ท้ายที่สุดฟางเซี่ยนเซี่ยนก็ยินยอมสงบสติและคุยกับอีกฝ่ายอย่างสันติเสียที ชายหนุ่มหย่อนกายลงนั่งตรงเก้าอี้ไม้ฝั่งตรงข้าม จากนั้นจึงเอ่ยปากเชื้อเชิญ “แม่นาง เจ้ามานั่งนี่สิ”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนยังคงลังเลพลางกวาดตามองโดยรอบ ที่แห่งนี้กลิ่นอายไม่คล้ายยุคสมัยที่จากมาเลยสักนิด อกซ้ายของฟางเซี่ยนเซี่ยนกระเพื่อมถี่ประหนึ่งสายน้ำเกิดระลอกคลื่น
ข้าวของทุกอย่างดูเก่าคร่ำคร่า ทั้งการแต่งกายของพวกเขาก็ล้าสมัยเฉกเช่นกำลังถ่ายทำซีรีส์ย้อนยุค
เสียงทุ้มเอ่ยซ้ำ “เจ้าไม่วางใจหรือ”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนสะดุ้งแผ่ว “เปล่า เพียงแต่ฉันมีข้อสงสัย”
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว “สงสัยงั้นหรือ เจ้าอยากถามเรื่องใดกันเล่า”
“ที่นี่คือที่ไหนเหรอ”
ชายหนุ่มอมยิ้ม มือหยาบกร้านยกกาน้ำชาขึ้นรินลงถ้วยดินเผา “ที่นี่เป็นรังโจร แล้วข้าจำเป็นต้องบอกที่ตั้งแก่เจ้าด้วยหรือ”
นั่นสินะ เดี๋ยวลองคุยกับหมอนี่ดูแล้วกัน อย่างน้อย ๆ เขาก็เป็นประเภทโจรที่มีมโนธรรมอยู่บ้าง
“มัวยืนอ้ำอึ้ง หากเจ้าไม่มาข้าจะลากเจ้ามานั่งเดี๋ยวนี้”
“ฉันไป ฉันไป”
ร่างระหงสาวเท้าไปยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามชายหนุ่มทันควัน ฟางเซี่ยนเซี่ยนหย่อนกายลงนั่ง จากนั้นอีกฝ่ายก็เลื่อนถ้วยชาส่งให้
นัยน์ตาดอกท้อสังเกตไอระอุที่พวยพุ่งขึ้นมาก็ยิ่งประหวั่น ทุกอย่างมันเหนือความคาดหมายเกินไป มือเรียวค่อย ๆ เลื่อนเข้าไปด้านในสาบเสื้อ จากนั้นก็บิดเนื้อตรงแขนของตนอย่างแรงเสียจนใบหน้าเหยเก
ชายหนุ่มสังเกตเห็นความผิดปกติ “เจ้าเป็นอันใด มดกัดรึ”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนทำท่าจะร้องไห้โฮ ที่เป็นเช่นนี้ไม่ใช่ว่าหญิงสาวหวาดกลัวเขา เพียงแต่คิดว่าตอนนี้ตนกำลังกลายมาเป็นผู้หญิงหลงยุค เดิมทีเคยอ่านเจอแต่ในนิยาย ใครจะรู้ว่ามันเกิดขึ้นกับตัวเองแล้วจริง ๆ
“ฮื่อ…นี่เราทะลุมิติมาเหรอเนี่ย แต่ว่าจะต้องมาเป็นเมียโจรเนี่ยนะ ปกติเขาทะลุมาก็เป็นนางเอกหรือไม่ก็นางร้ายกลายเป็นนางเอกไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงเป็นเมียโจรไปได้ ฮื่อ…”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนกระจองอแง ชายหนุ่มสิ้นความอดทน เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นกระแทกถ้วยชาเสียงดังปัง ฟางเซี่ยนเซี่ยนสะดุ้งโหยง
“เจ้าหุบปาก พูดพล่ามเรื่องใดฟังไม่รู้เรื่อง อีกอย่างเมียโจรอะไร เห็นพวกข้าเป็นโจรก็มิได้กระทำเรื่องเลวทรามต่ำช้าเช่นเจ้าคิด”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนสงบใจ เปลือกตาบางกะพริบถี่ “จะ…จริงนะ”
