“ก็เท่ากับทิ้งคุณย่ากับตะวันอยู่ดี” เด็กหญิงอิดออดเสียงสั่น โผเข้ากอด
“ตะวัน... ปล่อยอา” ภูมิส่งเสียงสั่นเทาโดยไม่หันกลับไปมอง ก้มมองสองมือเรียวที่กำแน่นอยู่เหนือหน้าท้องของเขาด้วยความรู้สึกอึดอัด “ปล่อยอา... ตะวัน”
“ไม่ปล่อยค่ะ ตะวันไม่ปล่อย!”
เด็กสาวดื้อแพ่ง สองมือกุมกันแน่นเข้าทำให้ภูมิรู้สึกถึงสรีระที่เปลี่ยนไปของเธอ
ทานตะวันเริ่มเป็นสาวแล้ว...
เธอไม่ใช่เด็กหญิงที่เขาอุ้มพาดบ่าหรือพาขี่คอเที่ยวชมทุ่งหญ้าแปลงดอกไม้ใบหญ้าบานสะพรั่งเหมือนเดิม
เขากลัวว่าจะอดใจไม่ไหวจนทำเรื่องเลวร้ายกับเธอ...
“กอดพอแล้ว ทีนี้จะปล่อยอาได้รึยัง” ภูมิเอ่ยเสียงแผ่วแกะมือน้อยๆ ที่ยังขัดขืนอยู่
“ทำไมอาภูมิต้องไปอยู่ที่อื่นด้วย” เธอถามเสียงเศร้าสร้อย
“ก็อาบอกหลายรอบแล้วว่าต้องไปทำงาน”
“ทำที่ไร่นี้ได้นี่คะ”
“งานอาไม่ได้มีแต่ที่ไร่นะตะวัน”
“อาภูมิคิดอีกทีไมได้เหรอคะ ตะวันขอร้อง”
เฮ้อ...
ภูมิอ่อนใจ อะไรมันจะพูดยากพูดเย็นขนาดนี้กัน!
“ช่วงที่อาไปทำงานในเมือง ตะวันก็คอยอยู่กับคุณย่าดูแลคุณย่าแทนอาด้วยนะ อาไม่มีใครอีกแล้วนอกจากตะวัน ทำให้อาได้ไหม” เขาตอบพลางย้อนถามเธอไม่เต็มเสียง
“ตะวันไม่อยากแยกจากอาภูมิเลย ทำไมอาภูมิใจร้าย ฮือออ” เด็กสาวเสียงสั่น
แต่ทำไงได้...
ไม่ใช่เพราะใจดำกับเด็กสาวที่เลี้ยงดูมาแต่ถึงจะอยากอยู่แทบตายแต่คงอยู่ไมได้แล้ว เพราะใจของเขามันไม่รักดี เขาหลงรักทานตะวัน รักทั้งที่รู้ว่าไม่เหมาะสม
เขาไม่ควรรักเธอ
ไม่ควรเลย...
ภูมิกลั้นน้ำตา สงสารร่างสั่นระริกที่แนบแผ่นหลังเขาอยู่ เธอคงไม่รู้ตัวว่าเขาคิดอะไรเกินเลยไปแล้ว และเขาต้องไปจากเธอจะได้ไม่เป็นไอ้ชั่วให้เธอเสียใจ ภูมิเหลียวหลังไปหาต้นเสียงด้วยสีหน้าแดงก่ำ แต่อ้อมกอดที่รัดแน่นของเด็กสาวแรกแย้มทำให้เขาไม่สามารถทำได้อย่างใจ ทานตะวันซบหน้ากับแผ่นหลังของเขาด้วยน้ำตา
มันอุ่น...
อุ่นไปถึงผิวสัมผัสแต่เจ็บช้ำไปถึงสุดขั้วหัวใจ...
