“คุณหนูตื่นเถอะเจ้าค่ะ คุณหนู!” บัวบูชาได้ยินเสียงปลุกก็เริ่มรู้สึกหงุดหงิดและเริ่มรำคาญ จะเรียกทำไมหนักหนาเนี่ยะคนจะนอน! ก่อนจะรีบลืมตาขึ้นมาหมายจะด่าคนที่เรียก
“อ่าวปิงปิงมานั่งทำไมบนตัวข้า ลงไป!” “แล้วทำไมแต่งชุดเด็กจีนละวันนี้ เป็นกุมารทองต้องแต่งชุดไทย หรือว่าอยากเปลี่ยนสไตล์การแต่งตัว เอ้า!ข้าบอกให้ลงไป มานั่งอยู่บนตัวข้าแบบนี้มันหนักนะจะบอกให้!” บัวบูชาตาเขียวใส่น้องกุมารปิงปิง ที่ตั้งแต่เธอเกิดมาก็เจอน้องกุมารมาอยู่ที่บ้านเธอแล้ว เพราะพ่อของเธอเป็นพ่อครูร่างทรง แถมยังมีอาชีพเป็นหมอผีคอยปราบวิญญาณร้าย “คุณหนูพวกเราทะลุมิติมาอยู่ในยุคจีนโบราณเจ้าค่ะ” ปิงปิงเด็กน้อยวัยห้าขวบหน้าตาน่ารัก รีบเอ่ยบอกผู้เป็นนายสาว “ตลกละทะลุมิติ เจ้าพูดบ้าอะไร ดูซีรีย์กับแม่พี่บ่อยละสิ อินมากปะ?” บัวบูชายังคงนอนพูดเล่นกับน้องกุมารปิงปิง เพราะไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องจริง “หากทะลุมิติมาจริงๆ แล้วเกิดอะไรขึ้น?” “ก็เรือนของท่านถูกไฟไหม้ ข้าคิดว่าอาจมีคนไม่พอใจ ที่พ่อช่วยปราบวิญญาณร้ายให้กับชาวบ้านที่เดือดร้อน ก็คงเป็นเจ้าของที่ดินที่ชาวบ้านอาศัยอยู่นั่นแหละเจ้าค่ะ อยากขับไล่คนให้ย้ายด้วยการใช้วิญญาณผีไปก่อกวนพอไม่สำเร็จก็เลยใช้วิธีมาเผาเรือนหมอผีแทนเจ้าค่ะ ท่านก็เลยเสียชีวิตแล้ววิญญาณของท่านกับข้าก็ทะลุมาที่นี่เจ้าค่ะ แต่ท่านไม่ต้องกลัวข้าหยิบยามของพ่อติดมือมาด้วยเจ้าค่ะ ข้าฉลาดใช่มั้ยละเจ้าคะ” กุมารน้อยปิงปิงเอ่ยขึ้นด้วยความภูมิใจในตนเอง “แล้วตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหน?” “โลงศพเจ้าค่ะ” กุมารน้อยปิงปิงเอ่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ละ..โลงศพ!เฮ้ย!หมายความว่าตายแล้วตายอีกตายซ้ำซ้อนอย่างงั้นเหรอ?” บัวบูชาเริ่มงงกับชีวิตของตนเอง แต่ว่าตอนนี้ยังมีความรู้สึกและยังพูดได้ ก็แสดงว่ายังไม่ตาย “ท่านมาอยู่ในร่างของคุณหนูสามว่านชิงอี แต่เพราะว่านางตายแล้วท่านเลยมาสวมรอยเจ้าค่ะ” “ข้ามาอยู่ในร่างของคุณหนูสามว่านชิงอี! แต่ว่าร่างนี้ตายนานแค่ไหนแล้วเนี่ยะ! ดูสิผิวซีดเหมือนปลาขาดน้ำ โอ๊ย!