“ว่าแต่คุณหนูจะให้ข้าทำทรงไหนดีเจ้าคะ” เสี่ยวเมิ่งหยิบหวีไว้ในมือกล่าวถาม
“ม้วนขึ้นเป็นมวยสองอันติดปิ่นดอกไม้เรียบง่ายก็พอแล้วกระมัง” ข้าตอบ พินิจมองดวงตาดำคล้ำของตนเอง
ความงามที่เฝ้าถนอม บำรุงดูแลมาอย่างดี บัดนี้ราวกับคนป่วยอดหลับอดนอน จนเป็นริ้วๆ ใต้ดวงตาเช่นนี้ เฮ้อ…ถึงคราต้องลุกขึ้นมารับมือกับเรื่องเหล่านี้สักที ถ้ายังจมปลักอยู่ ข้ากับเด็กน้อยนี้คงจะมิพ้นหนึ่งปีต้องตายจากกันไปข้างหนึ่ง เมื่อครุ่นคิดเสร็จก็จัดการผลัดแป้ง เขียนคิ้ว แต่งหน้าแต่งตาไม่ให้ทรุดโทรมไปมากกว่านี้
เอี๊ยด...เอี๊ยดด เสียงรถม้าที่สั่นโคลงไปมา ล้อของมันเคลื่อนผ่านเมืองหลวงที่ขวักไขว่ไปด้วยผู้คนแน่นขนัด เป็นเมืองแห่งการค้า จึงมิต้องเอ่ยเลยว่าร้านข้างทางธรรมดายังมีลูกค้ายืนเรียงรายรอคิวอยู่สามสี่คน ข้าเลิกผ้าม่านขึ้นมามองทิวทัศน์ด้านนอก มองผู้คนวุ่นวายทำธุระของตนเอง
ตัดสินใจถูกแล้วที่ติดตามเจี่ยเจียออกมาด้านนอก ยามนี้จิตใจปลอดโปร่งมากขึ้น สูดกลิ่นหอมจากร้านอาหาร กลิ่นเครื่องหอมของร้านที่เพิ่งเคลื่อนผ่านไป
“ผ่อนคลายลงแล้วสินะ” ไป๋มี่อิงที่ลอบมองสีหน้าของน้องสาวกล่าวทักขึ้น ดวงหน้างามที่บึ้งตึงยามนี้มีรอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นมาแทน
“ผ่อนคลายลงมากเลยเจ้าค่ะ” ข้าเอ่ยตอบ หันกลับไปฉีกยิ้มให้เจี่ยเจีย
“ดีแล้ว” ไป๋มี่อิงเอ่ย ดวงตาประกายเจ้าเล่ห์เล็กน้อย เลื่อนมองออกไปทางหน้าต่าง
โรงเตี๊ยม
ข้าเดินลงจากรถม้าโดยมีเจี่ยเจียคอยประคองแขน กวาดตามองผู้คนที่เดินเข้าออกโรงเตี๊ยมไม่ขาดสาย คนหนึ่งออก คนหนึ่งเข้า ดูท่าโรงเตี๊ยมของตระกูลไป๋ข้าจะค้าขายร่ำรวยอยู่ไม่น้อย
จากนั้นมินานมากก็มีบุรุษร่างเล็กที่มีนามว่าจิวฉิง ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมสาขาเมืองหลวงวิ่งออกมาต้อนรับ เขาประกบมือทำความเคารพข้าและพี่สาว
“คารวะนายหญิงขอรับ” จิวฉิงกล่าวอย่างนอบน้อม ลอบมองบุรุษงามทั้งสองด้วยความตกตะลึง คนหนึ่งดวงหน้าหล่อเหลาคมคาย อีกคนผมสีเงินดวงหน้างามรับเครื่องหน้าทั้งหมดที่ยืนอยู่หลังไป๋มี่อิง
“คุณชายจิ้นและไท่จื่อมาถึงหรือยัง” ไป๋มี่อิงที่ยืนเอามือไพล่หลังกล่าวขึ้นเสียงเรียบ หลังมื้อเช้านางเรียกหูทิพย์ตาทิพย์สวรรค์ออกมาสั่งการให้เชิญสหายทั้งสองมาพบปะกันที่โรงเตี๊ยม
ไท่จื่อแคว้นซิ่น มีนามว่าซิ่นสือ ส่วนสหายอีกคนคือ จิ้นฝาน บุตรชายคนโตของเสนาบดีกรมพระคลัง ทั้งสองเป็นสหายสนิทของไป๋มี่อิง
