วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาเช้าวันจันทร์ก็มาถึง วันนี้ไม่ใช่เพียงแค่วันที่เหยียนเหยียนต้องไปโรงเรียนเป็นวันแรกเท่านั้น แต่ยังเป็นวันที่จื่ออิงกับหลี่เฉินต้องกลับมาทุ่มเทให้กับร้านอาหารของพวกเขาอีกครั้ง
วันนี้จื่ออิงตื่นตั้งแต่เช้ามืด และแน่นอนตลอดสองวันมานี้เธอตื่นขึ้นมาในห้องนอนของหลี่เฉิน ซึ่งกลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว เพราะทุกคืนหลังจากที่เหยียนเหยียนหลับสนิท หลี่เฉินก็มักจะโผล่มาแบบเงียบๆ แล้วอุ้มเธอออกจากห้องพากลับเข้าห้องของตัวเอง
และเขาไม่เคยปล่อยให้เธอได้นอนง่ายๆ หลี่เฉินลงมือรังแกเธอจนดึกดื่นค่อนคืน ผลก็คือทุกเช้า จื่ออิงก็มักจะตื่นสายกว่าที่ควรจะเป็น และก็เป็นเหมือนภาพที่ฉายซ้ำ เสียงเคาะประตูจะดังขึ้นตามเวลาเป๊ะ พร้อมกับเสียงใสๆ ของเหยียนเหยียนดังอยู่ด้านหลังประตู
"พ่อคะ เปิดประตู พ่อขโมยแม่มาอีกแล้วนะ"
แม่หนูน้อยผู้มาเรียกร้องสิทธิ์ในการ'ทวงคืนแม่' จากพ่อ
หลี่เฉินจะลุกขึ้นด้วยใบหน้ายุ่งๆ แกล้งทำเสียงงัวเงีย แล้วบ่นเบาๆ ว่า
"มาแย่งแม่ไปอีกแล้ว พ่อยังนอนกอดแม่ไม่พอเลยนะ"
หลังจากนั้นก็เกิดเป็นสงครามเล็กๆ ระหว่างพ่อกับลูกสาว จื่ออิงทำได้แค่หัวเราะเบาๆ กับความวุ่นวายอันแสนอบอุ่นนี้
เมื่อคืนนี้ดีหน่อยที่สามีของเธอรู้ความ เขาเพียงแค่โอบกอดเธอเอาไว้เท่านั้น ปล่อยให้เธอได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ไม่อย่างนั้นเช้านี้คงเป็นเช้าที่แสนวุ่นวาย
จื่ออิงลุกขึ้นอย่างกระฉับกระเฉง เตรียมชุดนักเรียนตัวใหม่ที่ซักไว้จนหอมสะอาด รีดจนเรียบเอาไว้ให้บุตรสาว ก่อนจะเข้าครัวไปเตรียมอาหารเช้า
หลี่เฉินเองก็ลุกขึ้นมาช่วยเตรียมอาหาร เขาใส่ใจแม้กระทั่งกล่องข้าวของบุตรสาวที่วันนี้จัดเต็มทั้งข้าวปั้นรูปร่างน่ารัก ไข่ต้มยางมะตูมที่ไข่แดงเยิ้มๆ อย่างที่เหยียนเหยียนชอบ ปลาทอดที่แกะก้างออกเรียบร้อย และผลไม้หั่นเป็นรูปดาว
ส่วนเหยียนเหยียนก็ตื่นขึ้นมาด้วยแววตาเป็นประกาย เธอตื่นแต่เช้าโดยไม่ต้องให้แม่ปลุก แทบจะกระโดดลงจากเตียงด้วยความตื่นเต้น
"วันนี้หนูจะได้ไปโรงเรียนแล้วค่ะ"
เสียงใสๆ ดังลั่นบ้าน
จื่ออิงที่กำลังเตรียมอาหารเช้าอยู่ในครัวได้ยินเสียงก็ยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู
หลี่เฉินเดินไปอุ้มเหยียนเหยียน หลังจากที่จัดข้าวกล่องใส่ถุงผ้าแล้ววางเอาไว้บนโต๊ะ เอ่ยถามเสียงนุ่มละมุน
"คนเก่งของพ่อ พร้อมไปโรงเรียนหรือยังครับ"