ชีวิตของนางบัว!” บัวบูชาเริ่มโอดครวญเมื่อเริ่มสังเกตว่า ร่างกายที่นางมาอยู่นั้นซีดเซียวเกินไป คงต้องบำรุงอย่างหนักเลยทีเดียว “ท่านอย่าบ่นมากไปเลย ร่างนี้อายุแค่14หนาวเท่านั้น ท่านสามารถบำรุงและดูแลให้สวยงามได้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ” ปิงปิงเอ่ยให้กำลังใจ เมื่อเห็นนายสาวโอดครวญไม่หยุด “แต่ว่าทำไมเจ้าพูดภาษาเหมือนคนจีนโบราณได้ทันทีเลยละ?” “ก็ข้าไม่ใช่คนปกติทั่วไป ข้าเป็นเหมือนเด็กเทพ อีกอย่างข้าเป็นเด็กฉลาดมาก” บัวบูชาในร่างของว่านชิงอี กลอกตามองบนอีกครั้ง เจ้าเด็กนี่หลงตัวเองเหลือเกิน แต่ว่านางก็รักและสนิทกับปิงปิงมานาน โชคดีที่นางทะลุมิติมาด้วยกับนาง ไม่เช่นนั้นนางคงจะเหงามาก เสียงพูดคุยด้านในโลงศพ ทำเอาบรรดาแขกเหรื่อที่มาร่วมงานศพ ต่างพากันมองหน้ากันเลิกลักด้วยความหวาดกลัว คุณหนูสามนางตายแล้วจริงหรือ? หากตายแล้วด้านในนั้นคืออะไร? ส่วนฮูหยินว่านมองหน้าบุตรสาวคนโตและบุตรสาวคนรองด้วยความหวาดกลัวเช่นเดียวกัน “เจ้าได้ยินเสียงอะไรหรือไม่?” เสียงของฮูหยินว่านสั่นด้วยความหวาดกลัว ต้องเป็นผีว่านชิงอีแน่ๆ ในเมื่อนางตายไปแล้ว ถึงนางจะเป็นมารดาของนาง แต่ถ้าพูดถึงเรื่องผีและวิญญาณนางก็หวาดกลัวเช่นกัน “ท่านแม่เหมือนเสียงนางกำลังพูดกับใครไม่รู้ในนั้น แต่ว่านางตายไปแล้วนะท่านแม่ “ว่านชิงหลานเริ่มขวัญผวาเนื้อตัวเริ่มสั่นเทาปากคอสั่น บัวบูชาไม่รู้เหตุการณ์ด้านนอกเลยสักนิด หลังจากลุกขึ้นมานั่ง ความทรงจำของร่างนี้ก็เริ่มกลับเข้ามา คุณหนูสามว่านชิงอีเป็นบุตรสาวคนที่สามของสกุลว่าน ถูกเลี้ยงดูมาอย่างประคบประหงมและตามใจ จนนางกลายเป็นคนเอาแต่ใจตนเอง เพราะไม่มีใครกล้าขัดใจ เพราะบิดาคือว่านซื่อเหยียนให้ท้ายและตามใจ อีกทั้งท่านผู้เฒ่าว่านมารดาของว่านซื่อเหยียน ก็ทั้งรักและตามใจนางเช่นเดียวกัน บ่าวไพร่ในจวนพากันหวาดกลัวว่านชิงอี เพราะหากทำอะไรไม่ถูกใจ นางก็จะนำไปรายงานต่อว่านซื่อหยวนและท่านผู้เฒ่าว่าน ให้ลงโทษบ่าวผู้นั้น บัวบูชาคิดตามพฤติกรรมของร่างนี้แล้วก็ได้แต่ถอนใจ มาอยู่ในร่างของนางมารน้อยเอาแต่ใจสินะ “ปิงปิงเราจะออกไปได้อย่างไร” ว่านชิงอีเริ่มพูดเหมือนคนจีนโบราณบ้างแล้ว เมื่อสมองได้รับความทรงจำของร่างนี้กลับคืนมา “คุณหนูลองดันฝาโลงดูสิเจ้าคะข้าลองแล้วแต่เปิดไม่ออก” “เจ้านะเก่งและฉลาดทุกเรื่องแต่ว่ายกเว้นเรื่องนี้” ชิงอีได้ทีว่าเข้าให้ แต่เด็กน้อยก็ปั้นหน้ายิ้มสดใส เพราะอยู่ด้วยกันมานาน จึงรู้จักนิสัยใจคอกันเป็นอย่างดี พอชิงอีลองดันฝาโลงก็เลื่อนเปิดออกได้อย่างง่ายดาย อะไรกันนางแทบไม่ได้ใช้แรงเลย แค่แตะสัมผัสก็เคลื่อนฝาโลงได้เลยหรือ หรือว่า!..