ภารัชชาควงแขนสามีร่วมดื่มฉลองกับเพื่อนเขาสักพักใหญ่ ก่อนที่เธอจะให้หมอไป๋ได้อยู่พูดคุยกับเพื่อนๆ เขาแทน ไม่อยากยืนฝืนยิ้มในหมู่คนที่เธอเองก็ไม่ได้สนิทสนมดี
กระทั่งหมุนตัวกลับมาแล้วเห็นปรางสิตายืนข้างอาปราบต์ ใบหน้าที่เหนื่อยล้าสะสมมาทั้งวันก็เผยรอยยิ้มกว้างในทันที
เธอกลายเป็นเด็กน้อยวัยแปดขวบ จ้องจะวิ่งเข้าหาแม่ทุกครั้งที่ได้เจอหน้า ถึงแม้อายุอานามจะไม่ใช่เด็กน้อยแล้วก็ตาม แต่ข้างในตัวภารัชชายังมีเด็กน้อยหนึ่งคนอยู่ด้วยตลอดเวลา
เด็กน้อยที่รอคอยความเมตตาและความรักจากผู้ให้กำเนิด...
“แม่กับอาปราบต์ยังไม่กลับอีกเหรอ” ร่างระหงวิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าปรางสิตา แต่คนเป็นแม่กับทำหน้าระอาเต็มกลืน อาปราบต์ที่ยืนอยู่ข้างๆ จึงเป็นคนพูดกับเธอแทน
“อาขอให้แม่อยู่ลาเราก่อนน่ะ จะเข้าเรือนหอทั้งทีคงมีอะไรให้ร่ำลากันหน่อย”
“ร่ำลาอะไรล่ะ ฉันไม่ได้ส่งลูกเข้าโรงเชือดสัตว์นะคุณ”
“แต่หลานกำลังจะเข้าเรือนหอ เธอควรให้พรลูกหน่อยนะสิตา”
ปรางสิตาถอนหายใจพรืดยาว เธอก็แค่ไม่รู้จะอยู่ปั้นหน้าให้เสียเวลาทำไม ในเมื่อเจ้าสัวชาญชัยอวยพรในพิธีงานจบก็ขอตัวกลับพร้อมภรรยาหลวง แต่อาปราบต์กลับรั้งปรางสิตาให้อยู่รอเจอภารัชชาหลังจบงาน
“จะอยากได้พรไปทำอะไรล่ะ ฉันไม่ใช่เทพพระเจ้าสักหน่อยคุณ” ผู้เป็นแม่ยกแขนขึ้นกอดอกด้วยความเบื่อหน่าย
ถ้ามีสามีอยู่ด้วยเธอคงไม่กล้าแสดงกิริยาเช่นนี้ แค่นั่งแยกโต๊ะในงานพิธีวิวาห์ก็ทำปรางสิตาหัวเสียแทบแย่แล้ว จนภารัชชาเองยังสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายอารมณ์ไม่ดีตั้งแต่เริ่มพิธี
“พ่อแม่ก็เหมือนกับพระในบ้านสิตา ไม่เคยได้ยินหรือไงว่าพรใดจะศักดิ์สิทธิ์เท่าคำอวยพรของพ่อกับแม่” อาปราบต์พูดแล้วส่ายหน้าไปมาที่ปรางสิตาทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว
ใครบอก ใครสอนก็ไม่ได้ ยึดคติที่ตนถูกอยู่ฝ่ายเดียวแบบนี้ ภารัชชาถึงได้กลายเป็นลูกสาวที่เหมือนมีเรื่องเก็บกดตลอดเวลา
“นั่นสิ แม่ก็อวยพรให้ชาหน่อยสิคะ” ภารัชชาเกาะแขนอ้อนแม่ แต่ถูกปรางสิตาปรายตาแล้วลอบถอนหายใจใส่
“ขอให้แกตั้งท้องทายาทตระกูลซ่งเร็วๆ ก็แล้วกัน”
“ปรางสิตา”
“คุณปราบต์”
ปรางสิตาจิปากไม่สบอารมณ์ สีหน้าและแววตาไม่ได้แยแสหรือใส่ใจความรู้สึกคนเป็นลูก จนอาปราบต์หันมองภารัชชาที่หน้าเสียอย่างเป็นกังวลใจ