"พร้อมมากเลยค่ะ หนูเตรียมกระเป๋าเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะ"
เหยียนเหยียนพูดพลางชี้ไปที่กระเป๋าเป้ใบเล็กสีชมพูหวานที่วางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือตัวเตี้ยของตัวเอง ในนั้นมีทั้งยางลบ ดินสอ และอุปกรณ์การเรียนที่แม่ซื้อให้ครบครัน
"ถ้าอย่างนั้นก็ไปอาบน้ำกันค่ะ"
จื่ออิงเอ่ยขึ้นหลังจากที่ยกหม้อข้าวต้มออกจากเตา เดินนำบุตรสาวไปยังห้องอาบน้ำที่สามีของเธอผสมน้ำอุ่นเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ผ่านไปครู่เดียวสองแม่ลูกก็อาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย
เหยียนเหยียนยืนอยู่หน้ากระจก บิดตัวไปมาด้วยรอยยิ้มถูกใจ หนูน้อยอยู่ในชุดนักเรียนอนุบาลตัวใหม่เอี่ยม เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวสะอาดมีลูกไม้เล็กๆ ตรงปก สวมคู่กับกระโปรงจีบยาวเหนือเข่าสีกรมท่า สวมรองเท้าผ้าใบสีขาวคู่ใหม่เข้ากับถุงเท้าขอบระบายดูน่ารักเหมือนตุ๊กตาตัวน้อย จนคนเป็นแม่ยกยิ้มกว้างไม่อาจละสายตา ทั้งหลงใหลความน่ารักของบุตรสาวทั้งรู้สึกเอ็นดู
เหยียนเหยียนยกเท้าขึ้นดูรองเท้าตัวเอง พลิกไปพลิกมาแล้วบอกเสียงใส
"แม่ขา หนูชอบรองเท้าคู่นี้ที่สุดเลยค่ะ หนูจะไม่ยอมทำให้มันเปื้อนเด็ดขาด"
จื่ออิงหัวเราะเบาๆ อย่างเอ็นดู พลางย่อตัวลงจัดปกเสื้อให้บุตรสาว ลูบผมนุ่มสลวยที่ถูกมัดเป็นเปียคู่ผูกด้วยผ้าผูกผมสีแดงดูเรียบร้อยน่ารักเข้ากับชุดนักเรียนใหม่ แล้วก้มลงหอมแก้มนุ่มนิ่มอย่างรักใคร่
"วันนี้ลูกสาวของแม่น่ารักมากๆ เลย"
เสียงของเธอเต็มไปด้วยความชื่นชมหลงใหล ทั้งอบอุ่นและทั้งภาคภูมิใจกับก้าวแรกของบุตรสาว
เหยียนเหยียนยิ้มกว้างจนเห็นฟันน้ำนมเรียงตัวสวย เธอจับมือแม่แล้วพากันออกไปกินมื้อเช้า เด็กน้อยยิ้มสดใสตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งนั่งกินข้าวต้มหมูร้อนๆ ที่แม่ทำไว้ให้
หลังทานอาหารเช้าเรียบร้อย พ่อแม่ลูกก็ออกเดินทางเข้าตัวอำเภอด้วยกัน
เมื่อเดินทางมาถึงหน้าโรงเรียน เหยียนเหยียนก็ลงจากรถจักรยานด้วยหัวใจที่เต้นตึกตักอย่างตื่นเต้น
วันนี้เพราะออกมาเช้ามากๆ ถนนหน้าโรงเรียนจึงคึกคักกว่าปกติ พ่อแม่หลายคนกำลังจูงมือลูกๆ มุ่งหน้าไปโรงเรียน
"พร้อมไหมลูก"
หลี่เฉินถามพลางช่วยจัดกระเป๋านักเรียนใบเล็กให้เข้าที่
"พร้อมค่ะ"
เด็กหญิงตอบเสียงดังฟังชัด แต่มือเล็กๆ กลับจับกระเป๋าเอาไว้แน่น ส่วนมืออีกข้างก็จับมือแม่ไว้ไม่ปล่อย
ประตูโรงเรียนเปิดกว้าง เด็กๆ หลายคนเดินเข้าไปพร้อมรอยยิ้ม เสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วสร้างบรรยากาศคึกคัก จื่ออิงมองลูกสาวที่เดินอยู่ข้างๆ แล้วก็อดยิ้มไม่ได้ เธอรู้ดีว่าตอนนี้บุตรสาวกำลังตื่นเต้นเพียงใด เพราะมือเล็กๆ ที่กำมือเธอเอาไว้แน่นเหมือนจะชื้นเหงื่อน้อยๆ
"แม่จะรออยู่ตรงนี้จนกว่าหนูจะเข้าไปนะ ไม่ต้องกลัวนะคะ"
เธอก้มลงบอกลูกเบาๆ พร้อมกับยิ้มให้ เมื่อเดินมาหยุดอยู่หน้าประตูรั้ว
เหยียนเหยียนพยักหน้า แม้จะดูประหม่าเล็กน้อย แต่รอยยิ้มก็ยังคงอยู่บนใบหน้า
ครูประจำชั้นเดินออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม พร้อมยื่นมือมาให้เด็กหญิงจับ
"สวัสดีจ้ะเหยียนเหยียน ยินดีต้อนรับเข้าสู่โรงเรียนนะลูก ไปกับคุณครูไหมคะ เดี๋ยวจะพาไปรู้จักกับเพื่อนๆ"
เมื่อคุณครูเดินออกมาต้อนรับ เธอก็ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม ก่อนจะหันกลับมามองพ่อกับแม่อีกครั้ง และเดินเข้าไปจับมือคุณครู ดวงตากลมโตยังมีแววลังเลนิดๆ แต่เต็มไปด้วยความกล้าหาญ
จื่ออิงกับหลี่เฉินโบกมือให้ ส่งยิ้มอบอุ่นที่สุดเท่าที่พ่อแม่จะให้ได้ และในวินาทีนั้นเด็กหญิงก็ยิ้มตอบอย่างมั่นใจ แล้วหมุนตัวเดินตามคุณครูไป
จื่ออิงยืนมองลูกเดินเข้าไปในรั้วโรงเรียน ในใจรู้สึกเต็มตื้นไปหมด อีกใจก็อดรู้สึกวูบโหวงปนเป็นห่วงนิดๆ ไม่ได้
มือของเธอสัมผัสเข้ากับมือของสามีที่ยื่นมาเกาะเบาๆ ทั้งคู่ยิ้มให้กัน
"เหยียนเหยียนโตขึ้นอีกนิดแล้วนะครับ"
หลี่เฉินพูดเบาๆ ด้วยความภูมิใจ
จื่ออิงยิ้มตอบสามี วันนี้เป็นวันแรกของการมาโรงเรียนของบุตรสาว เป็นก้าวแรกที่สำคัญ และเป็นก้าวที่พ่อแม่อย่างพวกเขาจะไม่มีวันลืมเลย
หลังจากส่งลูกสาวเข้าโรงเรียนเรียบร้อยแล้ว ทั้งหลี่เฉินและหลินจื่ออิงก็จูงมือกันเดินไปยังจักรยานที่จอดอยู่ข้างทาง สองสามีภรรยาพูดกันไปตลอดทาง ใบหน้าของทั้งคู่ประดับไปด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุข ปั่นจักรยานมุ่งหน้าไปยังร้านอาหารของพวกเขาที่กำลังปรับปรุง
บรรยากาศยามเช้ายังคงคึกคักเต็มไปด้วยผู้คนสัญจรไปมา แต่ในมุมหนึ่งของร้านน้ำชาเงียบสงบริมถนน มีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่เพียงลำพัง เธอสวมชุดกระโปรงสีหวานและหมวกปีกกว้างที่ช่วยบังแดด แต่ไม่อาจซ่อนสายตาเศร้าหมองที่แฝงด้วยความรู้สึกสับสนและเจ็บปวดลึกๆ ได้เลย
