เข้าสู่ระบบ
เจด้าปรายตามองเพื่อนร่วมชั้นเรียนในห้องพร้อมถอนหายใจอย่างเซ็ง ๆ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ทำไมเธอต้องมานั่งอยู่ที่นี่ท่ามกลางคนแปลกหน้า สถานที่ที่ไม่คุ้นเคย น่าโมโหชะมัด กะอีแค่เธอขัดคำสั่งพ่อแม่ไม่กี่ครั้งก็ถูกส่งกลับเมืองไทยแบบกะทันหันชนิดไม่ให้ตั้งตัว โดยบอกว่าเพื่อดัดนิสัยเจ้าอารมณ์เอาแต่ใจของเธอ หึ ที่น่าเจ็บใจยิ่งกว่านั้นคือการ ถูกส่งให้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยภาคธรรมดา แทนที่จะเรียนภาคอินเตอร์ให้สมกับฐานะสักหน่อย
เจด้าตัดสินใจเดินออกจากห้องเรียนที่แสนน่าเบื่อโดยไม่สนใจสายตาทุกคู่ที่มองเธอเป็นตาเดียว เมื่อมาถึงรถเก๋งคันงามเด็กสาวก็ออกคำสั่งทันที
“ไปที่ไหนก็ได้”
“ครับ” ลูคัส ชายวัยกลางคนรับคำสั้น ๆ ปิดประตูรถให้สาวน้อยคนงามที่ตอนนี้หน้าตาบึ้งตึง ในฐานะคนขับรถที่ทำงานกับตระกูลนี้มานานจึงขับรถไปยังสวนสาธารณะที่ใกล้ที่สุดทันทีอย่างรู้ใจ ในยามนี้จะมีอะไรดีไปกว่าการพาเธอไปยังที่ที่ทำให้สาวน้อยรู้สึกผ่อนคลาย เมื่อไปถึงเขาก็หาที่จอด ปล่อยให้เธอลงไปเพียงลำพัง
หญิงสาวลงจากรถแล้วไปเดินเล่นที่ริมบึง ระหว่างนั้นก็หยิบหินก้อนเล็ก ๆ ขึ้นมาเขวี้ยงลงน้ำเพื่อระบายอารมณ์ หลังจากนั้นไม่นานผู้เป็นแม่ก็ตามมาถึง
“คราวนี้เรื่องอะไรอีกล่ะ”
“พวกเขาแกล้งหนู หาว่าหนูไม่รู้เรื่องอะไร ทำอย่างกับหนูโง่งั้นแหละ เชอะ ลองมาคุยภาษาอิตาลีกับหนูสิ หรือไม่ก็มาประลองเทควันโดกับหนูสักเกมสองเกม ดูซิว่ายังจะกล้าปากดีอีกหรือเปล่า”
แอนนาส่ายหัวกับนิสัยไม่ยอมใครของลูกสาวหัวแก้วหัวแหวน เธอผิดเองแหละที่ตามใจเจด้าจนเกินไปตั้งแต่เล็ก ๆ มาถึงตอนนี้คิดจะดัดนิสัยลูกก็กลายเป็นว่าเหมือนโยนปัญหาให้อีกฝ่ายต้องเผชิญ แต่ทำอย่างไรได้ ถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้จะเข้าทำนองไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก ที่สำคัญเธอต้องพยายามใจแข็งไม่เหมือนที่ผ่านมา คิดแล้วเธอก็ได้แต่ดึงลูกสาวสุดที่รักเข้ามากอดปลอบ
“แม่ขอโทษ แต่แม่ก็ยังเชื่อว่าแม่คิดดีแล้วที่ส่งลูกมาเรียนที่นี่ ชีวิตในวันข้างหน้าน่ะมันไม่ง่ายหรอกนะ ไม่มีใครสามารถอยู่กับลูกได้ตลอดไป แม่จึงอยากให้ลูกรู้จักแก้ปัญหาด้วยตัวเอง เผื่อในวันที่ไม่มีคุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย หรือแม้แต่พ่อกับแม่คอยช่วยเหลือ”
