หากใครคิดจะขวางอย่าได้หมาย ไม่เพียงร่างกายของเธอที่ต้องตกอยู่ใต้อาณัติของเขา หัวใจของทานตะวันก็ต้องตกเป็นทาสเสน่หาของเขา
หากไม่แล้ว...
ฆ่าเขาให้ตายเสียดีกว่า...
เพราะรักจึงอยากครอบครองให้สมรัก เป็นหนึ่งเดียวกับเด็กสาวที่เฝ้าทนุถนอมมานาน เธอทำให้เขารู้สึกเร่าร้อนรุนแรงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่หรือเป็นเพราะโชคชะตาที่ทำให้เขาได้พบเธอ เด็กหญิงผู้ถูกทิ้งไว้ที่ท้ายรถกระบะของเขาเมื่อยี่สิบปีก่อนก็ไม่อาจรู้ได้...
“ตาภูมิ! เป็นอะไร ตาภูมิ!”
ภูมิที่กำลังฝันค้างถึงกับสะดุ้งตื่น ขยี้ตามองร่างตะคุ่มเจ้าของเสียงเรียกที่เห็นเลือนรางจากแสงสลัวที่ลอดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามาแล้วต้องพรูลมหายใจหนักหน่วงเมื่อเห็นสายตาเป็นห่วงจากมารดา
“แม่”
“ก็แม่น่ะสิ เป็นอะไรล่ะเรา”
เจ้าของร่างท้วมผมสีดอกเลาลงนั่งข้างเตียงอังหลังมือกับหน้าผากชื้นเหงื่อของบุตรชาย ภูมิคว้ามือมารดาลงมากุมเหนือตักส่ายหน้าปฏิเสธ
“ผมไม่เป็นไรครับ”
“นี่ขนาดไม่เป็นไรนะ ร้องหาตะวันมันซะเสียงหลงเลย”“ผมเปล่าซะหน่อย”
“ย่ะ ให้มันจริงเถอะ แม่ก็นึกว่าแกว้าวุ่นเรื่องที่ไร่โน้นส่งคนมาทาบทามตะวันให้หนุ่มๆ บ้านเขาซะอีก”
“แล้วพวกบ้านนั้นเกี่ยวอะไรกับผมล่ะ”
“อ้าว! ตกลงเรื่องสู่ขอตะวันไม่เกี่ยวกับแกหรอกเหรอ”
“ก็ไม่เกี่ยวสิครับ ผมว่าพรุ่งนี้เช้าจะเข้าไร่ไปดูเด็กเก็บผลไม้รอบสุดท้ายซะหน่อย”
“แล้วจะได้แจ้นไปรับตะวันสินะ” มารดาหยอก
“ไม่ใช่ซะหน่อยน่ะแม่!”
ภูมิถึงกับหงุดหงิด รีบผุดลุกยืนคว้าผ้าขนหนูมาพันเอวปิดบ็อกเซอร์ที่สวมนอน มารดาได้แต่ส่ายหน้าระอาใจ พลันเหลือบไปเห็นบางอย่างที่บนเตียงนอนลูกชาย นางจึงได้แต่ยิ้มอย่างมีเลศนัย
“คนเรานี่ก็นะ ปากแข็งเหมือนหินแต่ใจไม่ยักกะแข็งเหมือนปาก นี่คงคิดมากจนเก็บเอาไปฝันถึงสิท่า”
“โธ่ แม่ครับ!” ภูมิเหลือบไปเห็นคราบวาวบนที่นอนแล้วถึงกับตาเหลือก รีบก้าวยาวๆ กระโดดขึ้นเตียงแล้วคว้าผ้าห่มคลุมปิดมิดคอ ก่อนจะเอ่ยคำพูดแก้เก้อ “แม่ไปนอนเถอะ”
“ไม่อยากรู้เรื่องบ้านโน้นจริงเหรอ”
“ก็เรื่องตะวันกับไอ้พวกไร่ฝั่งโน้นมันไม่ได้เกี่ยวกับผมซะหน่อย...”
