“อี้เชี่ยนน่ะแอบพึงใจในตัวนายท่านหลิ่งเฮ่อนานแล้ว ต่อหน้าท่านทำเป็นใสซื่อ ทำท่าบริสุทธิ์ไร้เดียงสา แต่ลับหลังกลับร่ายมารยาใส่สามีของท่านสารพัด แต่เป็นท่านที่โง่งมนัก ตอนนี้เป็นอย่างไร เห็นชัดเจนแล้วหรือไม่ พวกเขาสองคน ท่าทางรักกันมากเลยเจ้าค่ะ ลีลาร้อนแรงและรู้ใจกันปานนั้น เหมือนจะรักกันมานานแล้วด้วย มิน่าถึงได้สุขสมเหลือเกิน ย่อมลืมท่านที่เป็นภรรยา”
ภาพความรักอันร้อนแรงในลูกแก้วตาทิพย์ที่หลิ่งหลินได้เหลือบมองอีกครา สามียังคงร่วมรักกับศิษย์น้องของเขา ท่วงท่าล้วนบัดสี เสื้อผ้าไม่มี ช่วงกลางลำตัวที่เปล่าเปลือยนั้นกำลังแนบชิดสอดใส่ ประสานกันอย่างลึกซึ้งและถี่รัว
ช่างอุจาดตาสิ้นดี!
หลิ่งหลินกัดฟันระงับความเจ็บปวดทั่วสรรพางค์กาย มิใช่ไม่เคยระแคะระคาย มองมารยาสาไถยของอี้เชี่ยนไม่ออก เพียงแต่ต้องสนใจด้วยหรือ? สามีคนนี้ใครอยากได้ก็เอาไปสิ
หญิงสาวละสายตาจากภาพน่าอายนั้น เงยหน้ามองคนสนิทหนึ่งเดียวของตน “เจ้าสนใจสามีของข้า มากกว่าข้า ที่กำลังถูกพิษเล่นงาน?”
เรื่องนี้ต่างหากที่หลิ่งหลินคาดไม่ถึงและกำลังอึ้ง
เจียเย่ส่งเสียงจิจ๊ะอย่างขัดอกขัดใจ “นายหญิงสมควรใส่ใจเรื่องสามีถึงจะถูก ท่านถูกธาตุไฟเข้าแทรกเช่นนี้ ไม่ใช่ครั้งแรกเสียหน่อย สามีของท่านกำลังเริงรักกับหญิงชู้ ท่านดูสิ ดูให้เต็มตา”
นางชี้นิ้วสั่งอย่างโกรธา “ท่านควรไปหานังแพศยา จับมันแยกจากนายท่านซะ”
เจียเย่ยิ่งพูดยิ่งงุ่นง่าน "ก่อนนี้ข้าบอกแล้ว เตือนแล้ว ว่านังศิษย์นั่น มันคิดไม่ซื่อกับเขา แต่ท่านก็เอาแต่ฝึกวิชา ฮึ! แต่งงานตามคำสั่งผู้อาวุโสแล้วอย่างไร นายหญิง ท่านอย่าลืม เขาคือสามีของท่าน สมควรอยู่ข้างกายท่าน เหมือนกับข้าเองที่อยู่กับท่านตลอดเวลา แต่นี่อะไร ท่านปล่อยให้เขาไปไกลตา ในขณะที่ข้าต้องอยู่ในถ้ำบ้าๆ นี่กับท่าน ข้าทนไม่ไหวแล้วนะ”
เห็นลูกน้องคนสนิทเดือดดาลเกรี้ยวกราดปานนั้น หลิ่งหลินพลันขมวดคิ้วฉงน สักพักนางก็เริ่มเข้าใจทุกสิ่ง ทั้งเรื่องสามีกับหญิงชู้และลูกน้องที่แอบชอบสามี...แต่ทว่า...ใครสนกันล่ะ!
“ที่แท้ก็เช่นนี้ ยาพิษนี่...คือแผนการของเจ้าสินะ! บังอาจนัก!”