เจียงซินหยานั่งนิ่งไม่ไหวติง สายตาของเธอจับจ้องไปยังอีกฟากฝั่งถนน ตั้งแต่ที่ปรากฏภาพของครอบครัวสุขสันต์ ในตอนที่หลี่เฉินกำลังจูงมือลูกสาวตัวน้อย เดินเคียงข้างภรรยาของเขา ทั้งสามคนหัวเราะ ยิ้มแย้ม ดูมีความสุขกันอย่างเต็มเปี่ยม ราวกับโลกนี้มีแค่พวกเขาเท่านั้น
เธอมองภาพนั้นอย่างเงียบงัน ไม่มีคำพูดใดหลุดออกจากริมฝีปาก มีเพียงเสียงในหัวที่ยังคงตอกย้ำเรื่องราวเดิมซ้ำไปซ้ำมา
คำพูดที่หลี่เฉินเอ่ยตัดความสัมพันธ์กับเธออย่างไม่ไว้หน้า เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นสร้างความอับอายและคับแค้นใจให้กับเธอเป็นอย่างมาก
ผู้หญิงหลายคนที่เคยอิจฉาเธอ ต่างหัวเราะเยาะ พากันพูดจาเสียดสี หาว่าเธอละเมอเพ้อพกและไร้ยางอาย กล้าหมายปองสามีของผู้อื่น
หัวใจของเจียงซินหยาบีบรัดแน่น เธอกำถ้วยน้ำชาที่เย็นชืดจนมือสั่น ข้อนิ้วขาวซีดเพราะแรงบีบ
เธอไม่เข้าใจ ทั้งที่หลี่เฉินเคยดีกับเธอมาก เป็นเธอที่คอยอยู่เคียงข้างเขามาตลอด คิดว่าความสัมพันธ์ของเธอกับเขามีโอกาสที่จะพัฒนาต่อไปมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ แต่พอมีหลินจื่ออิงเข้ามาทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ทุกอย่างพังลงไม่เหมือนที่เธอคิดสักอย่าง
ดวงตาของเจียงซินหยาเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา มองภาพคนทั้งสองค่อยๆ ลับสายตาไป หญิงสาวเบือนสายตากลับมายังถ้วยน้ำชา ดวงตาเปล่งประกายบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้ ในใจของเธอรู้สึกถึงความไม่ยินยอม ความรู้สึกขมขื่นผสมความโกรธก่อตัวขึ้นในใจ รุนแรงมากขึ้นทุกวัน
เจียงซินหยาหลับตาลงช้าๆ สูดลมหายใจลึก ยอมรับว่าเธอชมชอบในตัวเขามาก มากจนไม่อาจที่จะตัดใจได้ง่ายๆ
ถ้าไม่มีผู้หญิงคนนั้น...ทุกอย่างคงไม่เป็นแบบนี้ เธอมั่นใจว่าหลี่เฉินต้องเลือกเธอแน่
เจียงซินหยายังคงนั่งอยู่ตรงนั้น ราวกับเวลาหยุดนิ่งไปชั่วขณะ เสียงพูดคุยรอบตัวไม่อาจทะลุผ่านความคิดอันวุ่นวายของเธอได้
ก่อนที่เธอจะวางเงินค่าน้ำชาลงบนโต๊ะ หยิบกระเป๋าและเดินออกจากร้าน
ทันทีที่มาถึงร้านของพวกเขา จื่ออิงกับหลี่เฉินก็หันมายิ้มให้กัน ทั้งคู่ยืนมองอาคารตรงหน้าด้วยความภูมิใจและพึงพอใจ จากอาคารเก่าทรุดโทรมที่เคยเต็มไปด้วยรอยแตกร้าว และร่องรอยการชำรุดจากกาลเวลา ได้รับการปรับปรุงจนตอนนี้เปลี่ยนไปจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม กลับกลายเป็นอาคารที่ดูสวยงามและมีเสน่ห์จนนึกไม่ถึงว่าจะเป็นสถานที่เดียวกันอาคารตรงหน้าดูดีขึ้นเป็นอย่างมาก