“ฉันจะคอยดู”
“คอยดูได้เลย” ภูมิเสียงสั่นเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆ ปรับอารมณ์ให้นิ่งแต่ก็ต้องหลบสายตามารดาที่มองจ้องจับผิด ได้แต่ยิ้มกลบเกลื่อน ”จริงๆ นะแม่!”
“ย่ะ แกจะตัดสินใจยังไงก็รีบๆ เข้าล่ะ ขืนชักช้าอย่ามาร้องไห้งอแงให้ฉันเห็นก็แล้วกัน”
“โธ่! แม่! ผมไม่ใช่เด็กๆ”
“ในสายตาคนเป็นแม่ ถึงลูกจะโตกว่าควายยังไง ก็ยังเด็กอยู่ดีนั่นล่ะ”
“แม่เอาผมไปเปรียบกับควายเลยเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ” ภาคินีค้อนขวับเข้าให้ “จะทำอะไรก็ให้รีบๆ เข้า ระวังจะเสียใจทีหลัง”
ภูมิอ่อนอกอ่อนใจ นี่ใครใช้ให้แม่ของเขารู้ทันเสียทุกเรื่องกัน...
ภูมิรู้สึกอับจนคำพูด ไม่ว่าตอนนี้หรือตอนไหน เขาก็พ่ายแพ้ต่อคำพูดของผู้หญิงบ้านนี้มาตลอด ทานตะวันก็คนนึงเก่งนักพูดให้ใจหวั่นไหว คราวนี้มารดาของเขาก็พอกัน ขยันเติมเชื้อไฟเสียจริง
เขาเริ่มหวั่นใจว่าจะโดนแย่งของรักแล้วสิ!
“ไม่กวนแกแล้ว นอนได้แล้ว”
“ครับ”
ภูมิมองตามหลังมารดาที่ปิดประตูห้องเสร็จ เขาจึงล้มตัวลงนอนนึกถึงความฝันเมื่อครู่ มันเสมือนจริงจนเขาแทบบ้า
โธ่! ไอ้ภูมิ ไอ้สมภารคิดจะกินไก่วัด!”
ภูมิก่นด่าตัวเองในใจด้วยความหงุดหงิด คิดว่าเพราะไม่ได้เจอทานตะวันนานพอที่จะทำให้ความรู้สึกเสน่หาที่มีต่อเธอเบาบางลง
แต่ไม่ใช่เลย...
มันยังคุกรุ่นอยู่ในใจ เหมือนตกอยู่ในบ่วงรักลุ่มหลงในตัวทานตะวัน
เธอเป็นสมบัติของเขา...
ของเขาคนเดียว...
ภูมิหลับตาล้มตัวลงนอนอีกหนพยายามข่มตาหลับ แต่ภาพในฝันเมื่อครู่ยังวนเวียน เขาหลับตาแล้วปล่อยใจล่องลอยไปไกลในจินตนาการ ยิ่งรู้ข่าวว่าคนไร่ข้างๆ มาทาบทามสู่ขอทานตะวันให้หลานชาย เขายิ่งนอนไม่ได้
โธ่โว้ย! ไอ้บ้า!
ภูมิผุดลุกนั่งกุมขมับทึ้งดึงหัวตัวเองอย่างบ้าคลั่ง จะทำยังไงให้หลับตาลงได้ แค่คิดว่าจะมีใครมาแย่งของรักก็แทบจะทนไม่ไหวแล้ว!
ในที่สุดภูมิก็นอนไม่หลับ...