“มีแต่ลุงลูคัสแหละที่ดีกับเจด้าที่สุด” เด็กสาวตัดพ้อขณะที่น้ำตาไหลอาบแก้ม แอนนาได้แต่ยิ้มน้อยๆ และไม่คิดจะเถียง เพราะทุกวันนี้ลูคัสก็ทำเกินหน้าที่ตัวเองจนกลายเป็นความผูกพันไปแล้ว
“อดทนอีกหน่อยนะ เพื่ออนาคตของลูกเอง”
“ให้หนูเข้าเรียนภาคอินเตอร์ฯ ไม่ได้หรือคะ นะ ๆ แล้วหนูจะตั้งใจเรียนสุด ๆ ไปเลย” เจด้าต่อรอง ส่งสายตาอ้อนวอนคนเป็นแม่ ก่อนจะ พองแก้มด้วยรู้สึกขัดใจเมื่อได้รับคำตอบกลับมาสั้น ๆ ว่า “ไม่ได้”
“ฮือออ หนูอยากตาย” เจด้าโอดครวญเมื่อแผนออดอ้อนไม่ได้ผลเหมือนที่ผ่านมา
“ลูกต้องรู้จักการถูกปฏิเสธซะบ้าง จำไว้ว่าทุกอย่างไม่ได้มาง่าย ๆ หรอกนะ อ้อ แม่เช่าหอพักใกล้ที่เรียนของหนูแล้วด้วย ใกล้มากจนเดินไปกลับได้เลยละ”
เจด้ามองแม่ที่ลุกขึ้นยืนขณะที่ยังคงพูดต่อ
“และแม่ก็จะให้เงินหนูไว้ใช้จ่ายอาทิตย์ละหนึ่งพันบาทเท่านั้น”
“แม่!!” เจด้าร้องเสียงหลง หนึ่งพันบาทเนี่ยนะ ข้าวมื้อเดียวก็หมดแล้ว
“ถ้าหมดก่อนครบอาทิตย์จะไม่มีการเพิ่มให้อย่างเด็ดขาด และอย่าคิดโทร.ไปขอพ่อหรือคุณตาล่ะ” แอนนาพูดดักทางอย่างรู้ทันลูกสาว
“โธ่ แม่ แล้วถ้าเงินหมด หนูจะเอาเงินที่ไหนกินข้าวล่ะ”
“งานก็คือเงิน ถ้ารู้จักทำงานก็มีเงินแลกข้าวกิน” แอนนาพูดทิ้งท้ายสั่งสอนลูกสาวก่อนเดินไปหาลูคัสที่ยืนอยู่ไม่ไกล “ส่วนนาย ตอนนี้มีงานใหม่ต้องทำ”
ฮึ! แม้แต่ลุงลูคัสก็ยังถูกขัดขวางไม่ให้ช่วยเธอ เจด้าได้แต่คร่ำครวญในใจกับชะตาชีวิต ถูกให้ออกจากบ้านหลังโตย้ายมาอยู่หอพักใกล้มหาวิทยาลัย เรียนหนังสือร่วมกับนักศึกษาบ้าน ๆ
เมื่อเจด้าเปิดประตู หญิงสาวคนหนึ่งในห้องหันมามองแล้วรีบแนะนำตัว “สวัสดีจ้ะ ฉันชื่อมลฤดี เรียกสั้น ๆ ว่ามลก็ได้ ฝากตัวด้วยนะ เธอชื่ออะไรล่ะ”
แม่นะแม่ ใจร้ายชะมัด ส่งลูกสาวตัวเองมาอยู่ห้องเช่ารูหนูไม่พอ ยังให้มาอยู่ร่วมกับคนแปลกหน้า เจด้าเดินกระแทกเท้าไปที่เตียงนอน หยิบหมอนออกมาแล้วกรี๊ดใส่หมอนระบายอารมณ์
เมื่อกรีดร้องจนพอใจแล้วก็เงยหน้ามองเพื่อนร่วมห้องที่ทำหน้างง “ฉันชื่อ...” เจด้านิ่งไปสักพักก่อนตัดสินใจบอกชื่อไทยที่แม่ของเธอตั้งให้
มลฤดีมองเพื่อนใหม่ที่ดูท่าทางน่าจะแสบไม่เบา ก็พอจะเดาได้ว่าอนาคตที่ต้องอยู่ร่วมห้องกับสาวเจ้าอารมณ์คนนี้คงสนุกแน่ ๆ
“เธอเรียนคณะไหนเหรอ?”
