เข้าสู่ระบบปัญหายังไม่หมด...เวลานี้แวซ็องเริ่มหนาว...เสื้อ กางเกงเขาเปียกชุ่ม มันทำให้อุณหภูมิในร่างกายเริ่มลดลง เขากำลังหนาว และอาจจะจับไข้...ชายหนุ่มระบายลมหายใจที่เริ่มมีไอร้อน เขาคงต้องหาตัวช่วยให้ตัวเองก่อน กว่าจะเช้ายังอีกนาน ตอนนี้เวลาเท่าไรแล้วก็ไม่รู้? เมื่อนาฬิกาเรือนโปรดของเขาดันหยุดเดินเสียอย่างนั้น “เชี่ยเอ๋ย! แพงเสียเปล่า” ชายหนุ่มสบถอย่างฉุนเฉียว หน้าสิ่วหน้าขวาน ทุกสิ่งรอบตัวเขาเหมือนจะอยู่ผิดที่ผิดทาง เขาต้องการความช่วยเหลือ แต่ตอนนี้คงต้องช่วยเหลือตัวเองก่อนที่จะหนาวตายและอาจจะมีไข้รุม
เสื้อสีขาวตัวใหญ่พาดอยู่บนราวแขวน กางเกงหูรูดที่แวซ็องคะเนด้วยสายตาเขาน่าจะใส่ได้ ชายหนุ่มคว้าทั้งเสื้อและกางเกงลงมาจากราว เขาเหลียวซ้าย แลขวา ก่อนจะรีบปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตถอดออกจากตัวสะบัดขึ้นไปแขวนไว้บนราวแทนเสื้อยืดเก่าๆ กางเกงคือเป้าหมายต่อไป ไม่ถึง5นาทีเขาก็สามารถจัดการกับตัวเองเสร็จ
จากผู้ชายที่ดูดีตั้งแต่หัวจรดเท้า...ตอนนี้หากดิดิเย่ร์ หรือเซดริกหาเขาเจอ คงไม่อยากจะเชื่อ ผู้ชายคนหนึ่งใส่เสื้อยืดเก่าๆ คอย้วย กับกางเกงหูรูดราคาถูก สวมรองเท้าแตะแต่กลับเดาะใส่นาฬิกาโรเล็กซ์ที่มันหยุดเดินไปเสียแล้วอีกด้วย...ชายหนุ่มตัดสินใจถอดนาฬิกา เขายัดมันไว้ในกระเป๋ากางเกง...พลางส่ายหน้าให้กับสภาพของตัวเอง...
“ทุเรศตัวเองฉิบหายเลยกู!”
ที่หมายต่อไปคือการทำให้ร่างกายอุ่นขึ้น ขณะนี้เขาเพลียจนเปลือกตาจะปิด...แต่ประตูห้องพักทุกห้องปิดสนิท มันอาจจะเป็นเป็นช่วงดึกสงัดบวกกับอากาศเย็นๆ แม้มีคนป้วนเปี้ยนเดินพล่านไป พล่านมา ยังไม่มีใครโผล่หน้าออกมาดูสักคน มีแต่สุนัขผอมโซตัวเดียวที่คอยมองตาม มันหยุดเห่าหลังจากที่เขาตวาด แต่ก็ไม่ละสายตาจ้องมองเขาสักที
“ไม่ต้องกลัวน่า ฉันไม่ใช่โจร”
แวซ็องยังมีอารมณ์หยอกสุนัขผอมแห้งตัวนั้น มันกระดิกหาง กะพริบตาถี่ๆ ก่อนจะวิ่งปรู๊ดไปทางด้านหลังห้องเช่าโทรมๆ ชายหนุ่มจึงสนใจ เขาเดินตามมันไป เหมือนกับสุนัขผอมแห้งมันจะรู้ว่าเขาต้องการอะไร สิ่งที่เห็นในสายตาหลังเดินพ้นมุมตึก แคร่ไม้เก่าๆ อยู่ใต้ชายคาห้องพักห้องหนึ่ง มีผ้าผืนบางวางอยู่ด้วย แวซ็องคลี่ยิ้ม เขายกมือลูบศีรษะของสุนัขแสนรู้ แม้มันจะผอมโซ แต่สมองของมันชาญฉลาดเหลือเกิน
“ให้ฉันรอดก่อนนะ ฉันจะมารับแกไปเลี้ยงเอง”
เหมือนหมาน้อยจะรู้ตัวว่ามีคนเมตตามัน ไอ้ตัวแสบแสนดื้อ เลยนอนหมอบอยู่ข้างแคร่ คอยระวังภัยให้คนแปลกหน้าที่ดูท่าจะใจดี หรือไม่ก็มีความผูกพันกันมาแต่เก่าก่อน...