“อือ” ชายหนุ่มตอบส่ง ๆ จากนั้นเอ่ยต่อ “ดื่มได้แล้ว อากาศเย็นมาก ชานี่จะช่วยให้เจ้าอุ่นขึ้นบ้าง”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนลดตามอง
เขาสังเกตเห็นความเป็นกังวลในแววตาของหญิงสาว “คิดว่าข้าจะวางยางั้นรึ เช่นนั้นก็ดูนี่”
มือหยาบกร้านยกถ้วยชากระดกดื่ม เขาเกรงว่าหญิงสาวยังคงหวาดระแวงก็เทชาลงถ้วยของตนอีกหน ไม่ทันได้ยกซดอีกครั้ง ฟางเซี่ยนเซี่ยนก็ยกถ้วยของตนเข้าปากทันใด
ชายหนุ่มมองตามท่าทางเงอะงะของหญิงสาวก็แค่นยิ้มบาง กระทั่งสังเกตลำคอขาวผ่องที่ขยับขึ้นลงตามจังหวะการกลืนจึงเร่งเบือนหน้าหนี
เสียงถ้วยชากระทบโต๊ะไม้ดังขึ้น เขาจึงผินหน้ากลับ “เจ้ามีนามว่าอะไร”
มือเรียวชี้เข้าหาตัวเอง ชายหนุ่มพยักหน้า
“อ้อ…เอ่อ…” ฟางเซี่ยนเซี่ยนเห็นว่าคำพูดคำจาของพวกเขาดูแปร่ง ๆ แต่อย่างน้อยตนก็ชอบอ่านนิยายจีนโบราณ ติดตามดูซีรีส์อยู่ตลอด จึงเลือกปฏิบัติตัวให้คล้อยตาม แม้เรื่องราวนั้นยังไม่ชัดเจน แต่บางทีที่แห่งนี้อาจเป็นโรงพยาบาลจิตเวชที่ใดสักแห่งก็ได้
เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม
“ข้า…ฟางเซี่ยนเซี่ยน จะเรียกเซี่ยนเซี่ยนก็ได้”
ชายหนุ่มนิ่วหน้า “เจ้าแซ่ฟางหรือ”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนเริ่มประหม่า แต่แล้วก็เห็นเงาสะท้อนของตัวเองบนกระจกสีเหลืองทองอันเก่าคร่ำคร่า แม้เครื่องแต่งกายจะต่างออกไป แต่นี่เป็นใบหน้าของตัวเองไม่ผิดแน่ “ใช่ ข้าชื่อว่าฟางเซี่ยนเซี่ยน พี่ใหญ่ ท่านทำหน้าเช่นนี้ไม่เชื่อข้าหรือ”
สรรพนามที่เรียกอีกฝ่ายเปลี่ยนไปแล้ว การพูดเช่นนี้น่าจะเข้าพวกมากกว่า หากว่าทะลุมิติเข้ามาจริง ๆ น่าจะเอาตัวรอดจากรังโจรแห่งนี้ไปได้อีกสักระยะ
“พี่ใหญ่หรือ” ชายหนุ่มเลิกคิ้ว เขาจ้องแววตากระจ่างใสของหญิงสาวฝั่งตรงข้ามก็ขบขัน “ทีแรกข้าคิดว่าเจ้าจะกระจองอแงต่อเสียอีก เจ้าเป็นสตรีคนแรกที่กล้าเอ่ยปากเรียกข้าเช่นนี้ ก็ดี เรื่องแซ่ของเจ้าช่างเถิด บางทีเจ้าอาจใช้แซ่มารดา ข้าพูดถูกหรือไม่”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนพยักหน้าหงึกหงัก
ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็ตามใจเขาเพื่อเอาตัวรอดไปก่อน ฟางเซี่ยนเซี่ยนค่อย ๆ ตะล่อมถาม “พี่ใหญ่ แล้วถ้าหากท่านจับมาผิดตัวเล่า”
“จับรึ ใครจับเจ้า ตอนที่พวกข้าปล้นขบวนเจ้าสาวของเจ้า เจ้าก็ตกใจจนหมดสติไปเอง เดิมทีเจ้าหยุดหายใจไปแล้วด้วยซ้ำ หากไม่เพราะข้า เจ้าจะยังมีหน้ามานั่งหายใจทิ้งเช่นนี้รึ”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนกะพริบตาถี่
นี่เราตายไปแล้วจริงน่ะเหรอ หรือว่าพอตายจากที่โลกนั้นก็เลยมาโผล่ที่นี่แทน