ร่างนี้จะมีพลังวิเศษ! “กรี๊ดดดดดด!เสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวของผู้คน ในห้องไหว้เคารพศพ จากนั้นผู้คนก็พากันวิ่งหนีกันอย่างไม่คิดชีวิต ว่านชิงอีไม่สนใจก้าวขาออกมาจากโลงศพ ก่อนจะหันไปมองปิงปิงว่านางปีนออกมาได้หรือไม่ แต่ปรากฎว่านางออกมายืนข้างนางเรียบร้อยแล้ว ก่อนนางจะพากันเดินไปที่เรือนที่ร่างนี้เคยอยู่ ระหว่างเดินไปผู้คนที่เห็นนาง ก็กรีดร้องกันอย่างหวาดกลัว และวิ่งหนีคนละทิศละทาง ชิงอีมองแล้วก็หลุดขำ ตอนยังไม่ตายร่างนี้คนก็หวาดกลัวไม่อยากเข้าใกล้ พอตายแล้วฟื้นเช่นนี้คาดว่าคงกลัวเป็นสิบเท่า ว่านชิงอีเดินมาหยุดอยู่เรือนที่แสนงดงาม ดูก็รู้ว่าร่างนี้ถูกเลี้ยงดูมาอย่างไร สาเหตุเป็นเพราะมีนักพรตได้ทำนายทายทัก ช่วงที่ฮูหยินว่านตั้งครรภ์ว่า เด็กที่จะเกิดมาจะมีบุญญาธิการสูง และผู้คนจะได้พึ่งพาบารมีของนาง และนั้นคือเหตุผลที่ทั้งบิดาและฮูหยินผู้เฒ่ารักและตามใจนางจนเกินพอดี ว่านชิงอีมองวิญญาณของร่างนี้ที่มายืนรอที่หน้าประตู ก่อนที่จะเดินเข้าไปหานางอย่างมั่นคง “เจ้าจะมาลาข้าหรือ?” วิญญาณว่านชิงอียกยิ้ม ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ข้าฝากครอบครัวของข้าไว้กับเจ้าด้วย ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนดีและเป็นคนที่ท่านนักพรตได้ทำนายทายทักเอาไว้ซึ่งไม่ใช่ข้า ข้าหมดวาสนาในชาตินี้แล้ว” “เจ้าไม่ต้องกังวลครอบครัวเจ้าข้าจะดูแลให้เอง ขอให้เจ้าไปสู่ภพที่ดี” สนุกไม่สนุกทักทายบอกไรท์หน่อยนะค่าาาคำผิดทักได้ทันทีเลยค่ะ 🙏🙏เหล่าบรรดาขุนนางพากันปาดเหงื่อกับปริศนาคำทายของท่านหญิง เหล่าคุณหนูและฮูหยิน ต่างพากันขบคิดกับปริศนาคำทายกันอย่างขะมักเขม้น แม้แต่เหว่ยอ๋อง เจินซีห่าว และรัชทายาท ก็พากันขบคิดว่าปริศนาคำทายนี้หมายถึงสิ่งใด นางบอกเริ่มที่ง่ายๆ ก่อน อันนี้ง่ายสุดแล้วใช่หรือไม่ ฮ่องเต้แอบดูคำตอบที่นางให้มาก็แอบยิ้มด้วยความสะใจ คำตอบที่ส่งมาให้ฮ่องเต้ตรวจคำตอบยังไม่มีใครที่ตอบถูกเลยสักคน การสั่งสอนคนบางทีก็ไม่จำเป็นต้องใช้กำลังเสมอไป ธูปที่จุดบอกเวลาไหม้ลงเรื่อยๆ สร้างความกดดันให้กับเหล่าขุนนางเป็นอย่างมาก ก่อนขันทีจะประกาศหมดเวลา ทำเอาเหล่าขุนนางตกใจหน้าซีด