โจวจื่อหมิงกำลังนั่งจิบชาและดูตำราพิชัยสงครามอยู่ในเรือนอย่างสงบ แต่แล้วประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างแรง หลิวซิ่วเหยาในชุดที่ดูยับยู่ยี่เล็กน้อยวิ่งเข้ามาพร้อมกับใบหน้าที่เปียกชื้นด้วยน้ำตา นางทำตัวน่าสงสารจนสาวใช้ที่ยืนอยู่หน้าห้องยังรู้สึกเห็นใจ
“นายท่านเจ้าขา... ท่านต้องให้ความเป็นธรรมแก่ข้าด้วยนะเจ้าคะ” หลิวซิ่วเหยาเข้าไปเกาะแขนโจวจื่อหมิงไว้ด้วยความน่าสงสาร “ข้าแค่เป็นห่วงท่านที่ต้องเผชิญหน้ากับฮูหยินที่น่ากลัว... ข้าจึงไปเยี่ยมฮูหยินที่ศาลบรรพชน แต่กลับถูกดุด่าอย่างรุนแรง ทั้งฮูหยินและบ่าวรับใช้ของนางไม่ไว้หน้าข้าเลยเจ้าค่ะ”
โจวจื่อหมิงขมวดคิ้วด้วยความรำคาญ เขาปัดมือของหลิวซิ่วเหยาออกอย่างไม่ใยดี “ไปร้องไห้ที่อื่นเถอะ ข้ากำลังดูตำราอยู่”
หลิวซิ่วเหยาเบะปาก ทำท่าจะร้องไห้หนักกว่าเดิม “แต่ฮูหยิน... ฮูหยินถึงขั้นขู่จะลงโทษข้าเจ้าค่ะ ทั้งๆ ที่ข้าเป็นคนโปรดของท่าน”
โจวจื่อหมิงที่ได้ยินดังนั้นดวงตาก็พลันเย็นชาลง เขาแสยะยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียมในใจ 'ช่างกล้าดียิ่งนัก... เจ้ากำลังเรียกร้องความตายจากข้า' เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วมองหลิวซิ่วเหยาด้วยสายตาที่เย็นชา “เจ้ากลับไปรอที่เรือนของเจ้า ข้าจะไปจัดการให้เอง”
หลิวซิ่วเหยามองตามหลังของโจวจื่อหมิงที่เดินออกไปอย่างรวดเร็วด้วยรอยยิ้มที่เผยออกมาอย่างพอใจ คราวนี้นางมั่นใจว่ากัวรั่วชิงก็จะต้องถูกโจวจื่อหมิงลงโทษอย่างหนักแน่นอน
โจวจื่อหมิงเดินเข้ามาในศาลบรรพชนด้วยท่าทีที่ถมึงทึงกว่าตอนสั่งลงโทษกัวรั่วชิงเสียอีก แสงไฟจากตะเกียงส่องสว่างเพียงบางส่วน ทำให้เงาของเขาดูน่ากลัวและใหญ่โต กัวรั่วชิงยังคงคุกเข่าอยู่หน้าแผ่นป้ายบรรพชนในท่าทางที่สงบนิ่งและมั่นคง ราวกับไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาเลย
“เจ้ายังไม่สำนึกโทษอีกหรืออย่างไร ถึงได้ก่อกวนผู้อื่นไปทั่วเช่นนี้!” โจวจื่อหมิงเอ่ยเสียงต่ำ ขณะไปหยุดยืนอยู่ด้านหน้าของนาง “เจ้าทำเรื่องน่าอับอายเช่นนี้ได้อย่างไรในที่ศักดิ์สิทธิ์ของบรรพชน!”