“ไปได้แล้วมั้ง ตาภูมิ จะค่ำแล้ว”
ภูมิหันขวับไปหาต้นเสียง ขณะเดียวกันกับทานตะวันที่รีบปล่อยมือ ถอยออกไปยืนข้างๆ ภูมิเหลือบมองเธอครู่หนึ่งจึงค่อยๆ เผยอยิ้มฝืนให้มารดา
“ผมไปก่อนนะแม่”
“จ้ะ”
ภูมิยกมือไหว้มารดาก่อนจะเหลือบมองทานตะวันอีกแวบหนึ่งแล้วหันหลังจากไป เขารู้ว่าที่ไปคือกายหยาบแต่หัวใจหล่นหายอยู่ที่ไร่ไปเสียแล้ว...
หลายปีผ่านไป...
“อาภูมิ! อย่าค่ะ”
เสียงโอดครวญของร่างขาวผ่องในชุดกระโปรงสั้นหวานเสียจนคนโดนห้ามต้องตรึงข้อมือเล็กของเด็กสาวเอาไว้ เธอปัดป้องเมื่อเขาพยายามสอดมือเข้าไปที่ชายเสื้อแผ่วเบา
“อย่าอะไร อย่าทำหรือว่า... อย่าหยุด”
“ยะ... อย่าค่ะ”
เด็กสาวร้องห้ามเสียงแผ่ว สองแขนเกี่ยวกระหวัดรอบเอวอาหนุ่ม ร่างกายร้อนเร่าดิ้นทุรนทุรายภายใต้ร่างแข็งแกร่ง กล้ามแขนเป็นมัดของเขากักขังเธอไว้ให้จมหายไปกับที่นอนนุ่ม
ริมฝีปากหนาซอนจูบเริ่มจากหน้าผาก ไล้ลงมาเปลือกตาที่ขนตาหนาเป็นแพดำขลับของเธอ ลมหายใจอุ่นร้อนรินรดแก้มนุ่มด้วยอารมณ์โหยหา กอด จูบลูบไล้จนเธอระทวย
“ให้อา... เป็นของอานะ” หนุ่มใหญ่กระซิบ เสียงกระเส่าไปด้วยอารมณ์ปรารถนาพราวเพริด
“แต่มันไม่เหมาะนะคะ... อาภูมิ”
“ไม่เหมาะตรงไหน ตะวันไม่ใช่หลานแท้ๆ ของอาสักหน่อย”
“แต่ว่า...”
เด็กสาวพูดได้เพียงเท่านั้นก็โดนริมฝีปากหนาประกบลงมา เธอป้องปัดไปมาเป็นเชิงห้ามแต่กลับอ่อนแรง ริมฝีปากเผยอยามที่เขาสอดลิ้นเกี่ยวกระหวัดจนเธอไร้เรี่ยวแรงขัดขืน
หนุ่มใหญ่ละริมฝีปากออกแล้วยิ้มเล็กน้อย “อย่าห่วงเลย อาจะทำให้ตะวันมีความสุข”
“แต่ตะวันกลัว”
“ไม่ต้องกลัว... แค่ปล่อยใจไปกับอา” เขาเอ่ยกระเซ้า
ทานตะวันจ้องตอบ ดวงตามีแววลังเล แม้อยากให้เขาลูบไล้เปิดเปลือยอารมณ์ดำกฤษณาภายใน แต่มันไม่ถูกต้อง เธอกับเขาไม่สมควรทำเรื่องแบบนี้
“แต่คุณย่า...”
“อาจะจัดการเอง ไหนๆ เราก็เริ่มมาถึงตรงนี้แล้ว” ชายหนุ่มยังคงไล้นิ้วไปตามแก้มนุ่ม ดวงตาระยิบระยับบ่งบอกความปรารถนาลิบลิ่ว “อาทนไม่ไหวแล้วตะวัน”
มือแข็งแรงปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีชมพูอ่อนของเด็กสาวช้าๆ จากเม็ดล่างสุดถึงบนสุด เปิดสาบเสื้อออกทีละข้างจนเห็นอกตูมล้นทะลักใต้บราสีชมพูอ่อน แววตาอาหนุ่มวาววับถูกใจ
“สวยสมกับที่รอคอย...”