นอกจากไม่ปฏิเสธ เจียเย่พลันหัวเราะลั่น
“ฮ่าๆ ดอกบุปผาวารีผลาญวิญญาณที่ท่านชมชอบจนนำมาปลูกเอาไว้และเลี้ยงเองกับมือเป็นปี ท่านเคยสงสัยว่าฤทธิ์เดชร้ายกาจปานใด วันนี้รสชาติของมันเป็นเช่นไร คงรู้ซึ้งแล้วกระมัง ทรมานหรือไม่เล่า?”
“เจ้า...”
“โธ่เอ๋ย หลังจากที่ท่านโง่งมมาแสนนาน วันนี้ข้าทำให้ท่านฉลาดขึ้นมาแล้ว ทั้งเรื่องพิษจากบุปผาที่งามที่สุดดอกนี้ และสามีที่คู่ควรกับท่านที่สุดคนนั้น ท่านควรขอบคุณข้า แล้วตอบแทนด้วยตำแหน่งและอำนาจทั้งหมดเถิดนะเจ้าคะ”
หลิ่งหลินกัดฟันกรอด เค้นเสียงแหบแห้ง “เหลวไหล! หากมิใช่ข้า สมุนนับหมื่นไหนเลยจะยอมก้มหัวให้ผู้อื่น ยิ่งไม่ใช่เจ้าอย่างแน่นอน ช่างฝันเฟื่องสิ้นดี สามีข้าก็เช่นกัน เขาไม่มีทางเอาเจ้าเป็นภรรยา”
นอกจากไม่สลด เจียเย่กลับเลิกคิ้ว สีหน้าไม่ยี่หระ
“ยากอันใดเล่าเจ้าคะ เราสองก็แค่เปลี่ยนตัวกันซะ ท่านเป็นข้า และข้าเป็นท่าน ก็เท่านั้น”
กล่าวจบเจียเย่หัวเราะอย่างชั่วร้าย ดวงตาแดงก่ำปานเลือดซึม
หญิงสาวอาศัยช่วงที่หัวใจของหลิ่งหลินยังเต้นถี่รัว แต่ตับไตใกล้ดับสลาย เลือนลมแตกซ่าน พลังปราณสับสน ร่างทั้งร่างนั่งนิ่งสิ้นแรง มิอาจขยับเคลื่อนไหว
กลุ่มควันสีดำพวยพุ่งจากร่างของเจียเย่
วิชามาร ‘อสูรผลัดกายเปลี่ยนวิญญาณ’ ในตำนานพลันเกิดขึ้นตรงหน้า ม่านตาพร่าเลือนเห็นภาพสั่นสะเทือนเหมือนผนังถ้ำถูกเขย่า หินผาร้าว รอบทิศโคลงเคลงไม่หยุด
แต่หลิ่งหลินเพียงมองนิ่ง ไม่รู้สึกรู้สา ลอบพิจารณาบางสิ่งอย่างเงียบงัน แววตาเย็นชาปานนั้นสาวใช้ไม่สังเกตความเปลี่ยนแปลงนี้ เพียงเชิดหน้า กล่าววาจาฉะฉาน “นายท่านสวีสั่งมาว่าให้คุณหนูใหญ่คอยเอาอกเอาใจองค์ชายสี่ให้ดี ทำขนมให้พระองค์ด้วยตัวเอง และยาห่อนี้นำไปส่งให้องค์ชายสี่เพื่อแสดงความจริงใจ อย่าได้ขาดตกบกพร่องเด็ดขาด”หลิ่งหลินถามเสียงชืดชา “สกุลสวีปล่อยให้สาวใช้พูดจาเหมือนออกคำสั่งกับเจ้านายตั้งแต่เมื่อใด?”สาวใช้เพิกเฉยคำถามนั้น “คุณหนูใหญ่ควรรู้หน้าที่ว่าต้องทำสิ่งใด ส่วนข้าต้องทำหน้าที่ของตนเองเช่นกัน นายท่านสั่งมาบอกเช่นไรข้าก็แค่บอกท่านเช่นนั้น”คนฟังเลิกคิ้ว “อ้อ...มาเพราะเป็นคำสั่งท่านพ่อ จึงทำท่าโอหังต่อหน้าข้าได้สินะ”สาวใช้ไม่ตอบทางวาจาเพียงเงยหน้าสบตาตรงๆ แทนคำตอบนั้นแน่นอนว่าไม่มีจวนใดที่บ่าวไพร่กล้าบังอาจเช่นนี้! กล้าจ้องหน้าเจ้านายเนี่ยนะที่ผ่านมาตั้งแต่เด็กจนเติบโตคุณหนูน้อยสวีหลิงเยี่ยน ต้องทนกับบ่าวชั้นต่ำไม่รู้เท่าไรกระมังหลิ่งหลินเดาะลิ้น “อืม ข้าไม่ชอบท่าทางของเจ้าเลย ทำอย่างไรดีเล่า” นางทำท่าขบคิดจริงจัง “เอาเช่นนี้ดีไหม เจ้าไสหัวไปเสียตอนนี้ อย่าม
แต่ถ้าเป็นคนธรรมดาจะร้อนรุ่ม ยังไม่ทันได้เสพสมเลือดลมจะสูบฉีดเดือดพล่าน เส้นเลือดในร่างกายแตกซ่านจนกลายเป็นคนป่วยที่รักษาไม่หายในที่สุดแค่ยานี้ตัวเดียวเขาก็สามารถจัดการทุกสิ่งครอบคลุม หนึ่งพิสูจน์วรยุทธขององค์ชายสี่และทำลายมันลงซะ นักรบที่ไร้วรยุทธย่อมไม่ต่างจากคนพิการ แต่ทว่า...องค์ชายสี่ไม่ได้พิการ และหากพระองค์ทรงเสแสร้งแกล้งทำ...เขาทำให้เป็นจริงก็สิ้นเรื่อง! สองให้องค์ชายสี่มีสัมพันธ์สวาทกับคุณหนูใหญ่สวีเพื่อที่เขาจะนำหมากตัวนี้ไว้ข้างกายพระองค์ได้พอดี สกุลสวีก็มิได้ยิ่งใหญ่เกินไป สติปัญญาเหมาะแก่การชักไยและสุดท้าย...องค์ชายสี่ก็จะกลายเป็นวัวเป็นลา ต้องตกเป็นคนขององค์ชายรอง กองทัพที่ยิ่งใหญ่สกุลเต๋อซึ่งฟังเพียงคำสั่งองค์ชายสี่ก็จะตามมาทั้งหมดตระกูลเต๋อฝั่งมารดาขององค์ชายสี่ฝังรากหยั่งลึก เป็นรากฐานที่ไร้หัวใจ ดำรงอยู่หลายรัชสมัย กระทั่งฮ่องเต้องค์ปัจจุบันยังเกรงพระทัยนี่คือเหตุผลที่มิอาจเอาชีวิตองค์ชายสี่ได้ในเมื่อเอาชีวิตไม่ได้ ย่อมเหมาะจะเป็นหุ่นเชิดด้วยยาบุปผารัญจวนพันธนาการแห่งปรารถนา...แม้สรรพคุณจะรุนแรงปานนั้นแต่ไป๋มู่เจ๋อไม่คิดเอ่ย เพียงโน้มน้าวเฉพา
“ข้าต้องฝากฝังบุตรชายให้ใต้เท้าไป๋มู่ช่วยส่งเสริมแล้ว” สวีจงสือถูมือไปมา “หวังว่าจะสอบได้ตำแหน่งขุนนางประจำวังหลวงโดยเร็ว ได้เข้าร่วมประชุมเช้าในท้องพระโรงต่อเบื้องพระพักตร์”ไป๋มู่เจ๋อเลิกคิ้ว“แน่นอนว่าต้องสอบได้อย่างง่ายดาย อย่างไรเสีย ข้ายังคงเป็นผู้คุมสอบหลัก ท่านอย่าลืม” “ไม่ลืมๆ”รอยยิ้มไป๋มู่เจ๋อเปี่ยมไมตรี “ไม่ใช่แค่เพียงบุตรชาย บุตรสาวของท่านก็เช่นกัน ข้าทราบข่าวว่านางได้รับคัดเลือกให้เข้าเรียนร่วมตำหนักกับองค์ชายสี่”“ใช่แล้วขอรับ” สวีจงสือยอมรับอย่างโอ้อวดแน่นอนว่าเขาพอรู้เรื่ององค์ชายรองกับองค์ชายสี่ และก็ใช่ เขาเลือกข้างแล้ว“ข้าตั้งใจส่งบุตรสาวเข้าไปทำให้องค์ชายสี่หลงใหล และคอยอยู่ข้างกายเพื่อรายงานทุกความเคลื่อนไหวขอรับ”“เช่นนั้นหรือ? ดีมาก” ไป๋มู่เจ๋อพึงพอใจ เขาเอ่ย “มีข่าวหนึ่งที่ข้าอยากได้ข้อเท็จจริงอยู่พอดี”“เชิญท่านกล่าวมาเลยขอรับ”“มีข่าวลับเล็ดลอดออกมาว่าองค์ชายสี่ถูกทำร้าย จนมิอาจใช้วรยุทธได้อีก ขอแค่ยืนยันได้แน่ชัด เรื่องอื่นย่อมจัดการได้อย่างง่ายดายแล้ว”สวีจงสือถามให้แน่ใจ “แล้วถ้าหากองค์ชายสี่เพียงแสร้งทำเพื่อเก็บงำประกายไว้เล่าขอรับ ข้ารู้มาว่า
จักรพรรดิโปรดปรานการแย่งชิง ในสายพระเนตร ทรงสนพระทัยเพียงผู้ยืนหยัดมั่นคง ‘ชนะเป็นราชัน’ นั่นคือคำสอนแก่เหล่าโอรสของพระองค์เช่นนี้ ในเมื่อองค์ชายรองที่เป็นคู่แข่งในเรื่องผลงานการรบย่อมนับเป็นศัตรูคู่แค้นในที่ลับ แม้ต่อหน้าสามัคคีปรองดอง แสดงออกชัดเจนว่ารักใคร่พี่น้อง แต่ลับหลัง กลับคิดแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกับองค์ชายสี่ตลอดเวลา คนสนิทขององค์ชายรองอย่างไป๋มู่เจ๋อจะมาดีได้อย่างไร? คงไม่แคล้วมาคอยตามคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวและหาโอกาสเปิดลู่ทางปองร้ายโดยที่มิสามารถเอาผิดได้ยามนี้องค์ชายใหญ่กลายเป็นคนพิการมิต่างจากสิ้นพระชนม์ไปแล้ว โอรสทุพพลภาพ ย่อมหมดสิทธิ์ขึ้นนั่งบนบัลลังก์ทอง องค์ชายรองจึงเป็นตัวเลือกอันดับต่อมาต่อมาองค์ชายสามหายตัวไปที่ใดมิอาจทราบอีกคน คงเหลือเพียงองค์ชายสี่ที่ยังคงเป็นหนามทิ่มแทงใจ ตำแหน่งรัชทายาทที่ยังว่าง ช่างหอมหวานมิเจือจาง ศัตรูมิเคยตายใจรามือ ยังคงยึดถือเป็นคู่แข่งอันดับหนึ่งสีหน้าของคู่แฝดเผยความหวาดหวั่นออกมารางๆ ด้วยเกรงว่าจะปกป้องเจ้านายมิได้ องค์ชายรองน่ากลัวยิ่งนัก!อีกฝ่ายออกจากหุบเขาผนึกมารแล้วสินะ!“ยังมีอีกข่าวหนึ่งเพคะ”“พูดมา”“ไป๋