แวซ็องหลับสนิทไปหลังจากครุ่นคิดอยู่นาน...เขากะว่าฝนหยุดตก จะออกไปติดต่อน้องชายเพื่อขอความช่วยเหลือ
ตืดๆ!!
เสียงนาฬิกาปลุกส่งเสียงเตือน...
เมวิกายกมือขึ้นตะปบนาฬิกาเรือนเล็กราคาถูก เธอกดปิดเสียงสัญญาณที่ส่งเสียงรบกวนนั่น ก่อนจะกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง เปิดปากหาวหวอดๆ พร้อมกับเอี้ยวตัวขับไล่ความง่วงงุน ก็พึ่งจะนอนหลับได้ไม่กี่ชั่วโมง แถมอากาศน่านอนเป็นไหนๆ แต่ภาระหน้าที่ที่แบกรับไว้ ก็ต้องรีบสลัดความขี้เกียจทิ้ง เธอต้องรีบลุกไปอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟัน เธอต้องรีบออกไปทำมาหากินเหมือนเฉกเช่นทุกวัน
10นาทีไม่เกินนั้น หญิงสาวอยู่ในชุดเตรียมพร้อมชุด ฟอร์มของพนักงานร้านสะดวกซื้อ แต่...เงาตะคุ่มๆ ด้านหลังห้องพักตัวเอง บนแคร่ไม้ตัวเก่าๆ ที่ตั้งไว้พักผ่อนช่วงกลางวัน เพื่อหลบความร้อนที่พวยพุ่งอยู่ในห้องนอนแคบๆ ได้รับสายลมเย็นๆ ที่พัดโชยมาจากทุ่งกว้างด้านหลัง แม้จะรกชันเต็มไม่ด้วยวัชพืชแต่ก็เป็นลมเย็นๆ ที่ช่วยบรรเทาความอบอ้าวได้ เธอไขกระจกบานเกล็ดเปิดช่องเพื่อส่องดูด้านนอก แต่ก็เห็นไม่ชัดเท่าไร? เมื่อช่องระหว่างกระจกกับกระจกอีกบานมันแคบจนมองเห็นอะไรไม่ใคร่ชัดเจน
‘อะไร?’
เสียงบางอย่างทำให้ชายหนุ่มที่นอนหลับสนิทสะดุ้งตื่น!!
พลั่ก! ร่างสูงๆ ของคนแปลกหน้าร่วงลงบนพื้นดินเปียกๆ เขาพยายามลุกขึ้น มองหาที่หลบซ่อนตัว
“นายเป็นใคร?” เสียงตวาดแหวดังจากด้านหลัง แวซ็องเหลือบมอง เขาเป่าลมออกจากปาก แล้วค่อยๆ เดินออกมาจากซอกข้างแคร่
ผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า ในมือหล่อนถือไม้กวาดอันเล็กๆ ยกชูขึ้นและเธอจ้องมองมาที่เขาตาโปน
แวซ็องได้ยินเต็มสองหู แต่ยังไม่รู้ว่าหล่อนไว้ใจได้หรือเปล่า
“Who are you?”
