คราก่อน ที่เกอซูอวิ๋นเข้าวัง ก็เพราะเรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ของตนครั้งนั้เป็นครั้งแรกที่นางเข้าวัง ทำให้นางหวาดกลัวเกรงไปทั้งตัวแต่วันนี้ไม่เหมือนกัน วันนี้นางมาเพื่อช่วยคน!นางเชิดหน้าก้าวเดินอย่างองอาจ เข้าไปในห้องทรงอักษร คารวะฮ่องเต้ด้วยพิธีการของกลุ่มชนเตอร์กิก แล้วก็หันไปมองฉู่จืออี้อย่างไม่รู้ตัวอีกฝ่ายก็พยักหน้าให้นางเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็นเกอซูอวิ๋นก็ยิ่งมีความมั่นใจมากขึ้นก็ได้ยินฮ่องเต้เอ่ยถามว่า “ไม่ทราบว่าองค์หญิงเกอซูมีเรื่องสำคัญอันใดหรือ?”เกอซูอวิ๋นเหลือบมองเมิ่งซ่างซูที่คุกเข่าอยู่ด้านข้างก่อนเอ่ยว่า “ข้าได้ยินว่ามีคนรังแกเนี่ยนเนี่ยน เลยตั้งใจมาดู”ฉู่จืออี้บอกนางไว้แล้ว ในเมื่อเป็นองค์หญิงแห่งกลุ่มชนเตอร์กิก ไม่จำเป็นต้องทำตามกฎเกณฑ์ของแคว้นจิ้ง แม้จะบุ่มบ่าม ก็จะถูกมองว่าเป็นคนตรงไปตรงมาฮ่องเต้ฟังน้ำเสียงขององค์หญิงแห่งกลุ่มชนเตอร์กิกก็รู้ได้ทันทีว่าฉู่จืออี้เป็นคนสอนให้นางพูดเช่นนี้ จึงเผยสีหน้าจำใจออกมา แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรสายพระเนตรทอดไปยังเมิ่งซ่างซู ชัดเจนว่าทรงอยากให้เขาเป็นผู้ตอบเมิ่งซ่างซูชะงักไป ใจข้างในก็รู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อยแ
ประมาณครึ่งชั่วยามต่อมา คนที่ไปเอาเข็มเงินจากจวนอ๋องผิงหยางก็กลับมาแล้ว“ทูลฝ่าบาท นี่คือชุดฝังเข็มที่บ่าวนำมาจากจวนอ๋อง เป็นของที่ท่านหญิงเฉียวใช้เป็นประจำพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีน้อยผู้นั้นก้าวขึ้นมา ชูชุดฝังเข็มขึ้นเหนือศีรษะทั้งสองมือซูกงกงก้าวออกมารับชุดฝังเข็ม นำไปวางไว้บนโต๊ะของฮ่องเต้ชุดฝังเข็มถูกคลี่ออก เข็มเงินเล็กใหญ่เรียงรายเป็นระเบียบอยู่ตรงหน้า เว้นเพียงแต่ขาดเล่มที่ใหญ่ที่สุดและยาวที่สุดเล่มหนึ่งไปใบหน้าของฮ่องเต้พลันหม่นลงโดยไม่อาจห้ามได้ เงยตาขึ้นมองฉู่จืออี้แวบหนึ่ง แววตาแฝงไว้ด้วยความตำหนิส่วนซูกงกงที่อยู่ข้างๆ ก็ได้นำเข็มเงินที่ผู้ตรวจศพเอามาก่อนหน้านั้นไปวางเปรียบเทียบกับชุดฝังเข็ม ดูแล้วก็ใช่ชุดเดียวกันจริงๆทันใดนั้นก็แสดงสีหน้าลำบากใจ “ฝ่าบาท พระองค์ทอดพระเนตร...”ฮ่องเต้สีหน้าเคร่งเครียด ไม่เอ่ยคำใดเมิ่งซ่างซูกลับร้องขึ้นมาเสียงดัง “ขอฝ่าบาททรงมอบความเป็นธรรมให้บุตรสาวของกระหม่อมด้วย!”หลักฐานนี้ แม้จะนับว่าไม่อาจชี้ชัดได้ทั้งหมด แต่ความจริงคือเมิ่งอิ้งจือสิ้นชีวิตหลังได้รับการรักษาจากเฉียวเนี่ยน อีกทั้งเข็มเงินที่ขาดหายไปจากชุดฝังเข็มของเฉียวเนี่ยนก็มาปร