ผนังสีขาวสะอาดตาด้านหน้าร้านที่เพิ่งทาสีเสร็จไม่นาน ถูกแต่งแต้มด้วยลวดลายดอกไม้จางๆ สีสันไม่จัดจ้านแต่กลับดูมีรสนิยม แฝงความละมุนละไมและความตั้งใจที่ใส่ลงไปในทุกรายละเอียดดูน่าดึงดูด แปลกตา มีเสน่ห์ และน่าสนใจ กลายเป็นสถานที่ที่ใครเดินผ่านก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับมามองหลี่เฉินจูงมือภรรยาเดินเข้าไปในตัวอาคาร ก่อนจะแยกออกไปพูดคุยกับนายช่างเกี่ยวกับการเก็บรายละเอียดต่างๆ ตามที่ภรรยาออกแบบเอาไว้ ซึ่งวันนี้ก็เป็นวันที่โต๊ะเก้าอี้และเครื่องครัวที่สั่งเอาไว้มาส่งพอดี ส่วนจื่ออิงเลือกที่จะเดินสำรวจภายในร้าน นิ้วมือเรียวลูบผนังที่เพิ่งทาสีเสร็จเบาๆ เหมือนกำลังสัมผัสความฝันที่ค่อยๆ เป็นจริง ร้านแห่งนี้ตรงใจของเธอแทบทุกอย่าง ต้องยอมรับว่านายช่างท
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาเช้าวันจันทร์ก็มาถึง วันนี้ไม่ใช่เพียงแค่วันที่เหยียนเหยียนต้องไปโรงเรียนเป็นวันแรกเท่านั้น แต่ยังเป็นวันที่จื่ออิงกับหลี่เฉินต้องกลับมาทุ่มเทให้กับร้านอาหารของพวกเขาอีกครั้งวันนี้จื่ออิงตื่นตั้งแต่เช้ามืด และแน่นอนตลอดสองวันมานี้เธอตื่นขึ้นมาในห้องนอนของหลี่เฉิน ซึ่งกลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว เพราะทุกคืนหลังจากที่เหยียนเหยียนหลับสนิท หลี่เฉินก็มักจะโผล่มาแบบเงียบๆ แล้วอุ้มเธอออกจากห้องพากลับเข้าห้องของตัวเองและเขาไม่เคยปล่อยให้เธอได้นอนง่ายๆ หลี่เฉินลงมือรังแกเธอจนดึกดื่นค่อนคืน ผลก็คือทุกเช้า จื่ออิงก็มักจะตื่นสายกว่าที่ควรจะเป็น และก็เป็นเหมือนภาพที่ฉายซ้ำ เสียงเคาะประตูจะดังขึ้นตามเวลาเป๊ะ พร้อมกับเสียงใสๆ ของเหยียนเหยียนดังอยู่ด้านหลังประตู"พ่อคะ เปิดประตู พ่อขโมยแม่มาอีกแล้วนะ"แม่หนูน้อยผู้มาเรียกร้องสิทธิ์ในการ'ทวงคืนแม่' จากพ่อหลี่เฉินจะลุกขึ้นด้วยใบหน้ายุ่งๆ แกล้งทำเสียงงัวเงีย แล้วบ่นเบาๆ ว่า"มาแย่งแม่ไปอีกแล้ว พ่อยังนอนกอดแม่ไม่พอเลยนะ"หลังจากนั้นก็เกิดเป็นสงครามเล็กๆ ระหว่างพ่อกับลูกสาว จื่ออิงทำได้แค่หัวเราะเบาๆ กับความวุ่นวายอ
เสียงในครัวเริ่มดังขึ้นเป็นระยะ ทั้งเสียงตะหลิวกระทบกระทะ และเสียงหัวเราะคิกคักของเด็กหญิงตัวน้อยที่ไม่ยอมอาบน้ำ แต่อยากมาช่วยมารดาทำอาหาร"อย่าเพิ่งขยับมันนะคะ เดี๋ยวไข่แดงจะแตก" จื่ออิงเตือนเบาๆ ขณะจับมือเล็กให้ห่างจากกระทะ"ก็หนูตื่นเต้นนี่นา"เหยียนเหยียนผู้อยากทอดไข่ดาวด้วยตัวเองร้องบอกมารดา