“มาแล้วขอรับ ยามนี้อยู่ชั้นสองในห้องรับรอง” จิวฉิงกล่าวตอบอย่างนอบน้อม
ข้ายืนฟังจิวฉิงสนทนากับเจี่ยเจีย ก็ได้ยินชื่อของบุรุษผู้นั้น พลันขนทั่วกายได้ลุกชูชันขึ้นอย่างนึกขยาด ไม่รู้ว่าเจี่ยเจียคิดอันใดอยู่กันแน่ ถึงไม่บอกว่าเขาจะมาด้วย
ข้าจึงสาวเท้าเดินเข้าไปขนาบข้างถามความออกไปให้กระจ่าง
“เจี่ยเจีย ท่านชวนคุณชายจิ้นมาด้วยหรือเจ้าคะ”
“หืม...พี่ชวนมาด้วยรึ” ไป๋มี่อิงครางเสียงขึ้นสูงอย่างแปลกใจ ตีมึนตอบกลับ แล้วก้าวเดินนำเข้าไปในโรงเตี๊ยม
“เจี่ยเจีย!” ข้าหลุดเรียกนางออกไปเสียงดัง ท่าทางตีมึนเช่นนั้นคืออันใด ดูก็รู้ว่านางจงใจให้เป็นเช่นนี้
ข้าเดินเข้ามาด้านในห้องรับรอง หลุบตามองปลายรองเท้าตนเอง กลืนน้ำลายลงคอไปหลายอึก ด้านในนี้มีปีศาจที่ข่มเหงเคี่ยวกรำข้าในคืนนั้น เขาผู้ที่เป็นฝันร้ายหลังหลับตานอน
ข้ายืนนิ่งฟังเสียงเจี่ยเจียแนะนำไป๋จิวเซียนและคุณชายเยี่ยให้กับไท่จื่อ และบุรุษเลวนั่นรู้จักกัน จากนั้นถึงจะได้ยินเสียงนางเรียกข้าให้เข้าไปนั่งลงด้านข้าง
บรรยากาศดูสนุกสนาน ผู้คนในโต๊ะล้วนแต่นั่งสนทนากัน เหตุใดข้าถึงรู้สึกอึดอัดเยี่ยงนี้ได้...
หัวข้อสนทนานี้ย้อนกลับไปเมื่อสิบสี่ปีก่อน ในตอนที่ข้ายังเล็ก ได้ออกไปคฤหาสน์ตากอากาศนอกเมืองหลวงกับครอบครัว
ในวันนั้นได้มีโจรบุกเข้ามาเข่นฆ่าคนในคฤหาสน์ จึงเป็นสาเหตุให้ท่านแม่ของข้าสิ้นชีพลง และผู้ที่บุกเข้ามาช่วยเหลือพวกเราสองพี่น้องนั่นคือคุณชายเยี่ย หรือพี่เขยของข้าในยามนี้
ข้ารู้สึกแปลกใจในการสนทนาระลึกความหลังนี้ มองดวงหน้าเจี่ยเจียกับคุณชายเยี่ยสลับไปมา และหลุบตาลงมองมือที่ประสานบนตักของตนเองต่อ
ฟังเสียงรอบกายที่ผ่านเข้ามาในหูแลดูวุ่นวาย แต่ถึงกระนั้นข้าก็ยังจับจ้องมองมือตัวเองไม่ไหวติง
ตระกูลไป๋ของข้าเป็นตระกูลที่แปลกมาก บุตรคนแรกที่เกิดมาไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายจะต้องแต่งฮูหยินเข้าตระกูลเท่านั้น อีกทั้งยังต้องรับฮูหยินรองจากตระกูลไป๋สายรองเข้ามาอีกด้วย ดังนั้น เจี่ยเจียในฐานะบุตรคนแรกของตระกูล จึงค่อนข้างวุ่นวายทำงานหนักมากเป็นพิเศษ ไป๋จิวเซียนถูกรับเข้ามาในฐานะฮูหยินรอง ร่างกายไม่สมประกอบดี เขาเป็นบุรุษอ่อนแอและตาบอด
เมื่อครู่นี้จากที่ข้าฟังเขามีอาการกำเริบปวดหัวขึ้นมาเสียดื้อๆ เจี่ยเจียจึงรีบรุดเข้าไปดูอาการและถามไถ่