ถามออกไปแล้วชายหนุ่มก็ไม่มั่นใจสักนิดว่าเธอจะฟังออก หล่อนทำหน้างง ก่อนจะตะคอกกลับมา
“I now have to ask who you are?”
แวซ็องแสร้งส่ายหน้าไปมา เมื่อเห็นว่าหล่อนกำลังลังเล ชายหนุ่มกวาดสายตามองรอบๆ ตัวอีกครั้ง ก่อนจะเบี่ยงปลายเท้าลงมาจากแคร่ มีลูกสมุนหน้าขน คืบคลานเข้ามาประจบ เขายกมือขึ้นลูบศีรษะของมัน ก่อนจะยิ้มกว้างๆ เมื่อปลายลิ้นสีสดแลบออกมาไล้เลียที่หลังมือ
เมวิกากลอกตามองบนฝ้าเหนือหัว หมดกันไอ้หมาขี้ประจบ! ไม่รู้ว่าเป็นคนดี หรือคนร้ายๆ แค่เห็นเขาดีด้วยหน่อย มันเริ่มออกลวดลายออเซาะเสียแล้ว
“Can you speak Thai” ภาษาอังกฤษของเธอไม่ค่อยแข็งแรง พอที่จะสื่อสารได้มากไปกว่านี้ ถ้าแค่คำศัพท์ง่ายๆ ที่ใช้กันเป็นประจำก็ไม่แปลก แต่หากล้วงลึกกว่านี้เธอก็ต้องอึ้งไปเหมือนกัน “I'm not an expert and does not want to use sign language to communicate”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับ เขาเป็นอัจฉริยะที่สามารถพูดได้หลายภาษา รวมทั้งภาษาไทยด้วย แม้จะยังไม่ถึงขั้นชำนาญแต่ก็น่าจะพอถูไถไปได้
หญิงสาวเป่าปาก เธอลดด้ามไม้กวาดลง เมื่อสำรวจชายหนุ่มแล้ว เขาไม่น่าจะเป็นอันตราย
“คุณเป็นใคร แล้วนั่นของคุณใช่ไหม?”
คำถามของเมวิกายังเหมือนเดิม เธอต้องการรู้ว่าชายแปลกหน้า ตรงหน้าเธอคือใคร? เขาดูดี!! ยอมรับก็ได้เขาหล่อเวอร์เลยแหละ!! คิ้วเข้มๆ จมูกโด่งๆ ตาสีฟ้าใส หากใครเผลอมองไม่หลงก็ไม่ใช่คนแล้ว!!
ชายหนุ่มคิดทบทวน ไม่รู้ว่าหล่อนไว้ใจได้แค่ไหน แต่คะเนแล้ว ผู้หญิงตรงหน้าไม่ใช่ฝ่ายตรงข้ามแน่ เธอดูเป็นคนธรรมดาสามัญ และที่สำคัญ พอได้มองใกล้ๆ หล่อนหน้าตาดีไม่ใช่เล่น เขาได้กลิ่นสาวบริสุทธิ์โชยมาเข้าจมูก...มันน่าสนุกไม่ใช่เหรอ? หากจะใช้ช่วงเวลาที่ซ่อนตัว อยู่กับหล่อน...
แวซ็องมองตามมือของหล่อน เสื้อผ้าของเขาที่พาดไว้บนราวแทนชุดที่กำลังสวมอยู่บนร่างกาย
ใบหน้าคมคายพยักหน้ารับหงึกงัก...ยิ้มมุมปากแต่กลับทำให้เขาดูเป็นมิตรขึ้นกว่าเดิม
“เกิดอะไรขึ้นกับคุณ?”
หญิงสาวทัก พลางเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ เวลาของเธอเหลือน้อยเต็มที เมื่อใกล้ถึงเวลาต้องออกไปทำงาน
“ฉันโดนปล้น!”