ในขณะที่จ้องมองไข่ดาวในกระทะอย่างตั้งใจหลี่เฉินในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนเดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้ม เขาโอบเอวภรรยาจากด้านหลังแล้วก้มลงหอมแก้มนิ่มฟอดใหญ่ กระซิบถามข้างหูเบาๆ ด้วยน้ำเสียงกึ่งหยอกล้อ"เช้านี้ทำอะไรกินครับ อืม หอมมากๆ"จื่ออิงสะดุ้งเล็กน้อย แก้มขึ้นสีระเรื่อก่อนจะหันไปมองค้อนเขาเบาๆ"อย่ามาแกล้งสิคะ เหยียนเหยียนอยู่ตรงนี้นะ""ก็อาหารฝีมือคุณหอมจริงๆ นี่ครับ" หลี่เฉินยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ย พลางทำท่าสูดดมกลิ่นข้าวผัดสีสวยที่วางอยู่ข้างๆ ก่อนจะหันปลายจมูกมาจุ๊บแก้มภรรยาอีกครั้งเหยียนเหยียนที่กำลังตั้งใจทอดไข่ดาว หันมายิ้มจนตาหยีทันทีเมื่อเห็นพ่อกับแม่หยอกล้อกัน"พ่อแอบหอมแก้มแม่อีกแล้ว หนูเห็นนะคะ"คำพูดใสซื่อและสายตาหยอกล้อของบุตรสาวตัวน้อย ทำให้จื่ออิงรีบหันขวับไปมองค้อนคนตัวโตข้างหล
แสงแดดอ่อนยามเช้าค่อยๆ ลอดผ่านช่องหน้าต่างเข้ามา เส้นแสงอุ่นนวลพาดผ่านผืนฟูกและเรือนร่างสองร่างที่ยังหลับใหลอยู่ในอ้อมกอดของกันและกันอย่างแนบแน่น เสียงนกน้อยร้องรับอรุณดังแผ่วอยู่ไกลๆ ปะปนกับเสียงลมยามเช้าที่พัดผ่านม่านบางเบา ทำให้บรรยากาศภายในห้องเต็มไปด้วยความสงบและอบอุ่นจื่ออิงรู้สึกตัวช้าๆ เปลือกตาของเธอกะพริบไล่แสงที่แตะต้องใบหน้าเบาๆ ก่อนสายตาจะค่อยๆ ปรับให้ชินกับแสงและสิ่งรอบตัวสิ่งแรกที่เธอรู้สึกได้คือความอบอุ่นจากวงแขนแข็งแกร่งที่ยังโอบรอบตัวเธอเอาไว้แน่น แผ่นอกแข็งแกร่งที่แนบอยู่ด้านหลัง ฝ่ามือใหญ่ที่ทาบอยู่บนหน้าท้องของเธอ ลมหายใจสม่ำเสมอที่เป่ารดลงมา และกลิ่นอายที่ชวนให้วาบหวามของเจ้าของวงแขนที่ยังคงติดอยู่บนผิวกายของเธอ ราวกับจะยืนยันว่าเรื่องเมื่อคืนไม่ใช่เพียงแค่ความฝันจื่ออิงหันศีรษะไปมองคนด้านหลังช้าๆ เห็นใบหน้าหล่อคมของชายหนุ่มในยามหลับที่ดูอบอุ่นอ่อนโยน หัวใจของเธอพลันกระตุก ใบหน้างามร้อนวาบขึ้น เธอเม้มริมฝีปากแน่นอย่างขัดเขิน ดวงหน้าแดงเรื่ออย่างห้ามไม่อยู่ การกระทำของหลี่เฉินเมื่อคืนนี้ บอกกับเธอว่าอย่าตัดสินคนเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอกจื่ออิงข่มความอับอายที่เกิด