“เหตุใดน้ำเสียงถึงเป็นเช่นนั้น” ข้าหันหลังกลับไปมอง พลันก็เห็นหมอเจิ้งที่ยืนอยู่สวมใส่อาภรณ์สีฟ้าของหมอหลวงสนทนากับหมอหลวงอีกสามคนตรงมุมของสวน พวกเขาทั้งสามสนทนากันด้วยสีหน้ายิ้มแย้มสงสัยจะสนทนากันสนุกไม่น้อย หมอเจิ้งถึงได้ยิ้มกว้างออกมาเช่นนั้น...ข้าละความสนใจจากเขามามองเสี่ยวเมิ่งต่อ“ฮูหยินน้ำตกตรงนั้นสวยมากนัก พวกเราไปดูใกล้ๆ กันเถิดเจ้าค่ะ” เสี่ยวเมิ่งกล่าวเสียงฉะฉาน ชี้นิ้วไปด้านหน้าเพื่อหลบเลี่ยงจะตอบคำถามก่อนหน้านี้“สวยจริงด้วย...” ว่าแล้วก็สาวเท้าเดินไปชมมันใกล้ๆ เสียหน่อยด้านล่างน้ำตกมีบัวน้อย ปลาน้อยหลากสีแหลกว่ายอยู่ด้านใน พลันพอเมื่อถึงคิมหันตฤดูจะได้ให้ความรู้สึกเย็นสบายตา และให้ความรู้สึกสบายผิวเมื่อชมสวนจนอิ่มใจ สูดอากาศมากพอแล้ว ก็ถึงครากลับเข้างานเลี้ยง เพราะนี่ก็ออกมาได้สามเค่อแล้ว และเป็นจังหวะเดียวกันที่ข้ากำลังเดินกลับเข้าไปงานเลี้ยงก็เจอเข้ากับกลุ่มหมอหลวงที่กำลังเดินเข้าไปพอดิบพอดี“ฮูหยินไป๋” เจิ้งเหรินอี้กล่าวทักทายอย่างเป็นมิตร และเรียกขานนางตามสถานะในยามนี้“หมอเจิ้ง” ข้าเอ่ยเรียกเขาอย่างดีใจก้มหัวลงเล็กน้อย“ไม่คิดว่าจะเจอกันในงานเลี้ยง ว่าแต่ท่านสบายด
พอถึงเวลาออกเดินทาง ข้าก็เดินไปหน้าจวน โดยมีเสี่ยวเมิ่งติดตามเข้าวังหลวงไปด้วยในวันนี้ มิใช่คราแรกที่เคยเข้าวังหลวง สมัยยามเด็กก็เคยนั่งรถม้าติดเข้าไปกับเจี่ยเจียด้วย จึงไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอันใดมากมายข้ามองเห็นแผ่นหลังใหญ่ในชุดสีม่วงเข้มกลมกลืนกับสีผิวสองสีที่ค่อนไปทางเข้มของคุณชายจิ้นยามนี้ เขานั่งอยู่บนหลังม้าสีดำ นำอยู่ด้านหน้ารถม้าที่ข้ากำลังจะเดินขึ้นไปด้านใน จึงมิรู้ว่ายามนี้เขาแสดงออกทางสีหน้าแบบไหนรถม้าเคลื่อนตัวออกจากจวน ข้าก็เลิกผ้าม่านขึ้นมองภาพบรรยากาศสองข้างทางอย่างรื่นรมย์ ยามเย็นเริ่มมีหมอกลงบางเบา มองเห็นเป็นสีขาวมัวๆ เพียงเล็กน้อยเท่านั้น มันอาจจะไม่ใช่หมอก อาจจะเป็นไอระเหยจากกระทะร้านรถเข็นข้างทาง หรือเป็นไอร้อนจากจอกชาที่ผู้คนยกดื่มความรู้สึกเย็นชื่น ผสมกับความรู้สึกอุ่นๆ ที่ลอยขึ้นจากพื้นถนนทะลุเข้ามาในรถม้าที่นั่งอยู่ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูกเมื่อจัดสวนเสร็จข้าตั้งใจว่าจะลองฝึกทำอาหารดูเสียน้อย...พิณ ชงชา หมากล้อม กวี ทุกอย่างล้วนเรียนมาตั้งแต่เยาว์วัย เหลือทำอาหารก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อย หากทำตัวยุ่งๆ อยู่ตลอดยาม ความหนักอกหนักใจทั้งหลายก็ทุเลาลงมาบ้างห
“จริงรึ!” ข้าเอ่ยขึ้นอย่างดีใจ ยิ่งมันน่ารักมากเท่าไร นับว่ายิ่งดีมากเท่านั้นข้ารับกล่องไม้นั้นขึ้นมาเปิดออก พินิจมองของที่วางเอาไว้ด้านใน และหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่“ฮ่าๆ”เสี่ยวเมิ่งที่ได้ยินเสียงหัวเราะก็ยิ้มตามเสียงหัวเราะนั่นไปด้วย นางหลุบตามองของด้านใน และลองจินตนาการเป็นภาพทับซ้อนของจิ้นฝานในหัว“เหลือเสื้อคลุมตัวนอกเท่านั้นเจ้าค่ะ ข้าแวะไปถามความคืบหน้ามาแล้วว่า ต้องรออีกแปดวันถึงจะเสร็จดี” เสี่ยวเมิ่งรายงานอีก“เจ้านี่ทำงานได้ดีจริงๆ” ข้ายื่นมือไปตบบ่านาง และเอ่ยชมอย่างถูกใจในความรู้งานนี้ นับว่าเจี่ยเจียเลือกบ่าวมาได้ดีถูกใจข้านักส่วนจิ้นฝานที่นั่งประชุมขุนนางในโถงพระโรง พลันก็รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ตรงหลังขึ้นมาเสียดื้อๆ ความรู้สึกนี้มันทำให้เขารู้สึกขนลุกแปลกๆ เขายกมือขึ้น ดึงคอเสื้อออกเล็กน้อยให้หายใจคล่องคอเข้าวันที่สี่ ข้าไปยกน้ำชาตอนเช้า อยู่ร่วมทานอาหารมื้อเช้าพร้อมกับท่านแม่และท่านย่ารอง ส่วนคุณชายจิ้นก็เป็นเวลาสามวันแล้วที่ไม่ได้พบหน้าเขา เพราะติดงานราชการจึงกลับจวนดึกดื่นทุกวัน“ว่าแต่หลานสะใภ้มิกลับไปเยี่ยมตระกูลรึ...” ฮูหยินเฒ่าที่นั่งวางท่าบนเก้าอี้วางจอกชาลง
เฮ้อ...ก่อนหน้านี้คงจะรีบร้อนไปหน่อย ไม่ได้สำรวจความเรียบร้อยให้ดี จึงใส่ต่างหูเปื้อนดินให้อับอายเช่นนี้ทางด้านจิ้นฝานเดินถือตะเกียงเข้าห้องทำงาน นั่งลงอ่านรายงานที่ได้รับวันนี้จากซิ่นสืออย่างถี่ถ้วน ดวงหน้าค่อนไปทางดุดันมีสีหน้าราบเรียบได้แปรเปลี่ยนไปทางเคร่งขรึมขึ้นมาเล็กน้อยเพียงครู่เดียวเท่านั้น พลันก็มีเงาคนมาปรากฏทางหน้าต่างอย่างเงียบเชียบ“คุณชายจิ้น อีกครึ่งชั่วยามเจอที่หอโคมแดงขอรับ” เสียงอันเย็นเฉียบดังมาพร้อมเสียงหวีดของสายลม“หลิง...” จิ้นฝานเลิกคิ้วขึ้น หันหน้าไปมองดวงหน้ามนของหนุ่มน้อย“ขอรับ” หลิงนับคำ“ข้าทราบแล้ว” จิ้นฝานตอบรับอย่างเข้าใจหอโคมแดงจิ้นฝานควบม้าออกจากจวนตามหมายเชิญของสหาย ขึ้นไปยังชั้นบนสุด ที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ได้ทั่วเมืองหลวง สาวงามมากมายต่างแหวกทางออกให้เขาเดินได้สะดวกมากขึ้น เป็นที่รู้กันว่าเขานั้นไม่ได้มาเที่ยวสตรี แต่มาหาสหายคนสนิทที่นัดหมายมานั่งที่นี่เป็นประจำ“เสี่ยวสือ มี่เอ๋อร์...เอ่อ ฮูหยินใหญ่” จิ้นฝานเอ่ยทักคนทั้งสองอย่างแปลกใจ เลื่อนตาไปมองเยี่ยเปาที่นั่งร่วมโต๊ะด้วย“เสี่ยวฝานรีบเข้ามานั่ง” ไป๋มี่อิงเร่งรัด ยามนี้นางมิอาจอยู่ได้นาน