เจด้าบอกชื่อคณะ ทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายก็เรียนคณะเดียวกันแต่คนละห้อง
“ไปกินข้าวกันไหม” มลฤดีชวน ท้องเจด้าร้องพอดี เธอจึงพยักหน้า ลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ก่อนจะหยิบกระเป๋าถือแบรนด์เนมขึ้นคล้องแขน
“โอ้โฮ กระเป๋าใบนี้เหมือนของจริงเลย เมื่อวานฉันเองก็เห็นขาย ที่ในตลาด มีให้เลือกตั้งหลายสีแน่ะ”
เจด้าอึ้ง ก้มมองกระเป๋าเรือนแสนของตัวเองสลับกับหน้าคนพูด ช่างเถอะ จะเอาอะไรมากกับนักศึกษาจน ๆ คนหนึ่ง มีตาหามีแววไม่ และเธอเองก็ไม่จำเป็นต้องอวดจึงตามน้ำไป “หึ ๆ เพิ่งได้มาเมื่อวานน่ะ เหมือนของจริงจนแยกไม่ออกเลยเนอะ”
“มีกะปิ หอมแดง พริกสด น้ำมะนาว น้ำตาลปี๊บ ใส่กุ้งสดลงไปด้วยอร่อยเหาะเชียว”มือคนถือถ้วยน้ำชุบหยำนิ่งค้างอยู่นานก่อนวางลง เธอมองมือตัวเองที่เริ่มขึ้นผื่นสีแดง สีหน้าแววตาตะลึงของเด็กสาวทำให้คนแก่ตกใจ “หนูเจน เป็นอะไรลูก”“จะ..เจน” เสียงเจด้าเหมือนคนหอบ “เจนแพ้กุ้ง” จากนั้นเจ้าตัวก็ล้มลง คนงานที่เห็นต่างตกใจ ป้าเรียมรีบเข้ามาประคอง ปากร้องตะโกน ให้คนงานรีบไปตามนายหัว เพียงไม่ถึงสองนาทีทุกอย่างก็เหมือนระเบิดลงตอนที่พีรพัฒน์มาถึง สภาพของเจด้าเต็มไปด้วยผื่นแดง “ป้า เธอเป็นอะไร”สีหน้าป้าเรียมร้อนใจ รีบบอกประโยคสุดท้ายที่เจด้าพูด “หนูเจนบอกว่าแพ้กุ้งค่ะ”พุตพงศ์ที่มาด้วยรีบพูด “ถ้าเธอรู้ก็แสดงว่าเธอต้องมียาแก้แพ้ ติดตัว ไอ้พี” จบคำพีรพัฒน์อุ้มหญิงสาวกลับไปที่บ้าน วางเธอลงบนเตียง รีบค้นหายาในกระเป๋า เป็นอย่างที่พุตพงศ์พูดจริง ๆ เขาพบกล่องสีขาว เมื่อเปิดออกก็เห็นว่ามีหลอดยาสีขาวสองหลอด“ทำไงต่อ” พีรพัฒน์ถามอย่างร้อนใจ พุตพงศ์รีบหยิบขึ้นมาแล้วฉีดเข้าที่น่องของเจด้า น้ำยาในหลอดหมดแล้ว แต่คนตรงหน้าก็ยังไม่ฟื้นพีรพัฒน์ในตอนนี้ดูร้อนรนเป็นพิเศษ ชมนาถสงสัยในความสัมพันธ์ของทั้งสองคน ดูสภาพในห้อง