“ทำหน้างงเป็นไก่ตาแตก ดูเจ้าจะความจำเสื่อมเสียด้วย เอาล่ะในเมื่อเจ้าเรียกข้าว่าพี่ใหญ่ เช่นนั้นข้าก็จะไม่มากความ ไหน ๆ ก็ได้สติแล้ว ข้าจะส่งเจ้ากลับสกุลจี้”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนไม่รู้จักใครเลย ในเมื่อตื่นขึ้นก็เห็นหน้าโจรเหล่านี้เป็นรายแรก เช่นนั้นก็ขอตั้งตัวที่นี่ไปก่อนแล้วกัน “พี่ใหญ่ ข้าไม่อยากกลับ ท่านรับข้าเป็นสมาชิกกลุ่มด้วยได้หรือไม่ ท่านจะให้ข้าทำอะไรข้าทำได้หมด ขึ้นเขาลงห้วยข้าก็ไม่หวั่น”
แค่ก แค่ก
ชายหนุ่มพ่นชาพรวด ตั้งแต่เป็นโจรมาเขาเคยเห็นแต่สตรีร้องไห้ขอชีวิต นึกไม่ถึงว่าสตรีตรงหน้าอยากผันตัวมาเป็นโจร
“เจ้ามีอุบายงั้นรึ”
“โธ่ ข้าจะมีอุบายใดเล่า ไม่เชื่อรึว่าข้าทำได้ทุกอย่าง ข้าจะบอกให้นะว่าข้าทำได้สากกะเบือยันเรือรบ”
“เอาล่ะ ๆ พอแล้ว เจ้าพักก่อนเถิด ไว้ดีขึ้นข้าจะมาถามเจ้าอีกครั้งว่ายังอยากอยู่ต่อจริงหรือไม่”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนยิ้มกว้างไปจนถึงดวงตา “ขอบคุณเจ้าค่ะ”
ชายหนุ่มลุกยืนเต็มความสูง ก่อนแผ่นหลังกว้างจะพ้นธรณีทางเข้าจากไป เสียงทุ้มก็ดังขึ้น “ข้านามว่าย่วนเผิงเฟย”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนหลุดจากภวังค์ ไม่ทันตอบกลับอีกฝ่ายก็อันตรธานหายไปเสียแล้ว
“ย่วนเผิงเฟย เหมือนจะคุ้น แต่ก็ได้แค่เหมือน”
ร่างระหงลุกพรวดพราดไปยืนจังก้าหน้ากระจก จากนั้นก็ตบหน้าตัวเองสองสามหนจนต้องแอบร้องเบาเพื่อระบายความเจ็บ
“โอ๊ย ไม่ได้ฝันเหรอเนี่ย มันเรื่องบ้าอะไรกัน”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนมุ่งหน้าไปยังหน้าต่าง ทว่าหน้าต่างทุกบานนั้นเปิดไม่ออก พวกเขาลั่นดาลเอาไว้จากด้านนอก ฟางเซี่ยนเซี่ยนจึงเลือกแนบดวงตาเพื่อสำรวจบรรยากาศโดยรอบ แต่มองอย่างไรก็เห็นเพียงกองฟาง ป่าข้าวโพด และภูเขา กระทั่งย้ายสายตาไปมาจึงเห็นบรรดากองโจรกำลังจับกลุ่มทำบางอย่าง
“พวกเขากำลังทำอาหารเหรอ”
แต่แล้วฟางเซี่ยนเซี่ยนก็ต้องเบิกตากว้าง เมื่อเห็นเจ้าสัตว์ตัวน้อยที่น่าเวทนากำลังจะถูกชายฉกรรจ์หย่อนลงหม้อน้ำเดือด
นั่นมัน...
ฟางเซี่ยนเซี่ยนละทิ้งความหวาดกลัวไว้เบื้องหลัง เท้าเรียวก้าวฉึบฉับลงจากเรือนไม้ไผ่ จากนั้นก็ไปยืนจังก้าชี้นิ้วตะโกนเสียงดังสนั่น
“หยุดนะ!”
เหล่าชายฉกรรจ์ต่างหยุดชะงักเฉกเช่นช่วงเวลาหยุดหมุน สรรพเสียงโดยรอบพร้อมใจกันเงียบสงัด
ไม่นานก็มีเสียงทุ้มดังขึ้นทำลายบรรยากาศ “แม่นาง เจ้าเสียสติอีกแล้วรึ”
จู่ ๆ เหล่าโจรป่าก็พร้อมใจหัวเราะครืน มือที่หยุดงานเมื่อครู่ขยับกันต่อ
ฟางเซี่ยนเซี่ยนตาโต เมื่อชายคนนั้นกำลังจะหย่อนเจ้าตัวเล็กลงหม้ออีกครั้ง
“ข้าบอกให้หยุด หูหนวกกันหรือไง!”