ลมหายใจของหลี่เฉินร้อนผ่าว รินรดลงบนผิวเนื้อของเธอราวกับเปลวไฟอ่อนๆ ที่กำลังโอบล้อมร่างกาย มือใหญ่ของเขาค่อยๆ ลูบไล้ไปตามเรือนร่างของเธอด้วยความอ่อนโยน แต่แฝงไว้ด้วยแรงปรารถนา สัมผัสนั้นไม่ได้เพียงแค่แตะต้องร่างกาย หากแต่เหมือนปลุกให้หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นทุกขณะ ทุกสัมผัสจุดความรู้สึกบางอย่างในกายให้ลุกวาบโดยไม่ทันตั้งตัวจื่ออิงไม่รู้ตัวเลยว่าเสื้อผ้าของเธอหลุดหายไปจากร่างกายตั้งแต่เมื่อไหร่ จนกระทั่งหลี่เฉินผละตัวออกห่างจากเธอ ความอบอุ่นที่โอบล้อมอยู่จึงจางหาย ลมเย็นบางเบาพัดผ่านเข้ามาทางช่องหน้าต่าง สัมผัสผิวกายทำให้ขนอ่อนของเธอลุกชัน เธอถึงได้รู้ว่าตัวเองเหลือเพียงร่างเปลือยเปล่าจื่ออิงปรือตาขึ้นช้าๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาจึงหยุดการกระทำทุกอย่างลง หรือว่าเธอทำอะไรผิดไป แต่แล้วจื่ออิงก็ต้องชะงัก เมื่อตอนนี้ภาพอันแสนเย้ายวนกลับปรากฏอยู่ตรงหน้าแสงจากตะเกียงน้ำมันส่องสะท้อนลงบนเรือนร่างของหลี่เฉินที่กำลังยืดกายอยู่ตรงปลายเท้าของเธอ เขานั่งชันเข่า สองแขนแข็งแกร่งยกขึ้นสูง กำลังถอดเสื้อตัวบางออกจากศีรษะ ท่วงท่าเหล่านั้นเป็นไปอย่างเนิบนาบเชื่องช้า ราวกับตั้งใจให้เธอไล่สายตาสำรวจไปทั่วเรื
ในอ้อมกอดอุ่นนั้น จื่ออิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง หัวใจเธอเต้นช้าลงอย่างสงบ ราวกับได้พักพิงอยู่ในที่ปลอดภัยที่สุด เธอไม่รู้ว่าหลี่เฉินยืนกอดเธอนานแค่ไหน แต่ก็ไม่อยากให้ช่วงเวลานี้จบลงเลยเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นสบตาเขาอีกครั้ง ใบหน้าของทั้งสองอยู่ใกล้กันจนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกันแววตาของหลี่เฉินอ่อนโยน ลึกซึ้ง และเปี่ยมไปด้วยความรัก"อาอิง"เสียงของเขานุ่มนวล "คุณรู้ไหมว่าผมไม่เคยคิดไม่เคยฝันมาก่อนเลย ว่าเราจะมีวันนี้ วันที่ครอบครัวได้อยู่กันพร้อมหน้า"จื่ออิงมองสบตาเขาแล้วยิ้มอ่อนโยน เธอเองก็ไม่เคยคิดเหมือนกัน แต่ยังไม่ทันจะตอบอะไร เขาก็ยกมือขึ้นลูบผมเธอเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ ก้มลงประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากของเธออย่างอ่อนโยน"ขอบคุณนะครับที่อยู่ข้างๆ กัน ขอบคุณที่เป็นความสุขให้ผมกับลูก"เขากระซิบด้วยเสียงแผ่วเบาเธอกะพริบตาถี่ๆ รู้สึกเหมือนหัวใจพองโตคับอก เธอไม่ได้พูดอะไรเพราะรู้สึกตื้นตันใจไปหมดจนพูดไม่ออก ทำเพียงยกมือขึ้นกอดเอวเขาเอาไว้แน่น สื่อความรู้สึกทั้งหมดที่เธอไม่อาจเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้หลี่เฉินมองเธออย่างอ่อนโยน แล้วค่อยๆ โน้มหน้าเข้ามาใกล้อีกครั้ง คราวนี้ริมฝีปากของเขาแนบลงบนแก้ม