เธอมองกุ้งทะเลตัวใหญ่ แต่ตัวเองแพ้กุ้งเลยวางไว้ก่อน หันไปมองปู หอย และปลา “ป้าเรียมว่าทำอะไรดีล่ะ เจนไม่ค่อยถนัดทำอาหาร ถนัดกินมากกว่า”ป้าเรียมส่ายหน้าอย่างเอ็นดู “นายหัวชอบกินแกงส้มปลาค่ะ เมื่อเช้าคนงานเพิ่งตัดยอดมะพร้าวมาได้ ป้าว่าจะเอามาทำแกงส้ม ปลากะพงยอดมะพร้าว”“เจนไม่ได้กินแกงส้มยอดมะพร้าวมานานแล้วเหมือนกัน”ป้าเรียมค่อนข้างแปลกใจที่หญิงสาวฟังภาษาใต้ออกทุกคำ จึงแกล้งถามกลับ “คุณหนูเคยอยู่ใต้มาก่อนไหมคะ”คนถูกหลอกถามเงยหน้ามองแล้วยิ้ม “เคยค่ะ”“เรื่องนี้นายหัวรู้ไหม”เจด้าเงยหน้าแล้วอมยิ้ม “เรื่องอะไรต้องบอกล่ะ ถ้าบอกไปเขาก็คงหาเรื่องแกล้งให้เจนหน้าแตกน้อยลงแน่”สรุปแล้วตอนนี้ไม่รู้ใครแกล้งใครกันแน่ ป้าเรียมหันมาตำเครื่องแกง เจด้าช่วยล้างหอยแครงก่อนเอาไปต้ม ถ้าได้กินกับน้ำจิ้มแซ่บ ๆ คงอร่อยน่าดูสองคนช่วยกันทำอาหารจนใกล้เสร็จก็ได้ยินเสียงดังจากหน้าบ้าน เจด้าชะโงกไปมองเห็นผู้ชายกับผู้หญิงยืนอยู่ ป้าเรียมวางมือจากทัพพีแล้วชะโงกมองตาม“คุณหลิวกับคุณหมอพุตนั่นเอง”“เขาเป็นใครหรือป้าเรียม”“คุณหลิวเป็นแฟนคุณพลค่ะ ส่วนคุณหมอพุตเป็นเพื่อนสนิทของนายหัว และเป็นหมอที่จะ
ใบหน้าคมเงยหน้ามองเธอ นิ่งเงียบสักพักก่อนพูดต่อ “เมื่อก่อนฉันไม่ใช่คนแบบนี้ แต่เพราะนานวันเข้าก็ฉันเบื่อ” จากนั้นเขาโน้มหน้าลงไปจูบเธอ “แต่พอเจอเธอในคืนนั้น มันก็เหมือนว่าเธอมาปลุกเสือที่จำศีล มานาน ดังนั้นแล้วต่อจากนี้เธอจะต้องรับผิดชอบ”เขาจะโยนให้เธอรับผิดชอบไม่ได้นะ เพราะไม่รู้ว่าพรุ่งนี้เธอจะได้ตื่นขึ้นมาให้เขามีโอกาสทำอีกหรือเปล่า แค่คืนนี้เอวเธอก็จะหักอยู่แล้ว!!เจด้าที่ใกล้จะทนต่อไปไม่ไหวจึงยกมือผลักอกเขาออกไป พีรพัฒน์ที่ยังไม่เสร็จดีจับเธอลงนอนแล้วลุกขึ้น ปล่อยให้เธอได้พักหายใจ ทว่า ไม่ถึงนาทีก็กลับมาพร้อมเชือกไนล่อนสีเขียว“ไม่เอานะแบบนี้” เจด้าพยายามจะลุก แต่เขาที่ไวกว่าขึ้นคร่อมตัวเธออย่างรวดเร็ว จับข้อมือหญิงสาวขึ้นเหนือศีรษะแล้วมัดกับพนักแขนโซฟา“อย่าดิ้น มันจะยิ่งรัดแน่นขึ้น”“ปกตินายหัวชอบแบบนี้เหรอ”“ก็ไม่เชิง แต่คิดว่าคนดื้ออย่างเธอต้องโดนแบบนี้” ในเมื่อเขาทำอะไรเธอไม่ได้ การได้ทรมานเธอแบบนี้คงเป็นการดีที่สุด เขาลุกขึ้นมองผลงานตนเอง จากนั้นส่งท่อนเอ็นจ่อเข้าที่ปากของเธอ“อม” มันจะมากไปแล้วนะ เจด้าเริ่มได้สติก็ไม่คิดจะทำตาม แต่ยิ่งดื้อเขาก็ยิ่งต้องการ เมื่อเธอไ