เขาไม่ได้โกหก เขาโดนใครบางคนชิงทรัพย์จริงๆ แม้จะได้ไปแค่ไม่กี่สตางค์
กระเป๋าใส่สตางค์ยังอยู่ แถมบัตรเครดิตอีกหลายใบที่สามารถรูดเงินสดออกมาใช้ได้ แต่...หากเขาทำเช่นนั้น ดิดิเย่ร์ มันต้องตามกลิ่นเจอแน่ เขายังอยากอยู่สงบๆ ให้สมกับเป็นช่วงพักร้อน ยังไม่อยากปวดหัวเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องอีก ทางที่ดีคือต้องหาเงินใช้ทางอื่น ทางที่ไม่มีใครรู้จุดว่าเขาแอบซ่อนอยู่ที่ใด
เขาคงต้องหาที่ซ่อนปืน ยังไม่อยากให้หล่อนแตกตื่น...
“พระเจ้า!!”
หญิงสาวยกมือทาบอก เธอรู้สึกเวทนา เขาเป็นต่างชาติที่เคราะห์ร้าย...และหากคนในประเทศไร้น้ำใจ เขาคงขยาดจนไม่กล้าย้อนกลับมาท่องเที่ยวที่นี่อีก ด้วยเลือดอันเข้มข้นของคนไทยสายอนุรักษ์ เธอผ่อนลมหายใจยาวๆ เมื่อคิดจะช่วยเหลือคนแปลกหน้าเท่าที่ตัวเองทำได้
“ฉันช่วยอะไรคุณได้มั่งคะ?”
ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นยืน เขาเดินเข้าไปหาหล่อน พร้อมกับแอบสูดกลิ่นหอมๆ ของหล่อนไปด้วย
“ผมไม่มีอะไรเหลือเลย” แวซ็องล้วงกระเป๋าใส่สตางค์ของตัวเองเปิดออกและแหกให้หล่อนดูช่องกระเป๋าที่ว่างเปล่า ไม่มีเงินเหลือติดอยู่ในนั้นและพยายามบังๆ ไว้ไม่ให้อีกฝ่ายมองเห็นบัตรเครดิตเป็นตับของเขาที่เรียงแน่นเต็มทุกช่อง เขาไม่ได้โกหก เขาไม่มีเงินสดในตัว มีแต่เงินในบัญชีธนาคาร... “ช่วยผมหน่อยได้ไหม?” ตอนที่ขยับเดิน เสียงนาฬิกาขยับเสียดสีกับกางเกงดังก็อกๆ แก็กๆ แวซ็องเลยเกิดไอเดีย หากเอานาฬิกาหยุดเดินนี่ไปขาย ไม่มีใครตามกลิ่นเขาเจอแน่
“สภาพฉัน ช่วยอะไรคุณไม่ได้หรอกค่ะ แต่ไม่ต้องห่วง... ฉันจะพยายามหาทางช่วยเอง”
เพื่อสร้างมิตรภาพ และแสดงน้ำใจให้คนต่างชาติเห็น ถึงเธอไม่สามารถช่วยเขาได้ แต่เมวิกาก็จะหาทางช่วย
“ฉันมีไอ้นี่ ฝากเอาไปขายให้หน่อยได้ไหม?” ชายหนุ่มพยายามสื่อสารให้หล่อนเข้าใจมากที่สุด
เมวิกามองนาฬิกาสีทองยี่ห้อดัง สลับกับมองหน้าเขา นาฬิการุ่นนี้ส่วนมากจะราคาแพง...ผู้ชายตรงหน้าเธอนี่ไม่ธรรมดาเสียแล้ว...