ร่างสูงกำยำผุดลุกผุดนั่งทั้งคืนกว่าจะได้งีบก็เกือบเช้า กระทั่งแสงจากโทรศัพท์สว่างขึ้นพร้อมเสียงนาฬิกาปลุกแผดร้อง ภูมิจึงสะดุ้งตื่น
ด้านนอกฟ้ายังมืดแต่ภูมิตัดสินใจว่าจะรีบออกเดินทางไปรับทานตะวันกลับไร่ก่อนฟ้าสาง
ชายหนุ่มสตาร์ทรถญี่ปุ่นสี่ประตูคู่ใจ แต่ไม่ทันจะได้ออกรถก็โดนเงาของใครคนหนึ่งกระโดดเข้ามาขวางเสียก่อน ชายหนุ่มถึงกับสะดุ้งที่ถูกจับได้จึงเปิดหน้าต่างชะโงกหน้าออกไปหาคนที่สีหน้าไม่สู้ดีตรงหน้า
“โดดมาขวางอยากตายรึไง” ภูมิเอ็ด
แทนที่คนโดนให้พรแต่เช้าจะสลดกลับหรี่ตามองพร้อมคำฝากฝังชุดใหญ่
“แม่นายฝากมาบอกว่าให้พ่อเลี้ยงรีบพาคุณตะวันกลับบ้าน อย่าพาไปเถลไถลที่ไหนค่ะ”
“ฉันไม่ได้จะไปรับตะวัน” ภูมิคอแข็งตอบแต่พอเห็นสีหน้าเจ้าเล่ห์ราวกับรู้ทันของคนสนิทมารดา เขาจึงรีบบอก “ฉันจะไปดูไร่ตะหาก”
“แต่ทุกทีถ้าพ่อเลี้ยงไม่มีธุระไปต่างจังหวัดก็ไม่ขับคันนี้... เอ หรือแม่นายเข้าใจผิด”
“เออ... ก็ประมาณนั้นแหละ ไปไร่ก่อนแล้วจะแวะไปธุระในเมืองน่ะ”
“อ๋อ... ไปธุระในเมือง”
“แต่ไมได้ไปรับตะวัน”
“อ๋อ....”
น้ำเสียงยานคางรู้ทันของอีกฝ่ายทำให้ภูมิจิ๊จ๊ะขัดใจก่อนโบกมือไล่แล้วรีบขับรถออกไปทันที เขาทันได้เห็นมารดามองมาจากริมระเบียง สีหน้าของมารดานั้นดูนิ่งสงบ แต่ริมฝีปากที่ยกยิ้มขณะมองตามทำให้ภูมิรู้สึกสะท้าน เพราะถูกจับได้ไล่ทันเข้าให้
“อาภูมิอย่าประชดแบบนี้สิคะ มันไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ!”“อารุ้แค่ว่าตะวันรังเกียจความรู้สึกของอา”“ตะวันไม่ได้รังเกียจ!”เธอหรือจะกล้าคิดอย่างนั้น...เด็กสาวน้ำตาหยดทันที ไวเท่าความคิดเท้าที่เจ็บเมื่อครู่กลับไร้ซึ่งความเจ็บปวด มันก้าวนำเธอไปทางฝั่งที่อาหนุ่มกำลังเปิดประตูรถโดยไม่นำพาว่าภูมิจะคิดยังไง“หยุดพูดว่าตะวันรังเกียจอาภูมินะคะ!” เธอตวาดลั่นดึงแขนอาหนุ่มให้หันกลับมาฝนกระหน่ำแรงกว่าเดิมจนเสื้อผ้าหน้าผมอาหลานต่างเปียกลู่ แต่ดวงตาทั้งสองยังคงจ้องกันแน่วแน่นิ่งงัน“ก็ได้... ต่อไปอาจะไม่พูด ไม่ทวงถามอะไรตะวันอีก” ภูมิแกะมือเย็นเฉียบของเด็กสาวออกและมองเธออย่างชั่งใจครู่หนึ่งก็ถอนใจพูดต่อ “อาจะถือว่าเรื่องระหว่างเราไม่เคยเกิดขึ้น ตะวันไม่ได้รักอา"“ไม่จริง!” ทานตะวันสะอึกสะอื้นทันทีภูมิก้มมองสองมือเรียวโอบรอบเอวของตนด้วยความตื่นตะลึง ทานตะวันแนบหน้ากับอกเขาตัวสั่นเทา ภูมิผละมือจากประตูลงกุมมือเด็กสาวไว้จะหันกลับไปแต่เธอขืนตัวไว้แล้วกอดแน่นยิ่งกว่าเดิมจนเขาแทบหายใจไม่ออก“หากอาภูมิรักตะวันจริง” เธอพูดเสียงสั่นเครือ มือกำจิกเสื้อเชิ้ตชายหนุ่มแน่น “คืนนี้เราค้างด้วยกันนะคะ”“อะไรนะ!” ภูมิค
เธอร้องเสียงหลงเหลียวหาคนช่วยแต่ถนนยามดึกเปลี่ยวจนน่าใจหาย ไม่มีรถแม้สักคันติดไฟแดงหรือผ่านไปมา ภูมินึกโมโหจนต้องตวาด“หยุดเดี๋ยวนี้! ร้องยังกะวัวถูกเชือดไปได้ อาไม่ได้จะพาไปฆ่าสักหน่อย”“อาภูมิไมได้ฆ่าให้ตายแต่อาภูมิจะฆ่าตะวันทั้งเป็นรู้ตัวรึเปล่าคะ” เธออุทธรณ์น้ำตาท่วมแก้ม“อาฆ่าตะวันทั้งเป็นตรงไหน ก็เห็นๆ อยู่ว่าตะวันก็เคลิ้มไปกับอา”“อาภูมิ!” เด็กสาวตวาดลั่นทุบอกอาหนุ่มทั้งที่ตัวยังลอยอยู่ในอ้อมแขน “ปล่อย! ถ้าจะดูถูกกันขนาดนี้ก็อย่าสนใจตะวันเหมือนเมื่อก่อนก็ได้”“ไม่ได้...”“ทำไม!”เด็กสาวช้อนตามอง หวังได้ยินคำตอบที่จะทำให้จิตใจดีขึ้น แต่ภูมิกลับนิ่งเฉยทำให้เธอฉุนจัด ฟาดฝ่ามือลงบนหน้าอาหนุ่มอย่างลืมตัว “นี่สำหรับสิ่งที่อาภูมิทำกับตะวัน”“ตะวัน! กล้าตบอาเชียวเหรอ” ภูมิถึงกับตะลึงตั้งตัวไม่ทัน ทั้งโมโหแต่ก็เหมือนจะมือไม้อ่อนเพราะดวงหน้าหลานสาวนอกไส้ทั้งเจ็บปวดและน่าสงสารเหลือเกิน แต่ที่เขาทำไปเพราะหึงหวงเกินต้านไหว เขาต้องหักใจดูทานตะวันเติบโตเป็นสาวอยู่ไกลตามากแค่ไหนแต่ตอนนี้ทานตะวันเรียนจบและโตพอที่จะไม่เป็นเพียงหลานสาวบุญธรรมของเขาแล้วหากบังคับให้เธอเป็นของเขาเสียแต่เดี๋ยวนี้ได
เธอตัดสินใจผลักอาหนุ่มเต็มแรงจนร่างหนาเซชนกระจกฝั่งคนขับ ศอกชายหนุ่มสัมผัสโดนปุ่มกระจกเต็มแรง หน้าต่างฝั่งคนขับเลื่อนลงโดยอัตโนมัติ ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “คุณ... คุณ”“อย่ายุ่งน่า ใครวะ!” ภูมิสบถหันขวับไปมองถึงกับเบิกตาค้าง “เฮ้ย! ตำรวจ!”