“แต่ผมเสียวมาก” เสียงแหบพร่าบอกเธอ ขณะที่ท่อนเอ็นกดลึกและย้ำลงไปอีกรอบ ช่องทางเข้าตอดรัดท่อนเอ็นของเขายิ่งสร้างความพอใจ คราวนี้เขาเปลี่ยนมาใช้นิ้วแทรกลงไป“โอ๊ย พอแล้ว” เจด้าสะดุ้งร้องแต่ชายหนุ่มไม่สนใจ ยังใช้นิ้วโป้ง บดขยี้ติ่งเนื้อที่เด่นออกมา ยิ่งกดลงไป แทนที่เธอจะต่อต้าน กลับส่งเสียงครางเหมือนอยากบอกให้เขาเร่งมือขึ้นอีกสองมือเล็ก ๆ ปัดป่ายอยู่บนเตียงหมายจะหาที่ยึดเกาะ จนเมื่อเขาโน้มตัวเข้าไปใกล้ เธอก็ใช้ร่างกายของเขาเป็นที่ยึดเหนี่ยว ฝนยังคงตกลงมาไม่หยุด เสียงฟ้าร้องคราใด เล็บยาวเป็นต้องจิกลงบนเนื้อของเขาจนเป็นแผลทว่าชายหนุ่มกลับไม่รู้สึกเจ็บ ในทางตรงข้าม มันยิ่งสร้างความพอใจให้เขา เพราะทุกครั้งที่เล็บจิกลงมา เขาจะยกเอวขึ้นแล้วอัดให้แรงกว่าเดิม เสียงเนื้อกระทบเนื้ออย่างต่อเนื่อง จนทำเอาเจด้าหอบหายใจถี่ เธอบอกให้เขาหยุด แต่เสียงสั่น ๆ ฟังแล้วเหมือนจะยิ่งทำให้เขาสอบสะโพกหนักขึ้นกว่าเดิมจนเธอสั่นสะท้านทั้งร่าง สมองว่างเปล่าราวกับลอยอยู่กลางทะเลยามที่คลื่นลมพัดเข้าฝั่งเหมือนมอบความสุขสมให้หญิงสาว หากแต่คลื่นลมแรงตรงหน้านี้ซัดเข้ามาไม่หยุดหย่อน จนเมื่อคลื่นสงบ เธอคิดว่าเขาคงหยุดแล
การกระทำเขาในคืนนั้นแตกต่างกับตอนนี้ราวเป็นคนละคน ในคืนนั้นที่เธอปฏิเสธ เธอเห็นแค่แววตาผิดหวัง แต่นับจากวันที่ชายหนุ่มพาตัวเธอมา เธอกลับเห็นแต่แววตาโกรธแค้น ไม่เข้าใจจริง ๆ เธอทำอะไรให้เขาโกรธขนาดนี้เสียงคลื่นลมด้านนอกทำให้เจด้าหันไปมอง เพียงไม่นานลมพายุได้ก่อตัวขึ้น “ตอนนี้เป็นช่วงมรสุม เดี๋ยวฝนตกเดี๋ยวแดดออก ไม่ค่อยแน่นอน”พีรพัฒน์รีบวิ่งไปปิดหน้าต่างประตูด้านนอก เขากลับมาที่ห้อง ก็เห็นเจด้าซุกตัวอยู่บนที่นอน