“ซื่อจื่อหมายถึงเรื่องใดหรือ” กัวรั่วชิงยังคงคุกเข่าอยู่เช่นนั้น แต่เงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นสามีด้วยสายตาที่เรียบนิ่ง ไร้ซึ่งความหวาดกลัวหรือความเคารพ น้ำเสียงของนางราบเรียบ ไม่มีขึ้นไม่มีลง
“เรื่องที่เจ้าไปอาละวาดใส่ซิ่วเหยา เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร ถึงได้รังแกผู้อื่นเช่นนี้ ถึงนางจะเป็นอนุแต่ก็เป็นคนโปรดของข้า เจ้าอิจฉานางจึงรังแกนาง เพราะอยากให้ข้าปวดใจงั้นรึ กัวรั่วชิงในหัวของเจ้ามีแต่ความริษยาอยู่หรือไร ได้แต่งข้าเป็นสามีแล้วก็ยังไม่พอ ยังก่อเรื่องให้ปวดหัวไม่หยุดหย่อน อย่าคิดนะว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าคิดจะเรียกร้องความสนใจ” โจวจื่อหมิงเริ่มมีโทสะ น้ำเสียงของเขาดังขึ้นเล็กน้อย ทำให้เสียงก้องไปทั่วศาลบรรพชนที่ว่างเปล่า
‘เรียกร้องความสนใจงั้นรึ โจวจื่อหมิงเจ้ามันลาโง่ มีค่าให้ข้าใส่ใจหรือ’ กัวรั่วชิงได้ฟังก็ได้แต่สบถภายในใจ
ฉับพลันกัวรั่วชิงเลิกคิ้วเล็กน้อย “อาละวาด? ท่านคิดว่าการที่ฮูหยินอย่างข้าตักเตือนอนุที่ไร้มารยาทเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ สร้างเรื่องให้ท่านปวดหัวงั้นรึ ชื่อจื่อ... หรือท่านคิดว่าข้าควรจะปล่อยให้นางมากล่าววาจาดูหมิ่นข้าที่เป็นสะใภ้ตระกูลโจวต่อหน้าบรรพชนคือสิ่งที่ถูกต้อง”
“นะ...นางก็แค่หวังดีมาเยี่ยม ในเมื่อเจ้าบอกว่าตัวเองเป็นฮูหยินผู้มีเกียรติ เหตุใดต้องข่มขู่นางถึงเพียงนั้น” โจวจื่อหมิงรู้สึกว่านางไม่ได้พูดผิดแม้แต่น้อย แต่ศักดิ์ศรีค้ำคอจึงไม่ยอมลดละ
“หวังดีประสงค์ร้ายมากกว่ากระมัง” กัวรั่วชิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “หรือท่านคิดว่าอนุที่ควรจะสำรวมตน กลับมาแสดงความยินดีที่ฮูหยินอย่างข้าถูกลงโทษถึงที่ คือความหวังดีจริงๆ”
โจวจื่อหมิงเงียบไปชั่วครู่ ปกติแล้วนางจะก้มหน้ารับผิดแต่โดยดี เพราะกลัวเขาจะโกรธไม่สนใจนางไม่ใช่หรืออย่างไร ไม่คิดว่าครานี้กัวรั่วชิงจะโต้ตอบกลับด้วยเหตุผลที่ทำเอาคนเถียงไม่ออกแบบนี้ได้
“ถึงอย่างไร เจ้าก็ไม่ควรไปต่อปากต่อคำกับนาง”
“แล้วเหตุใดข้าต้องยอมให้อนุต่ำต้อยมาต่อปากต่อคำกับข้าด้วยเล่าเจ้าคะ” กัวรั่วชิงยังคงคุกเข่าอยู่ แต่สายตาของนางกลับมองขึ้นไปในดวงตาของเขาอย่างไม่หลบเลี่ยง “ชื่อจื่อ สถานะของข้าคือฮูหยินเอกของท่าน ย่อมมีศักดิ์และสิทธิ์เหนือกว่าอนุทั้งปวง หากข้าไม่รักษาสถานะของตนเอง ปล่อยให้นางเฮิมเกริมแล้วข้าจะปกครองเรือนหลังของท่านให้สงบสุขได้อย่างไรกัน ยกเว้นว่าท่านอยากได้ชื่อว่า หลงใหลอนุ รังแกภรรยาเอก”
