้งสอง คงพัฒนาไปเป็นอย่างดีสินะ?” “เจ้าพูดอะไรข้าก็แค่สนิทกับนางมากขึ้น” เหว่ยอ๋องพอถูกผู้เป็นน้องกล่าวล้อขึ้นมาก็ถึงกับวางตัวไม่ถูก “ท่านพี่…คุยเสร็จหรือยังเพคะ” ว่านชิงอียิ่งเห็นเขาทำตัวไม่ถูกก็ยิ่งอยากแกล้ง เหว่ยอ๋องพอ
ณ หมู่บ้านตงซานหลังจากจากเกิดเหตุการณ์ในค่ำคืนที่ผ่านมา ก็ไม่มีใครกลับไปนอนอีกต่างพากันนั่งรอให้ถึงเช้า อู่ถงพอเปิดประตูออกมาในตอนเช้าตรู่ ก็ต้องชะงักกับสตรีราวเจ็ดแปดคน มายืนรออยู่หน้าเรือนพัก ในมือมีอ่างใส่น้ำ เพื่อให้ทุกคนได้ล้างหน้าล้างตา ฮุ่ยเจียงเดินมารับอ่างจากสตรีนางหนึ่ง แล้วยกเข้าไปด่านในให้กับท่านหญิง ส่วนอู่ถงเดินมารับอ่างน้ำอีกอันเพื่อนำไปให้เหว่ยอ๋อง หลังจากทุกคนล้างหน้าล้างตากันเสร็จ สตรีที่มาคอยช่วยดูแลก็นำน้ำชาและโจ๊กมาให้ทุกคน ว่านชิงอีมองเห็นวิญญาณห้าดวงที่ยืนมองอยู่ห่างๆ ก็สะกิดปิงปิงให้ไปเรียกเข้ามา “พวกท่านมีอะไรหรือไม่?” “ทูลท่านหญิง พวกกระหม่อมไม่มีที่ไป ขอติดตามเป็นทาสรับใช้ท่านได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” ว่านชิงอีได้ฟังก็พยักหน้า “ได้ต่อไปก็คอยฟังคำสั่งของปิงปิงก็แล้วกัน” ห้าดวงวิญญาณปรายตามองเด็กน้อยวัยห้าขวบ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ท่านหญิงจะให้พวกข้าฟังคำสั่งจากเด็กคนนี้หรือ?” ว่านชิงอียกยิ้ม “อย่าดูถูกความสามารถนางเชียวนะ” ปิงปิงพอได้ยินนางเอ่ยชม ก็ยกแขนขึ้นมากอดอกอย่างเย่อหยิ่ง “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าใครที่เป็นคนทำวิชาอาคมพวกนี้ ในนิมิตข้าเห็นชายผู้หนึ่งแต่ว่าไม่
พอพานางมาถึงเรือนที่พัก ว่านชิงอีก็หลุดหัวเราะออกมากับกิริยาท่าทางของเขา ที่ดูถือตัวขึ้นมาเมื่อสตรีนางนั้นอยากเช็ดคราบสุราที่นางทำหกใส่แขนเสื้อของเขา “เป็นบุรุษรูปงามก็แบบนี้แหละเพคะไปที่ไหนมีแต่สตรีหมายปอง” “เจ้าไม่โกรธเคืองสตรีเหล่านั้นหรือ?” “โกรธแล้วจะทำอย่างไรได้เล่าเพคะ ห้ามสายตาสตรีเหล่านั้นได้ที่ไหนกัน แต่ว่ามันก็ทำให้หม่อมฉันภูมิใจ ที่ท่านอ๋องหล่อเหล่ามากขนานนี้ มากจนจนหม่อมฉันใจละลาย มอบหัวใจให้ท่านไปจนหมดแล้ว” เหว่ยอ๋องยกนิ้วขึ้นมาเคาะจมูกนาง สตรีนางนี้พูดจาเป็นเรื่องเป็นราว ไม่มีท่าทีกระดากอายเลยสักนิด เขาละจนใจกับความมึนของนาง ก่อนองครักษ์จะตามเข้ามา เหว่ยอ๋องจึงเดินไปนั่งเก้าอี้ข้างเตียง “พวกเจ้าก็หามุมที่จะนอนเอาเองละกัน” “แต่ว่าหากตกดึกอากาศจะหนาวหรือไม่ ฮุ่ยเจียงไปเอาผ้าห่มบนรถม้ามาเพิ่มอีกมีหลายผืน” ว่านชิงอีนึกกังวล เพราะตกดึกอากาศมักจะหนาวเย็น ฮุ่ยเจียงกลับมาพร้อมกับผ้าห่มในอ้อมแขน เหว่ยอ๋องคิ้วกระตุกเมื่อคิดว่า สิ่งที่นางเคยใช้ องครักษ์ของเขาจะได้ใช้ด้วย ไม่ได้เขาไม่มีทางยอม “เอามานี่ ส่วนผ้าห่มที่ทางนี้จัดหาให้พวกเจ้าเอาไป” “ท่านอ๋องแต่ว่าผ้าห่มจะครบคนหร
ชายสี่คนเดินตามอีถงและลู่หลิงที่พาเดินเข้ามาลึกพอสมควร ก่อนที่นางทั้งสองจะหยุดเดิน แล้วหันกลับมาแสยะยิ้มให้พวกเขา จากใบหน้าที่ปกติยามนี้เนาะเฟะมีหนอนชอนไช ดวงตาหลุดออกมานอกเบ้า ชายทั้งสี่ตาเหลือกถลนกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า ก่อนจะพากันร้องลั่นด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะพากันวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต พอหยุดพักหายใจ ก็เห็นร่างวิญญาณที่น่าเกลียดน่ากลัวมาอยู่ตรงหน้า พวกเขาหวาดกลัวจนหมดสติ อีถงและลู่หลิงจึงเดินออกไปหากลุ่มที่ยืนรออยู่ “นายท่าน” พวกเขาอีกหกคนหันมาตามเสียง ก็ถึงกับผงะกับใบหน้าที่น่าเกลียดน่ากลัวของนางทั้งสอง พอหันมามองชายที่ยืนอยู่กับเด็ก ยามนี้เขาก็ดึงคอออกจากหัวอย่างช้า แล้วโยนเล่นไปมา ส่วนเด็กน้อยก็ยืดมืออันแสนยาวเหยียดขึ้นไปโหนต้นไม้ แกว่งไกวตนเองไปมา ชายทั้งหกคนหมดสติไปทันทีด้วยความกลัว ก่อนปิงปิงจะรีบไปส่งข่าวกับว่านชิงอี ไม่นานกลุ่มของท่านอ๋องก็มาถึง “พวกเจ้าทำได้ดีมาก” ว่านชิงอีเอ่ยชม มีผู้ช่วยเป็นวิญญาณก็ดีแบบนี้ไม่ต้องเปลืองแรง “อู่ถงจับมัดพวกเขาเอาไว้ ส่งคนไปแจ้งทางการให้มาเอาตัวพวกเขาไป บอกองค์ชายซีห่าวให้ส่งคนมาช่วยข้ามากหน่อย อีกอย่างบอกองค์ชายซีห่าวชายสิบคนนี้ ข้ากลับ