ดึงผ้าห่มคลุมทั้งตัวจนเกือบมิดหัวทันใดนั้นมีเสียงฟ้าผ่าดังเปรี้ยง ซึ่งเป็นเรื่องที่เขาเคยชิน แต่เสียงกรีดร้องของคนบนเตียงต่างหากที่ทำให้เขาตกใจเจด้ายกมือปิดหูตัวเองก่อนเปลี่ยนเป็นหยิบหมอนขึ้นมาปิด เปรี้ยง!!! คราวนี้ดังกว่าเดิม เกิดมาเขาก็เพิ่งเคยเจอคนกลัวเสียงฟ้าร้องมากขนาดนี้พีรพัฒน์นั่งลงที่ขอบเตียง ดึงผ้าห่มของเธอออก เจด้ายังไม่กล้าลืมตา เขาดึงเธอมากอด สองมือของเจด้าโอบเอวเขาไว้แน่น ซบหน้าลงกับอกของเขา ตัวสั่นเป็นลูกนก“ไม่ต้องกลัวนะ ก็แค่ฟ้าร้อง” แต่ไม่ว่าจะปลอบเท่าไร เจด้าก็ไม่หยุดร้องไห้ ทั้งที่ผ่านมาเธอไม่กลัวอะไรเลย แต่กลับมากลัวเสียงฟ้าร้องเนี่ยนะเขาได้แต่คิดใ
“พูดจบหรือยัง เจด้าจะได้ออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ด้านนอก”“นี่เธอได้ฟังที่ฉันพูดบ้างหรือเปล่าเนี่ย”เจด้าพยักหน้า “ได้ยินค่ะ”“แล้ว...?”“No เจด้าไม่ชอบทำอะไรแบบนี้” เธอผลักเขาออก คิดจะลงจากโต๊ะที่โยกไปมาจนน่าเวียนหัวนี่ อันที่จริงผู้ชายตรงหน้าทำเธอเวียนหัวกว่าคลื่นทะเลเสียอีก พีรพัฒน์รีบจับมือเธอ ที่ผ่านมาเขาใช้ไม้อ่อนเพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ในคืนนั้น แต่ตอนนี้เธอแสนดื้อด้าน พูดยากพูดเย็น เขาจึงต้องใช้กำลังบังคับชายหนุ่มกดร่างของเจด้าลงกับโต๊ะ แต่หญิงสาวไม่ยอมใครง่าย ๆ ถ้าเธอไม่ยอมเสียอย่าง ไม่มีใครบังคับได้ หลังจากนั้นตัวกระชังจึงโยกเอนตามแรงต่อสู้ คนงานด้านนอกหันมามองอย่างสงสัยไม่ถึงห้านาทีก็มีเสียงดังตูม “เฮ้ย ฉิบหายแล้ว มีคนตกน้ำ”ภาสกรและลุงคมสันรีบไปเปิดประตู พบว่าคนที่ตกน้ำมีสองคน คนที่กำลังดำผุดดำว่ายคือพีรพัฒน์ส่วนอีกคนหายไป “คุณหนูหายไปไหนครับนายหัว”คนถูกถามไม่ตอบ รีบดำลงไปในทะเล จำได้ว่าเธอตกน้ำเพียง ไม่ถึงวินาที เขาก็กระโดดตามลงมา แต่กลับไม่เห็นร่างของเธอพีรพัฒน์ดำผุดดำว่ายสักพักก่อนโผล่ขึ้นมาบอกคนงาน “ให้คนไปดูรอบกระชังซิ เผื่อลอยไปติดตรงไหน”ลุงคมสันสั่งให้คนกระจายไป