“คงมีคนใจดีเอามันไปเลี้ยงแล้วมั้งคะป้า” เขาใจดีกับสัตว์ แต่ใจดำกับเธอจนอยากที่จะลืม“จริงเหรอ...บุญของมัน อย่าบอกนะว่าพ่อฝรั่งนั่นเอามันไปเลี้ยง อย่างนี้คงไม่ได้เจอกันแล้วล่ะอยู่คนล่ะซีกโลกแบบนี้”นางบ่นไปแกนๆ แล้วจึงเดินกลับไปประจำที่ตัวเอง ปล่อยให้เมวิกาเดินคอตกกลับห้องพักอย่างหงอยเหงาเธอทรุดตัวลง นั่งเอนกายลงนอน คู้เข่าขึ้นมากอดไว้พร้อมกับน้ำตาที่ค่อยๆ หลั่งริน“ไหนว่าจะไม่คิดถึงเขาไงเม”เสียงเครือสะอื้นต่อว่าตัวเอง มือที่กอดตัวเองไว้ไม่ได้อุ่นร้อนเหมือนที่เขาเคยกอด ตอนนี้เมวิกาหนาวจับขั้วหัวใจทางเดินของเธอกลับไปหม่นหมองเหมือนเดิม และดูท่าจะมืดมิดกว่าเดิมด้วยซ้ำ“เรายังโตมาแบบตัวคนเดียวได้เลย หากท้อง!! จะกลัวอะไรล่ะ เขายังมีเราอยู่ทั้งคน”สิ่งต่างๆ ในร่างกายที่เปลี่ยนไป มันย้ำให้เมวิการู้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่กำลังจะอุบัติขึ้นมา เธอต้องตั้งสติจะมามัวจมอยู่กับความทุกข์ไม่ได้ หญิงสาวยันตัวลุกขึ้นนั่ง เธอควานมือลงไปใต้หมอน เพื่อหยิบซองสีน้ำตาลขนาดใหญ่สิ่งสุดท้ายที่ผู้ชายใจร้ายคนนั้นทิ้งไ
บทที่9.ฉาวโฉ่!! ออกัสตัสอินเตอร์เทรต...“หลุยส์...ตามมาดามโจนส์ให้ฉันหน่อยสิ!”เซดริกกดอินเตอร์คอมสั่งงานเลขานุการคู่ใจเสียงลั่น!!หนุ่มหล่อตาสีน้ำขาว ผมสีน้ำตาลอ่อนขมวดคิ้ว ก่อนจะย้อนถามเสียงไม่ใคร่แน่ใจ“มาดามโจนส์แห่งปารีสเพรสน่ะเหรอครับ?”“อืม...ใช่...ขอด่วนด้วยนะ บอกหล่อนไปนะว่าฉันมีข่าวเด็ดสะเทือนปารีสจะให้ฟรี!!”เซดริกพูดไปยิ้มไป การยืมมือสื่อคือการดัดหลังพี่ชายได้อย่างชะงัด แถมมาดามแลงก้าก็ไม่กล้าโวยเพราะพี่ชายเขากับมารดารักหน้าตัวเองมากกว่าสิ่งอื่นใด“ครับ” หลุยส์แม้จะงงแต่ก็รีบรับคำคนภายนอกมองเซดริกเป็นพ่อพวงมาลัย เขาไม่หนักแน่นดั่งเช่นพี่ชาย แต่หารู้ไม่...บุรุษผู้น้องนี่ล่ะตัวดี เขาเจ้าแผนการมากเล่ห์เหลี่ยม การเสี้ยมให้สองฝ่ายชนกันนั้นเซดริกถนัด แต่เขาก็รักพี่น้องไม่แพ้คนอื่นๆ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เซดริกลงมือทำมั่นใจได้ว่าเป็นเรื่องดีไม่เกิน1ชั่วโมงก็อตซิปชื่อดังของปารีสก็รีบสลัดงานรัดตัวทิ้ง บึ่งหน้าตั้งม