ฮ่องเต้ไม่เชื่อ“เพ้อเจ้ออะไร! เฉียวเนี่ยนเป็นหมอหญิง รักษานางสนมในวังหลังมามากมาย เคยมีผิดพลาดเมื่อใดกัน? ไยจึงไปลืมเข็มเงินแสนสำคัญเช่นนี้ไว้บนศีรษะเมิ่งอิ้งจือได้? เราว่า นี่มันชัดเจนว่าเป็นการวางแผนใส่ร้ายโดยเจตนาของใครบางคน!”ฝ่าบาทตะคอกเสียงต่ำ ตอนเอ่ยคำว่า ‘ใครบางคน’ นั้นยิ่งมองไปยังเมิ่งซ่างซูซูกงกงก็พูดกับเมิ่งซ่างซูว่า “ใต้เท้าเมิ่ง เรื่องกินอะไรมั่วๆ ยังพอว่า แต่คำพูดนั้นพูดมั่วไม่ได้ ไม่เพียงแต่ท่านหญิงเฉียวเป็นคนรอบคอบระมัดระวัง ไม่เคยเกิดเรื่องผิดพลาดอันใดมาก่อน เอาแค่เรื่องเข็มเงินนี้เถิด แต่ไหนแต่ไรผู้ศึกษาวิชาแพทย์ก็ล้วนมีเข็มเช่นนี้ติดตัว ไม่มีสิ่งใดพิเศษ แล้วท่านไปตัดสินได้อย่างไรว่านี่คือของท่านหญิงเฉียว?”ซูกงกงคิดว่า กลอุบายของเมิ่งซ่างซูนั้นช่างหยาบกระด้างเกินไปแต่ก็เพราะมันหยาบกระด้างเช่นนี้ จึงทำให้คนยิ่งสงสัยฉู่จืออี้ยืนอยู่ด้านข้าง ไม่เอ่ยปากพูดอะไร มีเพียงดวงตาคู่นั้นที่จ้องแน่วไปยังเมิ่งซ่างซูเขารู้ดีว่า กลอุบายของเมิ่งซ่างซูมิใช่มีเพียงเท่านี้แล้วก็จริงดังคาดเมิ่งซ่างซูเอ่ยว่า “ถ้าเช่นนั้น ก็ให้ท่านหญิงเฉียวนำเข็มเงินของนางออกมาเถิด! เข็มเงิ
ฮ่องเต้ไหนเลยจะคาดคิดไว้ วันนี้เป็นวันสิ้นปีแท้ๆ กลับยังต้องตัดสินคดีฆาตกรรม!ยิ่งไปกว่านั้นในตอนนี้ศพของเมิ่งอิ้งจือก็อยู่หน้าห้องทรงอักษร!มองไปยังเมิ่งซ่างซูที่สลบอยู่ถูกโยนลงกับพื้นยังไม่ฟื้นขึ้นมา แล้วหันไปมองฉู่จืออี้ที่ใบหน้ายิ่งอึมครึม ฮ่องเต้ก็กลั้นไม่อยู่ หันไปตวาดซูกงกงว่า “ยังไม่รีบปลุกเขาขึ้นมาอีก!”ซูกงกงจึงรับคำ รีบถือถ้วยชาที่อยู่บนโต๊ะของฮ่องเต้ไปสาดลงบนหน้าเมิ่งซ่างซูในที่สุดเมิ่งซ่างซูก็ค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา ลืมตาขึ้นมาก็เห็นฮ่องเต้เป็นคนแรกยังไม่ทันได้เข้าใจสถานการณ์ ก็รีบคลานมากราบ “กระหม่อมคารวะฮ่องเต้! ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี...”ยังทำความเคารพไม่ทันเสร็จก็พลันเห็นฉู่จืออี้ที่ยืนอยู่ข้างๆความหวาดกลัวถาโถมเข้ามา เขาตกใจจนสุดขีด จึงคลานคุกเข่าเข้าไปข้างฮ่องเต้ “ฝ่าบาท! ท่านอ๋องจะฆ่าปิดปากคนจวนเมิ่ง! พระองค์ต้องทรงอำนวยความยุติธรรมแก่ข้าน้อยด้วย!”ฆ่าปิดปากรึ?ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว “เขาจะฆ่าเจ้าปิดปากเรื่องอะไร?”“ฝ่าบาท! วันนี้บุตรีของกระหม่อมถูกพบว่าตายในห้องนอน เป็นเพราะถูกท่านหญิงเฉียวรักษาจนตาย! เรื่องนี้พ่อบ้านผู้ดูแลจวนของกระหม่อมสามารถเป็น