“อาขออวยพรให้ชาเจอแต่สิ่งดีๆ ถ้ามีเรื่องกระทบกระทั่งกันหน่อยถ้ายอมกันได้ก็ยอมกันไปนะชา จะได้อยู่กันยืดยาว”
อาปราบต์วางมือบนไหล่หลานสาว สายตาฉายชัดถึงความห่วงใยที่ส่งไปถึงรอยยิ้มบางเบา ภารัชชายิ้มรับแสร้งว่าไม่ได้นอยอะไร ก่อนจะหันไปมองปรางสิตาที่ยังเบือนหน้าหนีไม่มองกัน
ภารัชชาอยากให้ปรางสิตากอดลา ก่อนจะเข้าตระกูลซ่งอย่างเป็นทางการ อย่างน้อยเรียกขวัญและกำลังใจในการเผชิญหน้ากับผู้ชายอย่างซ่งไป๋ก็ยังดี
“โอเค ถ้างั้นอากับแม่เรากลับก่อน พรุ่งนี้อามีงานเช้าด้วย”
“ขอบคุณค่ะอาปราบต์... ขอบคุณแม่ด้วยนะคะ ชาขอกราบลาทั้งสองเลยค่ะที่อยู่จนจบงาน”
ภารัชชาฝืนยิ้มแล้วพนมมือไหว้ลา ทั้งที่ในใจเธออยากร้องไห้เต็มประดา แต่ต้องแสร้งว่าไม่เป็นอะไรปรางสิตาจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง
เสียงเพลงสุดมันในงานปาร์ตี้หลังเที่ยงคืนดังแว่วมาเป็นระยะ เหล่าเพื่อนแพทย์ของหมอไป๋ยังออกลีลาท่าทางกันหน้าเวทีอยู่เลย ดูทรงแล้วน่าจะเก็บกดจากการทำงานหนักมากพอสมควร
“คืนนี้อย่าลืมล่ะ ให้ท่าผู้ชายสักหน่อยนึง คงไม่ยากหรอก” ปรางสิตายอมเปิดปากพูด แต่ไม่ใช่เรื่องที่ภารัชชาอยากฟังเท่าไหร่
“คืนนี้หนูเหนื่อยแล้วค่ะแม่ คุณไป๋เองก็เหนื่อยเหมือนกัน”
“แกก็หัดอ่อนหวานให้มันเป็นบ้าง อ้อนสามีแกให้เป็น เข้าใจมั้ย”
ภารัชชาลอบถอนใจเหนื่อยหน่าย แม่ไม่เคยเข้าใจหัวอกของเธอเลย
“ผู้ชายร้อยทั้งร้อยให้ใจแข็งแค่ไหนก็แพ้มารยาหญิง อยากได้อะไรก็อ้อนสามีแกเอา อย่าให้ฉันต้องผิดหวัง”
คนเป็นแม่กำลังสอนมารยาหญิงให้เธอฟัง ภารัชชาเป็นคนห้าวหาญเกินหญิงในบางครั้งจึงขาดความอ่อนหวานไป ปรางสิตารู้จักลูกสาวดีถึงได้แนะนำคำสอนที่เธอใช้กับเจ้าสัวชาญชัยให้
“ถ้าต้องทำตัวเป็นคนอื่นให้เขามารัก หนูยอมเป็นตัวเองที่ไม่ต้องฝืนดีกว่าค่ะแม่ ถ้าเขาจะรักในสิ่งที่หนูไม่ได้เป็น”
“เมื่อไหร่แกจะเลิกเถียงคำไม่ตกฟาก ฉันล่ะเหนื่อยกับแก”
อาปราบต์หลุดขำแล้วส่ายหน้าไปมา เธอคงจะแยกไม่ออกแล้วสิท่าว่าลูกอธิบายหรือกำลังเถียงอยู่ เขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไม เวลามีเรื่องให้ไม่สบายใจภารัชชาถึงคอยมาปรึกษาเสมอ
“ดูตัวแกวันนี้สิ ค่อยสมราศีลูกสาวเจ้าสัวหมื่นล้านหน่อย”
ปรางสิตาขยับฝีเท้าไปใกล้ พลางเชยปลายคางพลิกใบหน้าของภารัชชาไปมา ชื่นชมดีเอ็นเอความสวยจากตัวเธอที่มอบถึงลูกสาว อีกทั้งการศึกษาก็เพียบพร้อมจากการที่เธอถีบส่งให้ภารัชชาร่ำเรียน
“แกเป็นงานศิลปะที่สวยมากสำหรับฉัน...”