เหตุใดเวลาถึงได้เดินเร็วนักเล่า “ทูลฝ่าบาทขอเวลาอีกสักครึ่งชั่วยามได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” ฮ่องเต้หันไปมองว่านชิงอี ว่าจะเอาอย่างไร นางก็พยักหน้าให้โอกาสอีกครึ่งชั่วยาม “ได้เราจะให้เวลาอีกครึ่งชั่วยาม หากยังไม่ได้คำตอบก็ถือว่าไม่มีใครหาคำตอบได้ เราจะเก็บของรางวัล500ตำลึงเข้ากองคลัง” ไม่นานครึ่งชั่วยามก็มาถึงอีกครั้ง เหล่าขุนนางเหงื่อตก เพราะไม่สามารถคิดหาคำตอบได้ทันเวลา “เอาละหมดเวลาแล้ว วันนี้ท่านหญิงได้ทำให้เราได้เปิดหูเปิดตาไม่น้อย ขุนนางของเ
หลังจากเรื่องราวคลี่คลาย ทุกอย่างก็กลับมาปกติอีกครั้ง วันนี้เป็นงานเลี้ยงฉลอง การแต่งตั้งท่านหญิงจวินจู่ ซึ่งฝ่าบาทจัดงานนี้เพื่อนางโดยเฉพาะ ตระกูลต่างๆ มาพร้อมฮูหยินและคนในครอบครัว แม้จะไม่ยินดีที่จะมาร่วมงาน แต่ก็ไม่อาจขัดพระประสงค์ของฝ่าบาทได้ พองานใกล้เริ่มทุกคนก็พากันไปนั่งประจำที่ ที่ทางวังหลวงจัดเอาไว้ตามตำแหน่งของแต่ละคน วันนี้ท่านหญิงจวินจู่มาในชุดอาภรณ์สีขาวขลิบสีชมพูอ่อน ประดับด้วยปิ่นหยกสีขาวเข้าชุด นางไม่ได้ประโคมแต่งมากจนเกินไป ตั้งใจให้ดูเรียบๆ แต่ดูดี ถึงจะเป็นเจ้าของงาน แต่ก็ไม่อยากโดดเด่นจนเกินไป พอนางมาถึงบริเวณจัดงาน ก็เห็นวิญญาณของพระสนมกุ้ยเฟยยืนรออยู่ นางส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “วันนี้เจ้าดูงดงามมาก” “ขอบพระทัยเพคะ” ว่านชิงอียิ้มหวานให้พระสนม และก้าวเดินเข้างานไปพร้อมกับนาง ก่อนจะไปยอบกายถวายความเคารพฮ่องเต้ต่อหน้าพระที่นั่ง “ท่านหญิงวันนี้ท่านดูงดงามมากจริงๆ เอาละไปนั่งที่ของท่านเถิดงานจะเริ่มแล้ว” ฮ่องเต้เจินเฉินหลงกล่าวอย่างยิ้มแย้มอารมณ์ดี พอนางนั่งลงดนตรีก็เริ่มบรรเลง เหล่านางกำนัลก็เริ่มทำหน้าที่ ยกอาหารและสุรามาวาง ว่านชิงอีมองอาหารอย่างสนใจ อาหารในว
“ท่านอ๋องยามนี้ผู้คนร่ำลือถึงข่าวท่านหญิง ว่าคบบุรุษทีเดียวสามคน ซึ่งในข่าวลือมีท่านร่วมอยู่ด้วย” อู่ถงหลังจากออกไปทำธุระกลับมา ได้ยินข่าวลือเรื่องท่านหญิงจึงรีบมารายงาน “เล่ามาให้ละเอียด” อู่ถงจึงเริ่มเล่าเรื่องที่ได้ยินมาอย่างละเอียดให้เขาฟัง ยิ่งฟังเขาก็ยิ่งไม่พอใจ ใครกันนะที่สร้างข่าวพวกนี้ขึ้น แล้วนางจะทนคำพูดเหล่านี้ได้หรือไม่? ช่วงนี้เขาต้องห่างจากนางออกมาหรือว่าเขาต้องทำตัวปกติดีนะ แต่ความคิดเขาก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อองครักษ์เข้ามารายงานว่า องค์ชายซีห่าวและรัชทายาทมาขอเข้าพบ เหว่ยอ๋องถอนใจ ดีเหมือนกันพวกเขามา จะได้ช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรดี เขารู้สึกเป็นห่วงความรู้สึกของนางจริงๆ “เสด็จพี่ท่านได้ข่าวหรือยัง?” องค์ชายซีห่าวร้อนใจร้องถามตั้งแต่ยังเดินมาไม่ถึง “เหว่ยอ๋องเราจะทำอย่างไรกันดี นางต้องทุกข์ใจมากเป็นแน่ เรื่องนี้ข้าต้องหาต้นตอคนปล่อยข่าวให้ได้” รัชทายาทเอ่ยน้ำเสียงเจ็บแค้น กับคนสร้างข่าวลือที่ไม่เป็นจริง “เราจะโทษคนปล่อยข่าวก็ไม่ถูก พวกเราออกไปข้างนอกกับนางจริงมีคนเห็นมากมาย เราควรคิดหาวิธีดีกว่า ว่าต่อไปพวกเราจะไปมาหาสู่นางได้อย่างไร เพราะนางเหมือนจะอยากให้พวกเราช่
จางเจียอีพอกลับมาถึงจวน ก็รีบตรงไปหาฮูหยินจางทันที นางต้องพยายามข่มเก็บอาการเคืองขุ่นและน้อยใจรัชทายาทเอาไว้ ไม่ให้แสดงออกมา เขาปกป้องสตรีนางนั้นอย่างออกหน้า แม้เขาและนางจะยังไม่ได้หมั้นหมายแต่ แต่ก็ได้มีการพูดคุยถึงว่าจะให้หมั้นหมายกัน ตั้งแต่ตระกูลจางรับรู้ข่าวนั้น ก็ได้ให้นางเตรียมตัวฝึกฝนกิริยามารยาท เพราะหากหมั้นและแต่งกับรัชทายาท นั้นก็หมายถึงตำแหน่งฮองเฮาในวันข้างหน้า เพราะฉะนั้นนางจึงต้องฝึกฝนอย่างเข้มงวด แต่ว่าวันเวลาผ่านไปรัชทายาท ก็ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับตระกูลจาง เจอกันในงานก็เพียงทักทาย ยามนี้ยังมาแสดงท่าทีแบบนี้ ใจของนางเหมือนแหลกสลาย พอมาถึงเรือนมารดา จางเจียอีก็โผเข้ากอดนางแน่นพร้อมกับร้องไห้อย่างอัดอั้น จากนั้นก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฮูหยินจางฟัง ฮูหยินจางได้ฟังก็นึกขุ่นเคืองรัชทายาท และพาลโกรธไปถึงท่านหญิง เป็นท่านหญิงแล้วอย่างไร คิดจะแย่งบุรุษที่มีคู่หมายแล้วได้อย่างงั้นรึ แต่ว่าวันนี้บุตรสาวนางบอกมีเหว่ยอ๋อง องค์ชายซีห่าว และองค์รัชทายาท ฮึเรื่องนี้นางจะปล่อยไว้ไม่ได้ ต้องเรียกอีกสามตระกูลมาคุยกัน “ท่านแม่ข้าไม่ยอม ข้าเตรียมตัวมาตั้งหลายปี หากข้าไม่ได้แต่งกับรั