ณ ร้านออกแบบบ้านเรือนซูเซี่ยนนับตั้งแต่ฟางเซี่ยนเซี่ยนแต่งงานกับซ่งเหวยซูนางก็เบื่อที่ต้องนั่งกินนอนกินอยู่เฉย ๆ เขาคิดจะขุนนางให้เป็นหมูหรืออย่างไร ขยับนิดเดียวก็คิดว่าจะฉีกขาดประหนึ่งกระดาษบอบบางดังนั้นฟางเซี่ยนเซี่ยนเลยใช้มารยาหญิงออดอ้อนเขาเพื่อเปิดร้านซูเซี่ยนขึ้นมา หญิงสาวคิดนำความสามารถที่เรียนจากยุคของตนมาประกอบอาชีพ ซึ่งเป็นการรับออกแบบบ้านเรือน และรูปแบบที่ฟางเซี่ยนเซี่ยนออกแบบมาล้วนต้องตาบรรดาขุนนางและเหล่าเศรษฐีจนได้รำกำไรจนล้น สามีของนางมั่งมีอยู่แล้ว แต่ทว่าฟางเซี่ยนเซี่ยนก็หาเงินใช้เองได้จนแทบไม่ต้องแบมือขอเขาสักอีแปะ ฟางเซี่ยนเซี่ยนรู้สึกสุขใจอย่างมาก อย่างน้อยในโลกใบนี้นางก็ทำสำเร็จทุกสิ่ง ไม่ว่าจะความรัก ครอบครัว หรือหน้าที่การงาน มิได้โดดเดี่ยวเฉกเช่นโลกใบก่อนมือเรียวบรรจงวาดภาพด้วยความประณีต ส่วนปากก็ขยับหยุบหยับอยู่ตลอด ผลหมังกั่ว [1] ถูกส่งเข้าปากด้วยความเอร็ดอร่อย ลี่ลี่และยาถงมองตามเจ้านายที่กินเข้าไปหน้านิ่งก็พร้อมใจกันหน้านิ่วคิ้วขมวดเพราะรู้สึกเปรี้ยวแทนทั้งที่ยังไม่ได้แตะสักชิ้นลี่ลี่ “ฮูหยินเจ้าคะ เอ่อ…ท่านไม่เป
ฤกษ์มงคลมาเยือน เกี้ยวเจ้าสาวมารอรับที่หน้าเรือนพร้อมกับเจ้าบ่าวซึ่งนั่งองอาจบนหลังอาชาสีขาวนวล เครื่องแต่งกายสีชาดยิ่งขับเน้นผิวพรรณและใบหน้าของชายหนุ่มให้ดูหล่อเหลาชวนมอง สตรีที่มายืนห้อมล้อมต่างสุดเสียดายที่ตนมิได้เป็นคนนั่งบนเกี้ยวนั้นเสียเองวันนี้เหล่าสหายของฟางเซี่ยนเซี่ยนต่างมาร่วมแสดงความยินดี นับตั้งแต่ฟางเซี่ยนเซี่ยนร่วมสาบานเป็นพี่น้องกับย่วนเผิงเฟยเขาก็แวะมาเยี่ยมเยียนนางที่จวนสกุลฟางหลายครั้งฟางเฉาหมิงและเกาโซ่จิ่งเองก็เอ็นดูย่วนเผิงเฟยมาก ทั้งกิริยาและความสามารถของชายหนุ่มล้วนโดดเด่นและก้าวกระโดดไวมาก พริบตาก็สร้างผลงานจนได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าองครักษ์เสื้อแพรพูดคุยกันไปมาที่แท้ย่วนเผิงเฟยก็คนกันเอง มิน่าฟางเฉาหมิงจึงคุ้นหน้าย่วนเผิงเฟยนัก ใบหน้าของชายหนุ่มคล้ายบิดามากเนื่องจากบิดาของย่วนเผิงเฟยก็เป็นสหายของฟางเฉาหมิงเช่นกัน น่าเสียดายที่ตอนนั้นอำนาจสกุลฟางมีไม่มากพอจึงมิอาจยื่นมือเข้าช่วยเหลือสกุลย่วนได้ทันการณ์ตอนนั้นฟางเฉาหมิงคิดว่าบุตรชายคนเดียวของสกุลย่วนตายจากไปแล้ว จึงมิได้ออกตามหา มายามนี้ได้รู้เบื้องหลังของเขาทุกคนก็ยิ