โจวจื่อหมิงรู้สึกราวกับถูกตบหน้า เขามองกัวรั่วชิงด้วยความไม่พอใจ “เจ้าเปลี่ยนไป”
“ข้ามิได้เปลี่ยนไป เพียงแต่เรื่องใดที่ไม่ควรปล่อย ข้าก็จะไม่ปล่อย” กัวรั่วชิงตอบกลับด้วยรอยยิ้มบางๆ ที่ไม่ได้มีความสุขอยู่เลย “โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่เกี่ยวกับศักดิ์และสิทธิ์ของข้าและท่าน”
“...” โจวจื่อหมิงพูดไม่ออก
“หากไม่มีธุระอันใดแล้ว ก็ควรปล่อยให้ข้า ‘รับโทษ’ ที่ท่านต้องการให้ข้ารับอย่างสงบด้วย” นางยังคงคุกเข่าอยู่ แต่คำพูดของนางเหมือนเป็นการไล่เขาทางอ้อม
โจวจื่อหมิงยืนมองกัวรั่วชิงด้วยความโกรธและความสับสน ก่อนจะตระหนักได้ว่าเขาไม่สามารถทำให้นางหวาดกลัวได้เหมือนเดิมอีกต่อไป เขาจึงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “เจ้าลุกขึ้น ไม่ต้องรับโทษแล้ว กลับไปที่เรือนของเจ้าเถิด”
เมื่อพูดจบ เขาก็หมุนตัวเดินออกจากศาลบรรพชนไปด้วยความไม่พอใจ ปล่อยให้กัวรั่วชิงยิ้มเยาะอยู่ในใจกับชัยชนะเล็กๆ ในครั้งนี้
เมื่อแสงตะวันลับขอบฟ้า ยามราตรีมาเยือน บรรยากาศภายในจวนแม่ทัพพลันเงียบสงบลงกว่าปกติ มีเพียงแสงนวลตาจากโคมไฟกระดาษที่แขวนเรียงรายตามทางเดินเท่านั้นที่ขับไล่ความมืดมิดออกไปซูหมิ่นจูในชุดสีชมพูอ่อนถูกซูจิ่นนำมาส่งตรงทางเข้าเรือนใหญ่ของหวงเชียนเล่อ หัวใจของนางเต้นรัวด้วยความยินดีผสมกับความประหม่า นางยืนนิ่งอยู่หน้าประตูครู่หนึ่งพยายามปรับสีหน้าท่าทางไม่ให้ดูตื่นเต้นเกินไป ก่อนก้าวเท้าผ่านประตูบุปผาไปทางเดินปูด้วยหินขัดเรียบ ทอดยาวผ่านสวนเล็กๆ ที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่ทรงพลัง มีกอไผ่และต้นหลิวพริ้วไหวตามแรงลม บนทางเดินมีกลิ่นหอมของดอกไม้ป่าอ่อนๆ ลอยมาเป็นระยะ ยิ่งทำให้หัวใจของนางพองโตมากขึ้นไปอีกเมื่อเข้ามาภายในเรือนจะพบกับห้องโถงที่กว้างขวางและดูเคร่งครึม ผนังประดับด้วยภาพวาดพู่กันลายภูเขาและแม่น้ำ ไม่มีเครื่องตกแต่งที่หรูหราฟุ่มเฟือย แต่ทุกอย่างถูกจัดวางอย่างลงตัว โต๊ะไม้ขนาดพอเหมาะตั้งอยู่กลางห้อง มีอาหารจัดวางอยู่เพียงไม่กี่อย่าง แสดงให้เห็นถึงความเรียบง่ายสมเป็นเรือนของแม่ทัพที่โต๊ะนั้นเอง ซูหมิ่นจูเห็นร่างสูงใหญ่ของหวงเชียนเล่อนั่งร