ภารัชชายิ้มไม่ออก ใต้ตาร้อนผ่าวมีน้ำตาเอ่อคลอหน่วย เธอเป็นแค่งานศิลปะที่แม่ปั้นแต่งมาอย่างดี ไม่มีขาดตกบกพร่อง แต่ใครจะรู้ว่างานชิ้นนี้ข้างในกลวงโบ๋ดูดีแค่รูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้นแหละ
ลองส่องไฟให้ถึงใจเธอสิ จะได้รู้ว่ามันแตกเป็นเสี่ยงมากแค่ไหน
“รีบท้องลูกคุณไป๋ ฉันจะได้รู้สึกดีที่คลอดแกออกมาสักที”
ภรรยาที่ดีมีหน้าที่เตรียมข้าวปลาอาหารให้สามี ต้องมีเสน่ห์ปลายจวักเฉพาะตัวให้ผู้เป็นสามีรักและหลง ต่างลิบลับกับภรรยาป้ายแดงที่มักจะกินอาหารจานด่วนเป็นประจำพอภารัชชาก้าวขาเข้ามาเป็นสะใภ้ตระกูลซ่ง โดยไม่มีตำแหน่งใดในบริษัทของเจ้าสัวชาญชัยพวงมาด้วย เป็นแค่เจ้าของร้านดอกไม้เล็กๆ ในหัวมุมตัวเมืองเท่านั้นเธอก็ต้องดูแลบ้านเรือนและสามีให้ดี เป็นคำสั่งคำสอนจากแม่สามีที่กำชับตั้งแต่มาหาแต่เช้าของวันตอนนี้เธอก็เลยต้องมาแสดงฝีไม้ลายมือการทำอาหาร สวมผ้ากันเปื้อนดูเพียบพร้อมที่จะลงมือทำซุปไก่ตุ๋นโสมกับแม่สามีแล้ว“เอ่อ ต้องทำอะไรก่อนเหรอคะคุณแม่”ภารัชชาฝืนยิ้มแฉ่งให้หลี่จูแม่สามี เธอเป็นคนหน้าดุและกิริยาดูผู้ดีเหมือนคุณครูภาษาไทยสมัยเธอเรียนเวลาได้อยู่ด้วยกันสองคนเธอก็พลอยประหม่าไปด้วย พยายามจะให้กำลังใจตัวเองว่าหลี่จูแค่หน้าดุ การทำอาหารที่ต้องประณีตทุกขั้นตอนแบบนี้ก็ต้องมีเอ็ดตะโรกันบ้างธรรมดา“เธอไม่เคยทำอาหารเลยเหรอ” หลี่จูปรายตามองลูกสะใภ้เห็นท่าทีเงอะงะวางมือไม้ไม่ถูกก็รู้แล้วว่าไม่เคยเข้าครัว แค่มีดเธอก็ดูลนลานราวกับแตะต้องของร้อนเข้าให้ แบบนี้จะทำไก่ตุ๋นโสมของโปรดลูกชายเธอไหวหรือเปล่า
เช้ามาที่หมอไป๋และภารัชชานั่งและยืนกันคนละมุม ร่างสูงยืนชงกาแฟอยู่ที่เคาน์เตอร์ครัว ส่วนภรรยาป้ายแดงนั่งดื่มเพียวมัทฉะในยามเช้าบนโต๊ะอาหารจะว่ามองหน้ากันไม่ติดก็ใช่ เมื่อคืนนอนกอดกันกลมไม่พอ ตอนตื่นเธอยังพบว่าตัวเองมุดเข้าไปซุกอกอุ่นของหมอไป๋อีกอายแค่ไหนก็ต้องเก็บอาการ หน้าต้องหนาให้พอต่อกรกับเขาเข้าไว้“ถ้วยฟู”“มาว~”เจ้าถ้วยฟูส่งเสียงร้องครืนคราง ก่อนจะเดินมาคลอเคลียที่ต้นขาของภารัชชา หมอไป๋ได้ยินเสียงแมวร้องก็หันมอง พลันขมวดคิ้วเครียดที่เห็นแมวน้อยเดินนวยนาดข้างเธอ“ตัวอะไร” เขามองแมวสามสีตัวอวบอ้วนด้วยสีหน้านิ่งเรียบ แต่ก็แฝงความไม่พอใจอยู่ในนั้นที่มีสัตว์เลี้ยงมาเดินเพ่นพ่านในบ้าน“จระเข้มั้งคะคุณไป๋”“กวนประสาทเหรอ”“คุณก็เห็นว่าน้องเป็นแมว จะถามทำไมคะว่าตัวอะไร” เธอก้มตัวลงไปอุ้มถ้วยฟูขึ้นมานั่งตักหมอไป๋มองแล้วเบ้หน้าเล็กน้อย พลางยกกาแฟรสเข้มขึ้นมาดื่มก่อนไปทำงาน แมวเธอตัวอวบอ้วนจนตักเธอจะรองรับน้ำหนักไม่ไหวอยู่แล้ว“แมวหรือหมูตัวใหญ่ขนาดนั้น”“ถ้วยฟูไม่อ้วนสักหน่อยค่ะ”“แน่ใจเหรอว่าไม่อ้วน”“น้องแค่จ้ำม่ำเฉยๆ เองคุณไป๋”ภารัชชามองตาขวางใส่อีกฝ่าย ก่อนจะเอามือป้องหูถ้วยฟูไม
ร่างบางพลิกตัวไปมาบนเตียงขนาดคิงส์ไซส์ เธอข่มตาในความมืดให้หลับไม่ลง จนได้ยินเสียงหมอไป๋ถอนหายใจเป็นระยะเขาก็คงรำคาญเธอเต็มที เล่นพลิกตัวกระสับกระส่ายไปมา พาลให้เขานอนไม่หลับด้วยอีกคน แต่เมื่อภารัชชาเริ่มตัวสั่นแล้วกระเถิบจนแผ่นหลังชิดหลังหมอไป๋ เขาก็ผงกหัวแล้วเอี้ยวลำคอหันมองทันที“จะยุกยิกอีกนานมั้ย” หมอไป๋ขมวดคิ้วหัวเสีย พรุ่งนี้เขามีผ่าตัดช่วงเก้าโมงแต่ปาไปตีสองแล้วยังไม่ได้นอนเลย“ขอแค่เปิดไฟดวงเดียวได้มั้ยคะ”“เธอเป็นเด็กหรือไง ถึงนอนแบบปิดไฟไม่ได้”“ฉันก็แค่... กลัวความมืด”ภารัชชาตอบกลับไม่เต็มเสียง เธอมุดตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม ในหัวมีแต่ภาพจินตนาการน่ากลัวจนข่มตาหลับไม่ลง ซ่งไป๋เป็นคนใจคอโหดเหี้ยมอย่างที่ใครเขาพูดนั่นแหละเลือดเย็นได้แม้กระทั่งคนที่กลัวความมืด...“ในห้องนี้ไม่มีแสงลอดเข้ามาเลยนี่คะ คุณไป๋ปิดทั้งม่าน... ปิดไฟในห้องทั้งหมดเลย”“ฉันนอนไม่หลับถ้าไฟแยงตา”“ถ้างั้นให้ฉันไปนอนข้างนอกก็ได้ คุณจะได้ไม่หัวเสียด้วยค่ะ”หมอไป๋ยันกายลุกขึ้นนั่ง พลางลอบระบายลมหายใจทิ้ง ใช่ว่าเขาอยากจะรั้งเธอไว้สักหน่อย แต่ตัวเขาก็มีเหตุผลให้ต้องคุ้นเคยกับคนที่เกลียดเหมือนกันซ่งไป๋เป็นคนไม่คุ้น