นับตั้งแต่ฟางเซี่ยนเซี่ยนหายจากอาการป่วย วันนี้ก็คือวันแรกที่ทุกคนในครอบครัวร่วมกินข้าวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ซ่งเหวยซูก็อยู่ด้วยเช่นเดียวกัน ทว่าอาหารเลิศรสที่วางบนโต๊ะกลับมิอาจดึงความสนใจของฟางเซี่ยนเซี่ยนได้“ท่านพ่อเจ้าคะ แล้วเฉินเฉินเล่า ข้าจำได้ว่าตั้งแต่ฟื้นจากจมน้ำก็ไม่เห็นหน้านางเลย”ตะเกียบในมือของซ่งเหวยซูชะงักลง ส่วนฟางเฉาหมิงเองก็ถอนหายใจก่อนตอบว่า “ตั้งแต่วันงานเซี่ยหยวนน้องของเจ้าก็บ่นว่าคิดถึงบ้านเดิม อยู่ ๆ ก็จากไปทิ้งจดหมายเอาไว้ว่าไม่ต้องตามหาเพราะอยากไปใช้ชีวิตที่บ้านเดิมของตนเองแล้ว”ฟางเซี่ยนเซี่ยนนิ่วหน้า “หา…เหตุใดอยู่ ๆ จึงไปเช่นนี้เลยเล่าเจ้าคะ” ฟางเซี่ยนเซี่ยนเกรงว่าน้องสาวบุญธรรมอาจรู้สึกผิดและโทษตัวเอง จึงเอ่ยต่อว่า “แล้วไยท่านพ่อท่านแม่จึงไม่ตามนางกลับเล่า”เกาโซ่จิ่งเอ่ยด้วยสีหน้าหมองหม่น “แต่เดิมเฉินเอ๋อร์ก็เป็นลูกของแม่นมฝู ตอนนั้นนางป่วยหนักตั้งแต่เจ้าอายุเพียงห้าหนาว ส่วนเฉินเอ๋อร์อายุครบสามหนาว พวกเราเวทนานางจึงรับเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม ในเมื่อยามนี้นางอยากกลับไปทดแทนคุณบิดาผู้ให้กำเนิดพ่อและแม่เองก็ไม่อยากขวาง”“เ
สนทนากันมาพักใหญ่ รถม้าก็เคลื่อนตัวมาถึงปลายทาง ซ่งเหวยซูยื่นมือเพื่อช่วยพยุงร่างระหงลงจากรถทั้งสองเดินเคียงกันไปภายในราชวังอันโอ่โถง กระทั่งมาถึงหน้ากองกำลังองครักษ์เสื้อแพรฟางเซี่ยนเซี่ยนเห็นก็ตาค้าง“นี่ท่านอย่าบอกว่าพวกเขา…”“เจ้าคิดว่าอย่างไร”นัยน์ตาดอกท้อแดงก่ำ ไม่คิดว่าเขาถึงขั้นช่วยผลักดันสหายของนางมาจนถึงที่ตรงนี้“อาเซี่ยน!” เสียงทุ้มดังแว่วมาแต่ไกล ฟางเซี่ยนเซี่ยนหมุนกายกลับก็เห็นเหล่าสหายของตนยืนกองกันอยู่ และคนที่เรียกนางก็ไม่ใช่ใครอื่นริมฝีปากสีกุหลาบยกยิ้มดีใจ “พี่ใหญ่ย่วน”ทั้งสองเดินเข้าหากันคนละครึ่งทาง ซ่งเหวยซูไม่ได้ตามไปด้วย เขาอยากให้ทุกคนผ่อนคลายเพียงมองดูจากที่ไกล ๆ เท่านั้น“พี่ใหญ่ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง” หนึ่งในบรรดาลูกน้องทักทายฟางเซี่ยนเซี่ยนด้วยท่าทีตื่นเต้นเพียะ!“โอ๊ย เจ้าตบข้าทำไม” มือหยาบกร้านยกขึ้นลูบศีรษะของตนป้อย ๆ เมื่อถูกแขนบึกบึนฟาดเข้าให้“เจ้าไม่เห็นหรือว่านางเป็นสตรีงดงามบอบบาง เช่นนั้นก็เรียก แม่นางเซี่ยนเซี่ยน”ฟางเซี่ยนเซี่ยนหัวเราะ “ไม่เป็นไร เราท