ยามนี้ซูหมิ่นจูตระหนักแล้วว่ากัวรั่วชิงไม่ใช่พลับนิ่ม แต่เป็นสตรีจิตใจล้ำลึกและร้ายกาจดังข่าวลือที่ได้ฟังมาจริงๆ แต่การที่ตนเองโดนเล่นงานตั้งแต่ครั้งแรกเยี่ยงนี้จะบอกให้ท่านน้ารู้ไม่ได้ ยิ่งกับญาติผู้พี่ยิ่งไม่ได้อย่างเด็ดขาด“เรื่องวันนี้อย่าได้แพร่งพราย ถ้าข้ารู้ว่าผู้ใดปากมาก ข้าจะเล่นงานให้หนัก”“ขอรับคุณหนูซู” แม้เรื่องนี้จะน่านำไปเล่าต่อแค่ไหน แต่ทหารผู้คุ้มกันสองสามคนที่ตามมาก็จำต้องรับคำ เพราะไม่อยากซวยจากความปากสว่างซูหมิ่นจูกับซูจิ่นขึ้นรถม้ากลับจวนแม่ทัพทันที ความเงียบปกคลุมอยู่ภายในรถม้าได้ไม่นาน ซูหมิ่นจูที่ยังคับแค้นใจไม่หายพลันทุบกำปั้นลงบนที่นั่งอย่างแรง“ช่างน่ารังเกียจจริงๆ ทั้งที่ตัวเองเป็นแค่สตรีม่ายที่โดนบุรุษอื่นทอดทิ้งมาก่อน แต่กลับกล้าต่อปากต่อคำ ดูถูกเหยียดหยามคุณหนูในห้องหอที่ไร้เรื่องฉาวอย่างข้า” นางเอ่ยด้วยความโกรธ ใบหน้าบิดเบี้ยวไปด้วยความเกลียดชัง“คุณหนูใจเย็นๆ ก่อนนะเจ้าคะ” ซูจิ่นพยายามปลอบคุณหนูของตนเอง“ใจเย็นงั้นรึ พูดออกมาได้” ซู
ตั้งแต่เกิดมามีแค่ไม่กี่คนที่รังแกนางได้หนึ่งคือกัวจิ้งอี สองคือโจวจื่อหมิง แต่พวกเขาทั้งคู่ก็ถูกนางเล่นงานจนย่ำแย่ไปแล้วนับประสาอะไรกับคุณหนูปากกล้าตรงหน้า อย่างนางจะเป็นตัวอะไรได้“นี่เจ้าจะทำร้ายคนหรือ” จูหมิ่นจูไม่คิดว่าสตรีที่ดูนุ่มนิ่มในตอนแรก บัดนี้กำลังเดินย่างสามขุมเข้ามาด้วยแววตากลัว “ช่วยด้วย! นางจะทำร้ายข้า”“ไสหัวไป ร้านค้าของข้าไม่ต้อนรับพวกคนเถื่อน” พูดจบพนักงานหญิงตัวใหญ่สองคนออกมาจากทางด้านหลังร้าน “โยนพวกนางออกไป” กัวรั่วชิงสั่งน้ำเสียงเด็ดขาด“อย่าเข้ามานะ! ข้า...ข้าออกไปเองได้”“เชิญ” ใบหน้างดงามปานเทพธิดาปรากฏรอยยิ้ม ทว่าเป็นรอยยิ้มหยันที่ทำให้คนโมโหจนแทบดิ้นตาย “เจ้าก็รีบกลับบ้านนอกไปเสียเถอะ เมืองหลวงไม่เหมาะกับคนอย่างเจ้า”ซูหมิ่นจูตัวแข็งทื่อราวกับถูกสาป นางไม่คาดคิดว่าสตรีม่ายที่นางดูถูกจะกล้าโต้ตอบเช่นนี้ ใบหน้าสวยหวานของนางแดงก่ำด้วยความโกรธจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้ นางได้แต่กัดฟันกรอดๆ ด้วยความคับแค้นใจ แ
“ขออภัยด้วยที่คนของข้าเสียมารยาท” เสียงนุ่มนวลที่ดังมาจากประตูหลังทำให้ซูหมิ่นจูและซูจิ่นหันไปมอง ก็เห็นหญิงสาวผู้หนึ่งสวมชุดสีกลีบบัวกำลังยืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้างดงามสงบนิ่ง ดวงตาที่ดูอ่อนโยนและรอยยิ้มจางๆ บนริมฝีปากชวนให้รู้สึกสบายตาสบายใจยิ่ง“เจ้าเป็นใคร” ซูจิ่นถามอย่างหยิ่งผยอง“ข้าคือเจ้าของร้านจื่อชิงแห่งนี้ นามว่ากัวรั่วชิง” น้ำเสียงของนางยังคงความอ่อนโยน แต่แฝงไว้ด้วยพลังไม่ได้อ่อนแอเลยแม้แต่น้อย“อ่อ เจ้าเองสินะ” ซูหมิ่นจูมองมาด้วยสายตาเย็นชา‘นางคือสตรีม่ายที่เป็นเจ้าของร้านแห่งนี้ กัวรั่วชิง งั้นเหรอ’ ซูหมิ่นจูเก็บความรู้สึกไม่ยินยอมไว้ภายในใจ นางไม่คาดคิดว่าคู่แข่งความรักของตนจะดูงดงามและสง่าดังดอกโบตั๋นเยี่ยงนี้ นางเดินเข้าไปหากัวรั่วชิงอย่างช้าๆ ราวกับนางพญาที่กำลังประเมินเหยื่อ“ข้าเคยได้กลิ่นหอมจากร้านใหญ่ๆ ในเมืองหลวงมาแล้ว” ซูหมิ่นจูเริ่มบทสนทนาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง “แต่กลิ่นของที่นี่ช่าง...ธรรมดาเส