“อย่าเดาส่งเดชว่ะ แกไม่รู้หรอกว่าฉันคิดอะไรอยู่...อย่าแส่!”เสียงตวาดขุ่นขวาง ดวงตาคมดุลุกโพลง...อารมณ์เดือดพล่านปานลาวาปากปล่องภูเขาไฟ พร้อมจะทำลายล้างทุกสิ่งหากเกิดความไม่พอใจขึ้นมา...“โอ๊ะโอ!”เซดริกคอหด เขางอตัวลงและเบียดตัวเองกับเก้าอี้นั่ง ทำเหมือนกับว่ากลัวฤทธิ์เดชของแวซ็องเสียหนักหนา...แต่แววตาของหนุ่มรุ่นน้องกับเต้นระริก เหมือนกำลังขำขันอะไรบางอย่าง แววตาของเซดริกเปล่งแสงระยิบ เหมือนกับรู้ว่าสิ่งที่พี่ชายกำลังกังวลคือเรื่องอะไร?รอยยิ้มรู้ทันที่ผุดขึ้นมุมปากของน้องชาย แวซ็องต้องรีบเบือนหน้าหนี พร้อมกับรีบสะกดอารมณ์พลุ่งพล่านของตัวเองให้สงบลงโดยไว ก่อนที่ความจะแตก...และถูกกระแหนะกระแหนไปอีกนานแสนนาน“นายคิดอะไรกับหล่อนงั้นสิ?”อาการพี่ชายแปลกๆ เซดริกจึงอดถามไม่ได้แวซ็องหันขวับรู้สึกเหมือนงูพิษ ถูกตีที่ขนดหาง แววตาของเขาลุกโชน ก่อนจะมีเสียงกระซิบแหบแห้งดังตามมา “อย่าแส่เซดริก!! แกไม่รู้ตัวใช่ไหม...ว่าพูดอะไรออกมา”ผู้อ่อนอาวุโสกว่าไหวไหล่ เขาเบ้ปากก่อนตอบเสียงแข็ง “
แหงนเงยใบหน้ายอมรับรสจุมพิตแสนรัญจวน ที่ทำให้เธอหลงเคลิบเคลิ้ม เสนอสนองตอบรับรสจูบแสนหวานนั้น ไม่คิดแม้แต่จะต่อต้านหรือผลักไส แพขนตางามงอนหลุบปิดลง...ยอมแพ้อย่างราบคาบ ยอมศิโรราบให้แก่พายุสวาทหวานหวามที่พัดพาให้เธอล่องลอยไปยังดินแดนในห้วงฝัน“เมจ๋า ฉันไม่เคยจูบใครแล้วชื่นใจเหมือน...เมสักคน”เสียงแผ่วปร่ากระซิบบอกชิดริมหู หญิงสาวได้แต่ยิ้มรับและครางสะอื้น เมื่อชายหนุ่มเริ่มปลุกปั่นเธอจนแทบจะดิ้นพล่านเพราะความซ่านสยิวเสียงครางแผ่วๆ ผสมกับเสียงหอบหายใจแรงๆ เมื่อคนทั้งคู่จมดิ่งในกองไฟแห่งความปรารถนา...กลิ่นเหงื่อเค็มๆ ลอยฟ่อง! กลิ่นคาวของความรัก แผ่กระจาย เสียงครางหวานแหลมทวีความดังขึ้น ทุกช่วงจังหวะที่เจ้าของร่างใหญ่ถาโถมเข้าใส่ เงาร่างกลางแสงสลัวๆ ที่แยงผ่านรอยแตก จึงมองเห็นเพียงร่างขาวโพลนโอบรัดกันแนบแน่นเหมือนดั่งเช่นสัตว์โลกทั่วไปที่กำลังเสพสังวาสกัน เพียงแต่ความมหัศจรรย์พันลึกของมนุษย์เป็นอะไรที่สุดจะหยั่งถึง มีความดุดันและอ่อนหวานอยู่ในที่ที่เดียวกัน...เพียงแค่มองเห็นผ่านตาแวบๆ ก็ชวนให้หัวใจกระเส่า ขนกายลุกซู่...เมวิกาแทบจะแดดิ้น