“ถวายบังคมรัชทายาท ท่านอ๋อง องค์ชาย สตรีสามนางยอบกายถวายความเคารพอย่างงดงาม ตามแบบฉบับคุณหนูที่เพียบพร้อม แต่ก็ต้องชะงักเมื่อรัชทายาทเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เหตุใดไม่ทำความเคารพท่านหญิง หรือว่านี่คือสิ่งที่เรียกว่าสตรีที่เพียบพร้อมเขาปฎิบัติกับคนที่สูงกว่าหรือ?” สตรีสามนางหน้าซีดเผือด ไม่คิดว่าพวกนางจะพลาดในสิ่งที่ไม่ควรพลาดเช่นนี้ “ถวายบังคมท่านหญิงจวินจู่ ขอประทานอภัยที่หม่อมฉันมีตาหามีแววไม่ ได้โปรดท่านหญิงอย่าถือสา” จางเจียอีเอ่ยออกมาอย่างอ่อนหวาน แม้ภายนอกจะแสดงออกมาว่ารู้สึกผิด แต่ภายในใจนั้นกลับสุ่มไปด้วยเพลิงโทสะจางเจียอีจิกเล็บลงไปบนฝ่ามือจนรู้สึกเจ็บ เพื่อระงับอารมณ์และความรู้สึกภายในใจ เหว่ยอ๋องยืนอยู่ด้านหลังของว่านชิงอี มีองค์ชายซีห่าวและรัชทายาทยืนประกบซ้ายขวาคล้ายดั่งองครักษ์ ยิ่งทำให้สตรีสามนางแทบอยากกรีดร้องออกมา จึงได้แต่ขอตัวและจากไปด้วยความแค้นเคือง หลังจากพวกนางไปแล้วว่านชิงอีก็หมุนกายเดินเข้าไปในร้านบะหมี่ ก่อนจะสั่งอย่างละเอียดว่าชามไหนใส่อะไรไม่ใส่อะไร ทำเอาสามบุรุษหนุ่มยกยิ้มด้วยความพอใจที่นางให้ความใส่ใจกับพวกเขา พอชามบะหมี่ถูกยกมาวางบนโต๊ะ ว่านชิงอี
จวนสกุลว่าน เสนาบดีว่านพอกลับมาถึงจวนก็รีบตรงดิ่งไปหามารดา วันนี้เขารู้สึกมีความสุขอย่างยากจะบรรยาย เขารอแทบไม่ไหวที่จะเล่าเรื่องราวที่รับรู้ในท้องพระโรงให้ผู้เป็นมารดาฟัง แต่ก็ต้องแปลกใจที่ไม่เห็นมารดาอยู่ที่เรือน พอสอบถามบ่าวรับใช้ก็ได้ความว่านางไปที่เรือนใหญ่ได้สักพักแล้ว เขาจึงเปลี่ยนเส้นทางไปที่เรือนใหญ่ทันที พอมาถึงก็เห็นทุกคนนั่งกันอยู่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา เขาจึงคิดว่าเป็นการดีที่จะได้เล่าทีเดียว แต่พอเขาเล่าจบทุกคนกลับนั่งนิ่งไม่มีอาการดีใจเลยสักนิด เขารู้สึกผิดหวังที่ทุกคนไม่ให้ความสำคัญกับข่าวนี้ “เหตุใดไม่มีใครดีใจกับข่าวนี้เลย” ? “จื่อหยวนข่าวเจ้านะพวกข้ารู้ตั้งนานแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยยิ้มๆ นึกขำบุตรชายที่รีบรุดมาแจ้งข่าว แต่ที่ไหนได้ข่าวนี้กระจายออกมาก่อนหน้านี้แล้ว ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดที่ออกมากระพือข่าวนอกวัง “พวกข้าดีใจก่อนเจ้าจะมาแล้ว แต่ว่ามีข่าวใหม่ที่เจ้ายังไม่รู้อีกนะ” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยขึ้นแล้วยกชาขึ้นจิบอย่างช้าๆ ไม่รีบร้อนที่จะเล่าออกไป ทำให้เสนาว่านร้อนใจอยากรู้มากขึ้น “ท่านแม่ท่านรีบเล่ามาเถิดข้ารอไม่ไหวแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่ายื่นกระดาษปกแข็งมาให้เขาตรงหน้า