ค่อนข้างมีความรู้สึกช้าเหมือนบิดาของเขา และกล่าวบอกว่าอย่าได้โกรธเคืองบุตรชายนางนานเลย ข้ามิได้โกรธ แค่นอนสาปแช่งเขาก่อนนอนทุกคืนก็เท่านั้นเองข้าเดินมาถึงทางเข้าเรือน ยืนมองบ่าวขนต้นไม้เข้าไปวางไว้ในสวนในเมื่อเรือนนี้คุณชายจิ้นยกให้แล้ว ก็มิจำเป็นต้องขออนุญาตก่อนกระมัง“คุณหนูนั่งพักตรงระเบียงก่อนเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวบ่าวไปหยิบจอบอันเล็กมาให้” เสี่ยวเมิ่งพยุงนายหญิงมานั่ง จัดเบาะเอาไว้ใต้ก้น ก่อนจะวิ่งเข้าไปในเรือนอย่างกระฉับกระเฉงบ่าวที่ทำการขนต้นไม้ดอกไม้เสร็จแล้วนั้นก็เดินมาหาฮูหยินที่นั่งอยู่ตรงระเบียง พลางลอบมองด้วยความสนใจ สตรีรูปร่างบางเป็นถึงขั้นฮูหยินชมชอบปลูกดอกไม้ จับจอบจับดินให้มือแตกเสียอย่างงั้น นับว่าแปลกนัก“บ่าวขนหมดแล้วเจ้าค่ะ” บ่าวน้อยกล่าวบอกอย่างนอบน้อม“ขอบใจมาก หมดธุระแล้วก็ไปเถิด” ข้ากล่าวบอกพวกนางทั้งสี่คนที่ยืนวางมือบนหน้าขา ก้มหน้าอยู่“เจ้าค่ะ” พวกนางทั้งหมดยอบกายลง และเดินออกจากเรือนซือซือไปข้าลุกขึ้นไปยืนดูดอกไม้ด้วยความสุข และเดินสำรวจสวนด้านข้างและด้านหน้าเรือนไปด้วย พลางวางผังคร่าวๆ เอาไว้ในหัว ว่าต้องการจัดสวนแบบไหนทางซ้ายด้านหน้า น่าจะลงต้นไผ่ทองด้า
ปลักษณ์ภายนอกของนางไม่“เจ้าค่ะท่านพี่” ฮูหยินหม่านรับคำด้วยสีหน้ามีความหวังเมื่อย้อนความมาถึงอดีตแล้วนั้น ก็ควรจะย้อนความไปอีกเล็กน้อย เพื่อกล่าวถึงตระกูลไป๋ให้กระจ่างมากขึ้น ต้นตระกูลของไป๋ซิงหนี่ว์ คือตระกูลไป๋ ไป๋ที่แปลว่าสีขาว แต่ทว่าสีประจำตระกูลกลับเป็นสีดำล้วน ผู้ก่อตั้งคือบุรุษเก็บวิญญาณที่เหล่าคนตระกูลไป๋ได้ขนานนามไว้ หรือที่เป็นที่รู้จักกันดีคือเทพกึ่งปีศาจที่ถูกเรียกขานว่า จงขุยความน่ากลัวและเบื้องลึกมิใช่มีเพียงเท่านี้ ตระกูลนี้เป็นอันดับหนึ่งในสิบตระกูลมหาอำนาจในยุทธภพผู้นำหอหลิวลี้คนปัจจุบันคือ ไป๋มี่อิง ผู้บัญชาเหล่าดวงวิญญาณที่ทำพันธะ หารายได้จากการขายข่าวและข้อมูล อีกทั้งยังเปิดโรงเตี๊ยมทั่วแผ่นดิน ทุกหัวเมืองจะมีโรงเตี๊ยมตระกูลไป๋ตั้งอยู่ความหลังก็เป็นประการเช่นนี้ จึงเป็นเหตุให้สองสามีภรรยารีบทำการสู่ขอไป๋ซิงหนี่ว์เข้ามาในจวนอย่างเร่งด่วน มิเช่นนั้น พญามัจจุราชอาจจะมาเยือนที่จวนตระกูลจิ้นก่อนถึงเวลาอันควรฮูหยินเฒ่าบีบมือเข้ากับที่วางแขนมองตาเขียวไปทางหลานสะใภ้ มิรู้ว่าเหตุใดสตรีสมัยนี้ถึงทำตัวใจง่ายกันเช่นนี้ มิคิดถึงชื่อเสียงตระกูลหรืออย่างไรกัน“อาเซ่าอาหม่า