ระหว่างที่หญิงสาวยังลังเลอยู่ แวซ็องเองเป็นฝ่ายรอไม่ไหว เขารั้งเธอเขามาในวงแขนและมอบจุมพิตหวานฉ่ำให้หล่อนเสียเอง ทั้งสองคนหลงเพลิดอยู่ในห้วงปรารถนา จนร่ำๆ จะเกินเลย เมื่ออารมณ์พาไป มือใหญ่เคลื่อนที่เหมือนงูเลื้อย...ลูบคลำหญิงสาวด้วยใจพิศวาส“พอค่ะ พอนะคะ!!”เมื่อริมฝีปากร้อนผ่านเคลื่อนที่ลงต่ำๆ เมวิกาจึงมีเวลารวบรวมสติที่กระเจิดกระเจิงไป กลับคืนมาทัน เธอวิงวอนเขาเสียงหวานพร่า จนชายหนุ่มต้องยอมอ่อนให้...เขายังมีเวลาเหลือ ครั้งนี้เขาจะปล่อยเธอไปก่อน แต่หลังจากนั้นเธอจะต้องกลับมาชดเชยให้ เขาเกินคุ้ม!!“ได้เลยเม...รีบไปรีบกลับนะ ฉันรออยู่”ชายหนุ่มเอ่ยย้ำ เขายอมรามือให้ ปล่อยเธอออกไปทำงานเฉกเช่นคนอื่นๆเมวิกาลนลานก้าวลงจากเตียง เรียวขาเพรียวสั่นระริก...มันอ่อนแรงเสียแทบจะทรงตัวไม่อยู่“ให้ช่วยไหมทูนหัว”เสียงกระเซ้าของผู้ชายตัวใหญ่ที่นั่งเอนหลังพิงหัวเตียง แววตาของเขาเต้นระริก มันฉ่ำเยิ้มจนเธอผวา กลัวว่าตัวเองจะไม่ได้ก้าวออกจากห้องพัก หากเธอหันหลังกลับแล้วถลาเข้าหาอ้อมแขนแข็งแรงนั่นอีกครั้งหญิงส
ชายหนุ่มวางถุงอาหารมื้อเช้าไว้บนโต๊ะเตี้ยๆ ข้างที่นอน เขาหย่อนตัวลงนั่งพร้อมทั้งรวบกอดเมวิกาไว้ในอ้อมแขน... “นึกว่าฉันชิ่งไปแล้วสินะ?” ชายหนุ่มพูดกลั้วเสียงหัวเราะ มันยังไม่ถึงเวลานั้นสักหน่อย ตอนนี้เขากำลังหลงเมวิกาหัวปัก จะให้ทิ้งเธอไปตอนนี้เสียดายแย่...“...” ไม่มีเสียงตอบกลับแต่ร่างอวบอุ่นซุกตัวในอ้อมแขนของเขา เธอสอดมือโอบรัดรอบเอว เหมือนลูกนกที่หลงรังฝากตัวกับผู้ปกครองคนใหม่“หึๆ” ชายหนุ่มโยกตัวไปมา ปลอบประโลมหล่อน “แบบนี้คิดว่าจะมีแรงไปทำงานไหมล่ะ...เครื่องฉันร้อนง่ายเธอก็น่าจะรู้นะเม” เสียงของแวซ็องแหบปร่า...เขาซุกใบหน้ากับพวงผมยาวสยาย สูดกลิ่นหอมๆ ปนกลิ่นเหงื่อจางๆ ของเธอจนชุ่มปอด...หญิงสาวรีบผลักอกของเขาแรงๆ แต่เหมือนจะช้าไป ไฟปรารถนาของแวซ็องถูกจุดขึ้นมาเสียแล้ว เมื่อกลิ่นหอมหวานลอยยั่วเย้าอยู่แค่ปลายจมูก“โทร. ลางานได้เลยจ้ะ เพราะเธอหมดแรงยืนแน่ๆ”ชายหนุ่มกระซิบบอกชิดริมใบหู เขาผลักเมวิกาจนหงายหลังพร้อมกับโถมเข้าใส่ โดยที่เมวิกาทำได้แค่กะพริบตาปริบๆ เพราะไม่เคยห้ามได้หากแวซ็องเ