ไม่พูดเปล่ามือแข็งแรงยกแผ่นหลังบอบบางเด็กสาวขึ้นจัดการปลดตะขอบรามือไม้สั่น เพียงสิ้นสิ่งพันธนาการ อกตูมก็เปิดเปลือยต่อหน้า
“อย่าค่ะ... อาภูมิ” เด็กสาวเสียงสั่น “ตะวันกลัว”
“อย่ากลัวอา”
เสียงพึมพำในลำคอ ไม่ได้แปลว่าเขาจะหยุด แต่มันหมายถึงแรงอารมณ์ที่เริ่มโหมทะยาน ริมฝีปากหนาฉกวูบริมฝีปากนุ่มที่คอยอุทธรณ์ร้องขอ
แค่ริมฝีปากประกบกัน ราวกับไฟฟ้าหลายร้อยโวลต์ดึงดูด จากนุ่มนวลเลาะเล็มความนุ่มหยุ่นดูดดึงริมฝีปากบนล่างก็แปรเปลี่ยนเป็นเรียวลิ้นเกี่ยวกระหวัด จากคำขอร้องกลายเป็นเสียงครางในลำคอเด็กสาว
อืมมม
ภูมิยกยิ้มมุมปากด้วยความพึงใจที่ร่างเล็กขาวจั๊วะเลิกร้องขอกลับเปลี่ยนเป็นครวญครางแทน คราวนี้ไม่ต้องรอให้ตั้งตัวมือสากหนาเลื่อนจากข้างหมอนไล้ลงมาที่แก้มนุ่มระเรื่อยลงมาที่ลำคอผ่านแผงอกเปลือยเปล่าจนในที่สุดก็ครอบครองเนินอกตูม
“อาภูมิ!”
“อย่าปฏิเสธ ถ้าตะวันคิดเหมือนอา” หนุ่มใหญ่ปลอบประโลม ริมฝีปากวนเวียนดูดดุนปทุมถันราวกับเป็นของหวานข้างแล้วข้างเล่า ก่อนจะเหลือบมองดวงหน้าบิดเบี้ยวของเด็กสาว
ดวงตาปริ่มน้ำตาของทานตะวันแตะหัวใจของเขา
นาทีนี้จะให้หยุดก็คงไม่ทันเสียแล้ว…
ทานตะวันไม่ได้ท้วงต่อเพราะกลัวจะทำให้อาหนุ่มหงุดหงิดไปอีกจึงเงียบไป ภูมิลอบมองดวงหน้าเรียวแล้วแอบยิ้มนิดๆ แต่เมื่อเหลือบมองกระจกอีกทีเห็นดวงตาเต็มไปด้วยคำถามจากเด็กสาวมองอยู่ก็กลอกตามองถนนก่อนเอื้อมมือไปเปิดดีวีดีให้เด็กสาวดูทำลายความเงียบ“ดูหนังดีกว่านะ... อาว่า” ชายหนุ่มแก้เก้อ“ค่ะ”“ดูอะไรดี”“แล้วแต่อาภูมิเลยค่ะ” ทานตะวันพยักเพยิดให้อาหนุ่มภูมิจึงกดเปิดแผ่นหนังที่ค้างอยู่ในเครื่องเล่นโดยไม่ได้ดูว่าเป็นเรื่องอะไร กระทั่งเสียงดังขึ้นพร้อมหน้าจอปรากฏภาพดาราฮอลลีวู๊ดหนุ่มใหญ่กำลังเล่นฉากรักถึงพริกถึงขิงกับเด็กสาวผมเปียยาวรุ่นราวคราวลูก แถมเสียงใส่อารมณ์ในฉากรักทำให้ทั้งคนเปิดและคนฟังต่างหน้าม้านไปตามๆ กัน“เอ่อ...” ภูมิแทบสำลัก อ้ำอึ้งไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาอธิบายเมื่อดูสีหน้ากระอักกระอ่วนของทานตะวันชายหนุ่มถึงกับสบถในใจ ก็ระหว่างรอเธอเขาเปิดหนังดูแก้เบื่อ เผอิญว่าเป็นแผ่นเก่าเก็บที่มีคนให้แล้วไอ้ตัวแสบนั่นก็เลือกแผ่นนี้ให้บอกว่าเขาต้องชอบโธ่เว้ย!ไอ้เวรนั่น!“อา อาว่า...”“อาภูมิดูหนังแนวนี้ด้วยเหรอคะ”“อืม มีคนให้มาน่ะ อาว่าเรื่องนี้หนังดีนะ”“เอ่อ... ถึงดีแต่ก็ไม่น่าดูค่ะ เดี๋ยวน