ภารัชชานั่งข้างซ่งไป๋บนรถโรลส์รอยซ์คันหรู สารถีกรกำลังขับพาทั้งคู่ตรงไปยังเพนส์เฮ้าส์ส่วนตัวของหมอไป๋ มูลค่าร่วมสี่ร้อยกว่าล้านเป็นมุมที่เขาหวงความเป็นส่วนตัวมากแต่หมอไป๋เป็นคนเสนอเอง จัดให้เพนส์เฮ้าส์เป็นเรือนหอเพราะไม่อยากเจียดเงินในส่วนนี้ แค่ค่าสินสอดที่ต้องประเคนให้แม่ลูกคู่นี้ก็มากเกินพออีกอย่างการที่ภารัชชาเข้ามาอยู่ในพื้นที่ของเขา เขาจะได้จัดการเธอได้ง่ายมากขึ้น เวลาพยศทีจะได้กำราบง่ายไม่ต้องใช้แรงเยอะปึกศีรษะเล็กที่สัปหงกอยู่ซบลงบนไหล่กว้าง ใบหน้าสวยสดดูเหนื่อยล้าจนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทิ้งหัวบนไหล่หมอไป๋“นี่เธอ”ใบหน้าหล่อเหลาทมึงตึง ก่อนจะใช้นิ้วชี้ดันศีรษะเธอให้ออกห่างภารัชชาปรือตาขึ้นมอง หมอไป๋เลยหันหน้าหนีแสร้งว่าไม่ได้ดันหัวเธอออกแต่อย่างใด เธอหลับตาลงกลับเข้าสู่อาการสัปหงกอีกครั้ง และก็เผลอไปพิงไหล่เขาอย่างไม่รู้ตัวอีกแล้ว“ภารัช...”“อื้อ”หมอไป๋ลืมคำพูดที่จะต่อว่าไปชั่วขณะ หลุบตามองใบหน้าสวยสดที่ครางครืนในลำคอ ปมที่หว่างคิ้วเริ่มคลายออกราวกับสบายตัวที่ได้นั่งซบไหล่อยู่“ภาระ”ใบหน้าหล่อคมเบือนหนีออกไปนอกหน้าต่าง ปล่อยให้เธอได้ซบอิงไหล่เขาระหว่างรถขับเคลื่อนไปบนถน
ภารัชชาควงแขนสามีร่วมดื่มฉลองกับเพื่อนเขาสักพักใหญ่ ก่อนที่เธอจะให้หมอไป๋ได้อยู่พูดคุยกับเพื่อนๆ เขาแทน ไม่อยากยืนฝืนยิ้มในหมู่คนที่เธอเองก็ไม่ได้สนิทสนมดีกระทั่งหมุนตัวกลับมาแล้วเห็นปรางสิตายืนข้างอาปราบต์ ใบหน้าที่เหนื่อยล้าสะสมมาทั้งวันก็เผยรอยยิ้มกว้างในทันทีเธอกลายเป็นเด็กน้อยวัยแปดขวบ จ้องจะวิ่งเข้าหาแม่ทุกครั้งที่ได้เจอหน้า ถึงแม้อายุอานามจะไม่ใช่เด็กน้อยแล้วก็ตาม แต่ข้างในตัวภารัชชายังมีเด็กน้อยหนึ่งคนอยู่ด้วยตลอดเวลาเด็กน้อยที่รอคอยความเมตตาและความรักจากผู้ให้กำเนิด...