“ก็ตำรวจสิครับ” นายตำรวจหนุ่มถอนหายใจเฮือกยกมือวางบนกระจกอีกมือส่องไฟฉายเข้ามาในรถสำรวจทานตะวันน้ำตาร่วงผล็อยเบือนหน้าหนีไปอีกฝั่งทันที อาหนุ่มแทบจะดึงทึ้งศีรษะตัวเองที่ปล่อยให้อารมณ์ใคร่พาไป มือหนาเอื้อมไปลูบผมเด็กสาวขยี้เบาๆ ก่อนเอาตัวบังให้แล้วบอก“ติดกระดุมเสื้อก่อน อาจะบังให้”ทานตะวันหน้าเหยเกตะครุบสาบเสื้อที่เปิดอ้าหันข้างให้แสงไฟก้มหน้าก้มตาติดกระดุมเสื้อมือไม้สั่น น้ำตาหยดลงบนหลังมือด้วยความคับแค้นแต่ไม่มีแม้แต่เสียงให้อีกฝ่ายได้ยินเพราะเธอกัดริมฝีปากแน่นแทนการกักเก็บเสียงจนปากนุ่มแทบห้อเลือด อาภูมิใจร้าย...ทำแบบนี้กับเธอทำไม... “ดึกดื่นมาจอดทำอะไรกันที่เปลี่ยวๆ แบบนี้ ขอดูใบขับขี่ด้วยครับ” ตำรวจหนุ่มค้อมตัวลงต่ำจ้องมองลึกไปยังที่นั่งอีกฝั่ง ภาพที่เห็นคือหญิงสาวร่างเล็กนั่งหันหลังให้
ทานตะวันอาศัยทีเผลอเปิดล็อคประตูรถจะก้าวลงไป มือหนาๆ ของเขาก็คว้าข้อมือเธอไว้แล้วกระชากกลับก่อนจะปิดล็อคจากฝั่งตัวเอง“เจ็บนะคะ!” เธอร้องบอก“เจ็บก็ดีแล้ว กล้าดียังไงดื้อกับอาแบบนี้ ลงไปเกิดอันตรายจะทำยังไง”“อยู่ที่นี่ก็อันตรายพอกันแหละค่ะ” เธอตอบพลันน้ำตาก็หยาดหยด “โอ๊ย! ตะวันเจ็บค่ะอา”ภูมิกัดฟันกรอดเบือนหน้าหนียังคงบีบข้อมือเธอแทบห้อเลือด หน้าเข้มเครียดขึ้ง สันกรามบดกันเป็นสันนูน ดวงตาวาวไปด้วยไฟแห่งความโกรธคุโชน เขาโมโหเธอที่ทำเหมือนไม่เคารพกัน“เจ็บงั้นเหรอ! อาสิเจ็บกว่าที่เห็นตะวันก้อร่อก้อติกกับผู้ชายพวกนั้น”“อะไรนะคะ!” เธอถามย้ำตาเหลือกลานกับคำพูดประชดประชัน “อาภูมิหมายความว่ายังไง ทำไมถึงเจ็บ ทำไมคะบอกให้ตะวันรู้หน่อย”“ไม่มีอะไร อาแค่ไม่ชอบที่ตะวันเห็นคนอื่นดีกว่าอา”“แค่นี้เหรอคะเหตุผล” เธอเอ่ยเสียงแผ่วราวกับให้ได้ยินแค่ตัวเองผิดหวัง...ดวงหน้าสดใสพลันหม่นหมองลงทันที เธอเบือนหน้าออกนอกหน้าต่าง ลอบถอนหายใจกลั้นสะอื้นไม่ให้น้ำตาหยาดไหล แต่ดูเหมือนความเสียใจจะไม่ฟัง เพราะไม่กี่นาทีต่อมาก็มีเสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมาให้ได้ยิน หัวใจคนฟังตกอยู่ที่ตาตุ่มทันใด...“ร้องไห้