“อาภูมิอย่ามาพาลกะตะวันนะคะ ตะวันกับเพชรเป็นเพื่อนกันไม่เหมือนอาภูมิกับอาสร้อยสักหน่อย”“ทานตะวัน!” ภูมิเริ่มหัวเสียเช่นกัน“ตะวันจะบอกอีกครั้งว่าตะวันกับเพชรเป็นแค่เพื่อนกันค่ะอาภูมิ”“ได้ยินแล้ว” ภูมิเสียงอ่อนลงก่อนจะบ่นเบาๆ “อาไม่ได้หูตึงที่ถามเพราะเป็นห่วง จะมาหงุดหงิดใส่อาทำไม”ฮึ...ภูมิทำอย่างกับหึงหวงเธอ...หึงหวง!เป็นไปไม่ได้หรอก เธอไม่ได้สำคัญสำหรับเขาขนาดนั้นแล้วถ้าเธอสำคัญล่ะ!แต่แค่คิดทานตะวันก็อดยิ้มอย่างลืมตัวไม่ได้ ภูมิเหลือบเห็นสีหน้าหลานสาวก็เบรครถเสียงดังเอี๊ยดจนทานตะวันถึงกับตื่นจากภวังค์“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ได้ ติดอกติดใจของกำนัลจากมันมากรึไง เอาไว้อาจะปลูกดอกไม้เพิ่มอีกสักสิบไร่ให้เราดมจนจมูกตันไปเลย” “โธ่! ทำไมอาภูมิคิดแบบนั้นละคะ”“อาเปล่าคิด”“นี่แหละค่ะคิดแล้ว”ภูมิอึ้ง ยิ่งโตทานตะวันยิ่งต่อปากต่อคำเก่งเป็นที่สุด เขาเหลือบมองหญิงสาวครู่หนึ่งก็ต้องละสายตาทำทีมองทางตรงหน้าเพราะทานตะวันจ้องเอาๆ“ไปได้แล้วเดี๋ยวไม่ทัน”“ไม่ทันอะไรคะ”แต่ทานตะวันไม่ได้คำตอบ เธอไม่ชอบใจเลยที่ภูมิชอบมีท่าทีห่างเหินทั้งที่นานๆ จะเจอกันที เขาคงไม่รู้ว่าเธอแอบรอวันที่จะได้กลับบ้าน
ทานตะวันกอดอกเชิดหน้าอย่างภูมิใจ“งั้นก็รับไปซะทีสิ เพชรอายคน” เด็กหนุ่มยืนสิ่งของในมือให้แล้วพูดน้ำเสียงรื่นรมย์ “ในที่สุดก็จบซะทีนะเราสองคน”“อืมมมม... ขอบใจที่คอยติวให้ เพชรน่ารักที่สุดเลย”“ก็แค่อยู่นานกว่าตะวันปีนึงเองไม่ได้เก่งอะไร” พัชระแก้เก้อทานตะวันรู้ความหมายในคำพูด พัชระเป็นเพื่อนร่วมชั้นปีแต่อายุมากกว่าเธอหนึ่งปีเพราะเข้าเรียนช้ากว่าเกณฑ์ เหตุผลใดเธอไม่อาจรู้ได้และไม่เคยถาม