“แม่กับอาปราบต์ยังไม่กลับอีกเหรอ” ร่างระหงวิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าปรางสิตา แต่คนเป็นแม่กับทำหน้าระอาเต็มกลืน อาปราบต์ที่ยืนอยู่ข้างๆ จึงเป็นคนพูดกับเธอแทน“อาขอให้แม่อยู่ลาเราก่อนน่ะ จะเข้าเรือนหอทั้งทีคงมีอะไรให้ร่ำลากันหน่อย”“ร่ำลาอะไรล่ะ ฉันไม่ได้ส่งลูกเข้าโรงเชือดสัตว์นะคุณ”“แต่หลานกำลังจะเข้าเรือนหอ เธอควรให้พรลูกหน่อยนะสิตา”ปรางสิตาถอนหายใจพรืดยาว เธอก็แค่ไม่รู้จะอยู่ปั้นหน้าให้เสียเวลาทำไม ในเมื่อเจ้าสัวชาญชัยอวยพรในพิธีงานจบก็ขอตัวกลับพร้อมภรรยาหลวง แต่อาปราบต์กลับรั้งปรางสิตาให้อยู่รอเจอภารัชชาหลังจ
AFTER PARTY คือช่วงเวลาปลดปล่อยความสนุกหลังพิธีวิวาห์สิ้นสุดอย่างเป็นทางการ ทุกคนต่างก็มารวมตัวสนุกสุดเหวี่ยงด้วยกัน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเพื่อนของทางฝั่งของหมอไป๋มากกว่าภารัชชามีเพื่อนรักเพียงคนเดียวแค่อิงธารา ส่วนอีกคนก็คือรุ่นพี่คนสนิทอย่างสิบทิศที่มาร่วมยินดี ทั้งสามนั่งร่วมดื่มเฉลิงฉลองกันที่โต๊ะ ส่วนเพื่อนร่วมงานหมอไป๋จัดเต็มอยู่หน้าเวทีกันหมดแล้วหากไม่ได้บอกว่าเป็นหมอรักษาคนไข้ ภารัชชาก็นึกว่าเหล่ากองทัพแพทย์เป็นนักเต้นมืออาชีพ แต่ละคนเท้าไฟมีหัวใจรักดนตรีกันทุกคน“แกดื่มเยอะเกินไปแล้วนะอิง พี่สิบช่วยปรามหน่อยสิคะ” ภารัชชาหันไปทำเสียงอ้อนให้สิบทิศช่วยสิบทิศเป็นรุ่นพี่สายรหัสเธอตอนเรียนมหาวิทยาลัย ชายร่างสูงโปร่งผิวพรรณดีสวมแว่นสายตาทรงกลม เป็นหนุ่มตี๋ที่มีสาวสวยมารุมขายขนมจีบกันให้เพียบ แต่คงทำได้แค่มองเพราะรุ่นพี่เธอมีแฟนสาวแล้ว“เดี๋ยวพี่ดูอิงให้เองครับ น้องชาไปช่วยคุณไป๋เถอะ”“ยัยชาฉันโคตรยินดีกับแกเลยนะเว้ย... เพื่อนร้าก”อิงธาราอยู่ในอาการมึนเมา โยกตัวมาโอบกอดเพื่อนรักแล้วโคลงตัวไปมา ทำภารัชชาหลุดยิ้มอย่างเอ็นดูเพื่อนตัวเอง“ฉันรู้แล้ว แต่แกช่วยตั้งสติหน่อยเถอะน่า”“ดูแลตัว