องครักษ์ได้ยินดังนั้น ก็รีบไปหามนักรบพลีชีพที่บาดเจ็บสาหัสคนนั้นออกมานักรบพลีชีพคนนั้นเดิมยังคิดว่าตนเองได้รับการช่วยเหลือจากตระกูลเมิ่ง คงไม่ถึงตายใครจะรู้ว่ากลับถูกหามมาอยู่ต่อหน้าฉู่จืออี้เขาลืมตาขึ้น ก็เห็นฉู่จืออี้กำลังเหลือบมองตน แววตานั้นประหนึ่งพาเขาย้อนกลับไปเมื่อชั่วยามก่อนเขาถึงได้รู้ ว่าตนเองรอดไม่ได้แล้วฉู่จืออี้หันไปมองเจ้ารองหนึ่งครั้งเจ้ารองเข้าใจทันที รีบก้าวออกไปพร้อมเจ้าสาม พานักรบพลีชีพคนนั้นออกไปเสียงจากในห้องหนังสือของเมิ่งซ่างซูดังมา “ฉู่จืออี้! คนที่ท่านต้องการก็ส่งให้แล้ว! ข้า... ข้าได้ส่งคนไปแจ้งฮ่องเต้แล้ว ทหารรักษาพระองค์จะมาในไม่ช้า! หากท่านไม่รีบไปละก็ คงไปไม่ได้อีกตลอดกาล!”ยังไม่ทันขาดคำ ประตูห้องหนังสือกลับถูกถีบเปิดออกอย่างง่ายดายฉู่จืออี้เดินเข้ามาอย่างองอาจ ทำเอาเมิ่งซ่างซูที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตกใจจนรีบลุกขึ้น ร่างกายสั่นเทา มององครักษ์ที่ถอยไปยืนอย่างเรียบร้อยด้านนอกด้วยสายตาไม่อยากเชื่อแต่ก็โทษพวกเขาไม่ได้องครักษ์พยัคฆ์พูดชัดเจนตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว หากไม่ยอมหลีกทาง ก็ต้องตายยิ่งกว่านั้น จะกลายเป็นตายเพราะถูกใส่ร้ายว่าเป็นนักลอ
ฉู่จืออี้สั่งการออกมาโดยไม่ให้โอกาสเขาได้เอ่ยปากอีก “ฆ่าซะ”สิ้นเสียงคำสั่ง พ่อบ้านก็เพียงรู้สึกว่ามีแสงเย็นวาบผ่านตรงหน้า แล้วก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ลำคอเขายกมือไปกดลำคอตัวเอง ก็พบว่ามีเลือดพุ่งทะลักออกมาอย่างไม่อาจห้ามไว้ได้…เขาเบิกตากว้าง ล้มลงบนพื้นทั้งที่ใจไม่ยินยอม จ้องมององครักษ์พยัคฆ์ที่เดินข้ามร่างเขาไปทีละคนไม่ควรจะเป็นแบบนี้…พ่อบ้านคิดในใจเขาเพิ่งจะปรึกษากับนายของตนอยู่ว่าจะใส่ร้ายเฉียวเนี่ยนอย่างไร ให้เฉียวเนี่ยนสิ้นหนทางแก้ต่างแล้วเหตุใด เพียงชั่วพริบตา ผู้ที่ตายก่อนกลับกลายเป็นตนเอง?เขาพยายามอ้าปาก แต่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะร้องขอชีวิตหรือร้องเรียกให้ช่วยแต่สุดท้ายกลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาเลยในตอนนั้น เมิ่งซ่างซูได้ขังตัวเองไว้ในห้องหนังสือประตูหน้าต่างถูกลงกลอนไว้หมด ด้านนอกยังมีองครักษ์จำนวนไม่น้อยคอยเฝ้าอยู่ถึงจะรู้ว่าพวกนี้ไม่อาจขวางฉู่จืออี้ได้ แต่เขาคิดว่าอย่างน้อยก็สามารถถ่วงเวลาไปได้บ้างในขณะที่ฉู่จืออี้กำลังต่อสู้กับนักรบพลีชีพที่เขาเลี้ยงดูไว้ในจวน เขาก็ได้ส่งคนเข้าไปในวังเพื่อขอความช่วยเหลือแล้วฮ่องเต้ต้องรีบส่งทหารรักษาพระองค์มาแน่!เข