หวงเชียนเล่อเดินนำนางไปตามทางเดินที่ปูด้วยหินสีเทาเข้มอย่างเป็นระเบียบ สองข้างทางมีต้นสนสูงใหญ่อายุหลายร้อยปีปลูกเรียงรายอย่างสง่างาม กำแพงสูงใหญ่ของเรือนพักรายล้อมไปด้วยพุ่มไม้ที่ถูกตัดแต่งอย่างประณีต บรรยากาศภายในจวนแม่ทัพแตกต่างจากภายนอกอย่างสิ้นเชิง ที่นี่ไม่มีเสียงอึกทึกของผู้คนในตลาด มีเพียงเสียงของสายลมที่พัดผ่านยอดไม้และเสียงฝีเท้าของทหารยามที่เดินตรวจตราเป็นระยะ ซูหมิ่นจูรู้สึกได้ถึงความสงบและอำนาจที่แฝงอยู่ในทุกย่างก้าว นางเดินตามพลางมองแผ่นหลังกว้าง หัวใจเต้นระรัวด้วยความรู้สึกที่ผสมผสานระหว่างความสุขที่ได้อยู่ใกล้ชิดเขาและความหวังในอนาคตที่นางเพิ่งจะวางแผนไว้เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปในเรือนพักรับรอง นางก็รู้สึกตกใจเมื่อเห็นห้องที่ถูกเตรียมไว้ มันถูกประดับประดาอย่างสวยงาม แต่ก็แฝงไปด้วยความรู้สึกอบอุ่น ดูก็รู้ว่าใส่ใจอย่างยิ่ง“พี่เชียนเล่อ ท่านเตรียมสิ่งนี้ให้ข้าหรือ” นางเอ่ยถามด้วยดวงหน้าแดงซ่าน“ใช่แล้ว เจ้าชอบหรือไม่เล่า”“ข้าชอบมากเจ้าค่ะ ขอบคุณท่านมากจริงๆ”“ไม่ต้องเกรงใจ เจ้า
หวงเชียนเล่ออ่านจบก็เก็บจดหมายเข้ากระเป๋าเสื้อ “เป็นอย่างไรบ้างขอรับ”“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง” หวงเชียนเล่อกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ “ท่านแม่แค่จะส่งจูเอ๋อร์มาทำธุระที่เมืองหลวง”“ฮูหยินคงส่งนางมาสอดส่องว่าท่านใช้ชีวิตเหลวไหลอย่างไรที่นี่มากกว่า”หวงเชียนเล่อหัวเราะอย่างขบขัน “เจ้าพูดถูกแล้ว ท่านแม่ของข้าคงจะคิดเช่นนั้น”“แล้วท่านไม่กังวลหรือ” หูจวี๋ถามอย่างเป็นห่วงหวงเชียนเล่อส่ายหน้า “ข้าไม่กังวลหรอก จูเอ๋อร์เป็นคนน่ารัก นางคงไม่ทำอะไรที่ไม่ดีต่อข้าหรอก”หวงเชียนเล่อเอ็นดูซูหมิ่นจูเหมือนน้องสาวแท้ๆ ของตัวเอง ทั้งยังแอบคิดในใจว่า หากญาติผู้น้องได้พบกับกัวรั่วชิงและชื่นชอบในตัวนาง มารดาของเขาอาจจะยอมรับในตัวกัวรั่วชิงได้ง่ายขึ้น“เจ้าช่วยสั่งให้พ่อบ้านไปเตรียมเรือนพักรับรองให้ญาติผู้น้องของข้าที่กำลังจะมาเยี่ยม”“ขอรับ” หูจวี๋โค้งคำนับแล้วเดินไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันกลับมา “ท่านแม่ทัพ แล้ว