วันนี้ฟางเซี่ยนเซี่ยนได้รับอนุญาตให้เข้าวังไปพร้อมกับซ่งเหวยซู ตอนนี้นางและเขาจึงร่วมเดินทางด้วยรถม้าคันเดียวกันเดิมทีฟางเซี่ยนเซี่ยนเคยวิงวอนร้องขอให้ซ่งเหวยซูพามาเยี่ยมเยียนสหายที่คุกหลวงเสมอ ทว่าซ่งเหวยซูนั้นปฏิเสธมาโดยตลอด เขามักบอกเพียงว่าสหายของนางยังสุขสบายดีกระทั่งสามวันก่อนที่เขายื่นบันทึกเล่มหนาส่งให้ฟางเซี่ยนเซี่ยนจึงรู้ว่าซ่งเหวยซูพยายามช่วยเหลือพวกเขาอย่างลับ ๆ ทั้งยังใช้กลยุทธ์ที่คล้ายกับนางคิดไว้ไม่ผิด“ท่านพี่ซ่ง ท่านรู้ด้วยหรือว่าข้าคิดช่วยพวกเขาด้วยวิธีนั้น”นิ้วหยาบกร้านเขี่ยปลายจมูกเชิดรั้นด้วยความมันเขี้ยว “เจ้าคิดได้ แล้วพี่คิดเองไม่ได้หรือ”ฟางเซี่ยนเซี่ยนยู่หน้า “ชิ ใครจะไปรู้เล่าเจ้าคะว่าท่านคิดสิ่งใดอยู่ วัน ๆ ข้าเห็นท่านมีอยู่หน้าเดียว เย็นชาหน้าน้ำแข็ง”นิ้วเรียวสัมผัสมุมปากทั้งสองของชายหนุ่มพลางขยับนิ้วจนมุมปากอีกฝ่ายยกขึ้นสองฝั่ง หญิงสาวหัวเราะคิกคักที่ได้รังแกชายหนุ่มคืนเสียบ้างซ่งเหวยซูเห็นรอยยิ้มมีความสุขของสตรีตรงหน้าก็ไม่อยากขัดใจ “เจ้ากำลังล้อเลียนพี่หรือ”ฟางเซี่ยนเซี่ยนลอยหน้าตอบ “เปล่าน
ซ่งเหวยซูที่เดินตามหาฟางเซี่ยนเซี่ยนอยู่นานได้ยินเสียงร้องโหวกเหวกของผู้คนก็รุดเข้ามายังที่เกิดเหตุ เขามองลงไปเห็นชายเสื้ออันคุ้นตากำลังจะจมหายก็ตกใจมาก“เซี่ยนเอ๋อร์”ชายหนุ่มไม่รอช้า เขากระโดดลงน้ำอย่างไม่คิดลังเล ผู้คนเริ่มกรูเข้ามามุงกันเต็มสะพาน ฟางเฉินเฉินที่พยายามเกาะติดชายหนุ่มไม่ห่างยืนมองผิวน้ำด้วยแววตาสงบนิ่ง กระทั่งนางถูกใครบางคนดึงตัวออกไป“คุณหนูรอง”ที่แท้เป็นองครักษ์อิงฮ่าว“ท่านจะทำอะไร”“ไปกับข้า”“ข้าไม่ไป ไม่เห็นหรือว่าพี่หญิงตกน้ำ”อิงฮ่าวเอ่ยเสียงเย็น “ท่านเป็นห่วงพี่สาวหรือ”“เหตุใดท่านองครักษ์จึงพูดเช่นนั้น นางเป็นพี่สาวข้า ข้าจะไม่ห่วงได้อย่างไร”“เช่นนั้นคุณหนูรองก็ไปกับข้าเถิด ทางนี้นายท่านของข้าต้องช่วยคุณหนูใหญ่ได้อย่างแน่นอน”นับตั้งแต่ฟางเซี่ยนเซี่ยนตกน้ำ นางก็ยังไม่ได้สติร่วมสามวันแล้ว“เสี่ยวซูอาว่าเจ้าไปพักบ้างเถิด ประเดี๋ยวล้มป่วยไปอีกคนจะแย่เอาได้” ฟางเฉาหมิงพยายามเกลี้ยกล่อม ทว่าชายหนุ่มกลับยังนิ่งเฉยเพราะทุกวันซ่งเหวยซูกลับจากทำงานในรา