แต่คิดว่าน่าจะเกี่ยวกับอาภูมิไม่มากก็น้อย“ตะวัน”“หือ” เด็กสาวถึงกับสะดุ้ง“จะเอาไปได้ยัง”ทานตะวันหยิกแก้มหนุ่มน้อยแล้วรับดอกไม้ช่อโตมาสูดดมด้วยความยินดีดวงตาของเธอเป็นประกายจนเด็กหนุ่มอดมองด้วยความชื่นชมไม่ได้ กว่าจะรู้ตัวก็ได้ยินเสียงปิดประตูรถดังปังด้านหลังทำให้เด็กหนุ่มละสายตาจากคนน่ารักจ้องไปทางหนุ่มใหญ่ด้วยความขยาด“ท่าทางยักษ์จะอยากกินตับเราแล้ว ตะวันกลับไปเหอะไป”“ขอบใจนะ แต่วันนี้ตะวันไม่มีของขวัญให้เพชรเลย ต๊ะไว้ก่อนนะ” เด็กสาวบอกกล่าวสีหน้าแหยรู้สึกผิด แต่อีกฝ่ายยีผมเธอด้วยความเอ็นดู“ไม่ต้องหรอก แค่ให้เพชรไปหามั่งก็พอ อยู่ใกล้กันแค่รั้วไม้กั้นเอง”“โอเค... งั้นวันนี้เพชรกลับด้วยกันปะ”“
จบซะที... ทานตะวันมองไปรอบบริเวณด้วยความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ ตลอดสี่ปีที่เรียนที่นี่ ไม่มีวันไหนที่เธอจะรู้สึกใจหายเหมือนวันนี้ วันที่รู้ว่ากำลังก้าวออกไปสู่โลกกว้างอีกช่วงหนึ่งของชีวิตเธอไม่รู้เลยว่าต่อจากนี้จะมีสิ่งใดรออยู่...“ตะวันๆ ดูโน่นสิ” “อะไร” “โน่นไง ดูสิ” ทานตะวันปัดมือเพื่อนที่เขย่าแขนเธอขณะกำลังเก็บโน้ตบุ๊กตัวเก่งลงกระเป๋าทำให้กล่องกระดาษสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดเล็กเกือบร่วงหล่นลงพื้นโชคดีที่เด็กสาวคว้าไว้ได้ทัน “สานี่ยังไง เกือบทำของหวงของตะวันตกพื้นและนะ” “ช่างของมันก่อนเหอะน่า ดูโน่นก่อนว่าใครมา!”สารสาไม่วายพยักเพยิดให้ ทานตะวันมุ่นคิ้ว หน้างอเพราะความรำคาญ“ใครมาก็ช่างสิ ไม่เกี่ยวกับเราซะหน่อย เรากำลังรีบอย่าเพิ่งกวน”“กลัวคนที่บ้านมารอนานงั้นเหรอ” สารสาลากเสียงยานคางทานตะวันจึงจีบนิ้วเรียวดีดเข้ากลางหน้าผากเพื่อนสนิททันที“โอ๊ย! ดีดหน้าผากเราทำไมอะตะวัน”“ก็สากวน ไม่เห็นเหรอเรารีบ”“ก็เห็นน่ะสิ ถึงได้บอก” สารสาว่าแล้วก็ชี้มือไปอีกทางก่อนเอ่ยเสียงน้อยใจ “นึกว่าตะวันจะดีใจที่ไหนได้.. ฮึ“เสียงของสารส