ทานตะวันผงะกับถ้อยคำประหลาด หัวใจเธอพองโตอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ภูมิมีศักดิ์เป็นอาส่วนเธอมีฐานะเป็นเพียงหลานบุญธรรมของคุณภาคินีมารดาของภูมิ เธอไม่กล้าแม้แต่จะอาจเอื้อมคิดเผยอเทียบเคียงกับเขาได้เลย“อา... คือว่า... อา”ภูมิตั้งท่าจะสารภาพความรู้สึกกับทานตะวัน ถึงยังไงเขาก็ไม่ปล่อยให้เธอเป็นของใครแต่ทว่า...“อ้าว! ยังไม่กลับอีกเหรอคุณตะวัน”“คุณชลทิศ!”สองอาหลานผละออกจากกัน ทานตะวันเหลียวมองต้นเสียงสีหน้าเหยเก ส่วนภูมิกำหมัดแน่นเพราะอีกฝ่ายอมยิ้มมองมายังเขาคล้ายรู้ทัน ครู่เดียวก็ละสายตาไปรอคำตอบจากเด็กสาว“ตกใจอะไรเหรอครับคุณตะวัน”“ปละ... เปล่าค่ะ ตะวันกำลังจะกลับพอดีค่ะคุณชลทิศ”“งั้นเอาไว้เจอกันนะครับ” ชลทิศพูดจบทิ้งสายตามองภูมิที่ยืนหน้าตึงมองอยู่ครู่หนึ่งจึงหันมากระซิบบอก “ผมจะไปเยี่ยมคุณตะวันที่ไร่เร็วๆ นี้”“ไปทำไม!” ภูมิแย้งหน้าตึงทันที“เมื่อกี้ผมบอกไปแล้ว เกรงว่าคุณอาจะไม่ทันฟัง”“ใครเป็นอาคุณ” ภูมิตีรวนเสียงขึ้นจมูก “ไปตะวันกลับ!” “เอ่อ... แต่ตะวันว่า” เธอตอบได้เพียงเท่านี้ก็ถูกกระชากแขนออกห่างอีกฝ่าย “กลับ!” “เดี๋ยวสิคะอาภูมิ!” ทานตะวัน
แค่คิดก็เบื่อ ดีที่มีชลทิศมาคุยเป็นเพื่อน แต่คุยได้ไม่นานภูมิก็เดินตรงเข้ามาสีหน้าถมึงทึงจนทานตะวันที่กำลังหัวเราะร่วนถึงกับหุบยิ้มอย่างรวดเร็ว“คุยอะไรอยู่หัวเราะสนุกเชียว”คำถามราบเรียบแต่น้ำเสียงดุดันของอาหนุ่ม ทั้งมองเธอและตวัดหางตามาทางชลทิศ ทำให้ทานตะวันขนคอลุกชัน เธอยิ้มแหยๆ แนะนำอีกฝ่ายกับอาของเธอ “นี่คุณชลทิศค่ะ ส่วนนี้คือ...” “คุณภูมิ ภูมิรัตน์ ลูกชายคนเดียวของคุณภาคินี ภูมิรัตน์ เศรษฐีนีเจ้าของสวนปาล์มทางใต้ใช่ไหมครับ” ชลทิศต่อให้สบตาภูมิแบบไม่มีใครยอมใคร ภูมิหัวเราะหึๆ ก่อนตอบ “ครับ... และรีสอร์ตกำลังจะเปิดตัว” “อ๋อ มีรีสอร์ตด้วย” ชลทิศทวนคำแล้วพยักหน้ารับรู้ตาม “ถ้ามีโอกาสผมคงได้ไปพักบ้าง” “น่าจะยังไม่เร็วๆ นี้” ภูมตอบหน้านิ่ง ทานตะวันอึ้ง มองทั้งสองแล้วลอบพรูลมหายใจไม่มีออมคำพูดเลย... ทานตะวันลอบพรูลมหายใจ อดเหน็บแนมอาหนุ่มในใจไม่ได้ แต่ภูมิยักไหล่ เธอทันเห็นจึงเบะปากใส่แต่อีกฝ่ายกลับลอบยกยิ้มทำให้เธอนึกเคืองในใจ“โอว... ผมตกข่าว เพิ่งรู้ว่าไร่ภูมิวัฒน์ทำรีสอร์ตด้วย” ชลทิศตอบแก้เก้อนึกรู