“ใต้เท้าไป๋มู่รึ? อย่าบอกนะว่า เป็นเจ้าบ้าไป๋มู่เจ๋อ?” ฟ่านเจิ้งโวยวาย “เขากลับที่นี่ด้วยเหตุใด? มิใช่ขอย้ายตัวเองไปเป็นอาจารย์ประจำตัวท่านอ๋องน้อยหรอกหรือ?” “จะมาด้วยเหตุใดได้ หากมิใช่คิดร้ายน่ะ” ฟ่านเจินให้รู้สึกเข่นเคี้ยวเขี้ยวฟันแต่ก็รู้สึกครั่นคร้ามเช่นเดียวกัน “ต้องเป็นเพราะองค์ชายรองแน่เจ้าค่ะ พวกเขาต้องการกลับมาจับตาดูทุกความเคลื่อนไหวขององค์ชายสี่นั่นล่ะ” พูดไปพูดมาก็อยากร้องไห้อีกแล้ว แค่นี้เจ้านายของนาง ก็ใช้ชีวิตลำบากมากพอแล้วนะ คู่แฝดพี่น้องตีโพยตีพายสีหน้าเคร่งเครียดในขณะที่จ้าวหมิงอวี่แค่นั่งนิ่งเงียบงัน มิเอ่ยคำใด เพียงจิบชาด้วยกิริยาเยือกเย็นดุจน้ำแข็งค้างเช่นเดิมชั่วครู่ให้หลัง เขาค่อยสั่งเสียงเรียบ “เพิ่มเวรยาม และคนคุ้มกันตำหนักให้แน่นหนาขึ้นแล้วกัน”ฟ่านเจิ้งยังไม่วางใจ “แล้วที่สำนักศึกษาเล่าขอรับ”“ธารกำนัลมีหลายดวงตาจ้องมอง เขาย่อมไม่ทำ พวกเจ้าอย่าได้กังวล” จ้าวหมิงอวี่เอ่ยเนิบนาบไร้อารมณ์แต่ทว่าฟ่านเจินยังไม่เห็นด้วยนัก “องค์ชายสี่เพคะ พวกเราย้ายสถานที่เรียนดีหรือไม่?”“เสด็จพ่อลงทัณฑ์ข้าให้อยู่ที่นี่ ยังจะย้ายได้หรือไร?” “แล้วพวกเราจะทำอย่า
ตำหนักหมิงเฟิ่ง ยามค่ำคืนที่เรือนส่วนพระองค์ สายลมค่อนข้างเย็นสบาย เหมาะแก่การพักผ่อนย่อนใจนั่งมองดาวที่สุกสกาวบนท้องฟ้าราตรีที่มืดมิดเช่นนี้ย่อมมองเห็นดวงดาราชัดเจนยิ่งฟ่านเจิ้งปรนนิบัติจ้าวหมิงอวี่รับมื้อเย็นเสร็จก็มาเฝ้าเจ้านายที่นี่เพื่อให้อีกฝ่ายทอดอารมณ์ผ่อนคลายตามวิสัย “องค์ชายสี่ คุณหนูสวีผู้นั้นอาจสละสิทธิ์ไม่เข้าเรียนร่วมตำหนักกระมังพ่ะย่ะค่ะ เห็นว่ายังยุ่งวุ่นวายอยู่ที่จวน เมื่อเป็นเช่นนี้นางคงไม่ใช่นักฆ่าที่คิดจะปลอมตัวเข้าตำหนักแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”ฟ่านเจิ้งว่าพลางรวบแขนเสื้อ นั่งลงจุดเตากำยาน จากนั้นหันไปชงชาส่งให้ผู้เป็นนาย ท่วงท่าองอาจสง่างามเป็นธรรมชาติสมเป็นคุณชายตระกูลใหญ่ที่ได้รับสิทธิ์ติดตามเชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์ เพียงแต่สายตากลับมิได้สุขุมสงบนิ่ง ยังคงแอบชำเลืองมองเจ้านาย คล้ายคนสอดรู้สอดเห็นในขณะที่จ้าวหมิงอวี่เพียงนั่งนิ่งพิงพนักเก้าอี้หลับตาท่าทางเย็นชาปานยอดหินผาภายใต้น้ำแข็งค้างเช่นนี้มีให้เห็นได้ตลอดเวลา ตั้งแต่ถูกนางมารสะบั้นรักในตอนนั้น ทำเอาบุรุษรูปงามที่เคยทรงพลังและเต็มไปด้วยความผยอง บัดนี้เปลี่ยนไปเป็นเงียบขรึมมืดมนเต็มขั้น มากกว่าความโศกเศร้าเย็นชาไ