หากใครคิดจะขวางอย่าได้หมาย ไม่เพียงร่างกายของเธอที่ต้องตกอยู่ใต้อาณัติของเขา หัวใจของทานตะวันก็ต้องตกเป็นทาสเสน่หาของเขาหากไม่แล้ว... ฆ่าเขาให้ตายเสียดีกว่า...เพราะรักจึงอยากครอบครองให้สมรัก เป็นหนึ่งเดียวกับเด็กสาวที่เฝ้าทนุถนอมมานาน เธอทำให้เขารู้สึกเร่าร้อนรุนแรงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่หรือเป็นเพราะโชคชะตาที่ทำให้เขาได้พบเธอ เด็กหญิงผู้ถูกทิ้งไว้ที่ท้ายรถกระบะของเขาเมื่อยี่สิบปีก่อนก็ไม่อาจรู้ได้...“ตาภูมิ! เป็นอะไร ตาภูมิ!”ภูมิที่กำลังฝันค้างถึงกับสะดุ้งตื่น ขยี้ตามองร่างตะคุ่มเจ้าของเสียงเรียกที่เห็นเลือนรางจากแสงสลัวที่ลอดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามาแล้วต้องพรูลมหายใจหนักหน่วงเมื่อเห็นสายตาเป็นห่วงจากมารดา“แม่”“ก็แม่น่ะสิ เป็นอะไรล่ะเรา”เจ้าของร่างท้วมผมสีดอกเลาลงนั่งข้างเตียงอังหลังมือกับหน้าผากชื้นเหงื่อของบุตรชาย ภูมิคว้ามือมารดาลงมากุมเหนือตักส่ายหน้าปฏิเสธ“ผมไม่เป็นไรครับ” “นี่ขนาดไม่เป็นไรนะ ร้องหาตะวันมันซะเสียงหลงเลย”“ผมเปล่าซะหน่อย”“ย่ะ ให้มันจริงเถอะ แม่ก็นึกว่าแกว้าวุ่นเรื่องที่ไร่โน้นส่งคนมาทาบทามตะวันให้หนุ่มๆ บ้านเขาซะอีก”“แล้วพวกบ้านนั้นเกี่
“ก็เท่ากับทิ้งคุณย่ากับตะวันอยู่ดี” เด็กหญิงอิดออดเสียงสั่น โผเข้ากอด“ตะวัน... ปล่อยอา” ภูมิส่งเสียงสั่นเทาโดยไม่หันกลับไปมอง ก้มมองสองมือเรียวที่กำแน่นอยู่เหนือหน้าท้องของเขาด้วยความรู้สึกอึดอัด “ปล่อยอา... ตะวัน” “ไม่ปล่อยค่ะ ตะวันไม่ปล่อย!” เด็กสาวดื้อแพ่ง สองมือกุมกันแน่นเข้าทำให้ภูมิรู้สึกถึงสรีระที่เปลี่ยนไปของเธอ ทานตะวันเริ่มเป็นสาวแล้ว...เธอไม่ใช่เด็กหญิงที่เขาอุ้มพาดบ่าหรือพาขี่คอเที่ยวชมทุ่งหญ้าแปลงดอกไม้ใบหญ้าบานสะพรั่งเหมือนเดิม เขากลัวว่าจะอดใจไม่ไหวจนทำเรื่องเลวร้ายกับเธอ... “กอดพอแล้ว ทีนี้จะปล่อยอาได้รึยัง” ภูมิเอ่ยเสียงแผ่วแกะมือน้อยๆ ที่ยังขัดขืนอยู่ “ทำไมอาภูมิต้องไปอยู่ที่อื่นด้วย” เธอถามเสียงเศร้าสร้อย“ก็อาบอกหลายรอบแล้วว่าต้องไปทำงาน”“ทำที่ไร่นี้ได้นี่คะ”“งานอาไม่ได้มีแต่ที่ไร่นะตะวัน”“อาภูมิคิดอีกทีไมได้เหรอคะ ตะวันขอร้อง”เฮ้อ...ภูมิอ่อนใจ อะไรมันจะพูดยากพูดเย็นขนาดนี้กัน!“ช่วงที่อาไปทำงานในเมือง ตะวันก็คอยอยู่กับคุณย่าดูแลคุณย่าแทนอาด้วยนะ อาไม่มีใครอีกแล้วนอกจากตะวัน ทำให้อาได้ไหม” เขาตอบพลางย้อนถามเธ