ภารัชชานั่งข้างซ่งไป๋บนรถโรลส์รอยซ์คันหรู สารถีกรกำลังขับพาทั้งคู่ตรงไปยังเพนส์เฮ้าส์ส่วนตัวของหมอไป๋ มูลค่าร่วมสี่ร้อยกว่าล้านเป็นมุมที่เขาหวงความเป็นส่วนตัวมาก
แต่หมอไป๋เป็นคนเสนอเอง จัดให้เพนส์เฮ้าส์เป็นเรือนหอเพราะไม่อยากเจียดเงินในส่วนนี้ แค่ค่าสินสอดที่ต้องประเคนให้แม่ลูกคู่นี้ก็มากเกินพอ
อีกอย่างการที่ภารัชชาเข้ามาอยู่ในพื้นที่ของเขา เขาจะได้จัดการเธอได้ง่ายมากขึ้น เวลาพยศทีจะได้กำราบง่ายไม่ต้องใช้แรงเยอะ
ปึก
ศีรษะเล็กที่สัปหงกอยู่ซบลงบนไหล่กว้าง ใบหน้าสวยสดดูเหนื่อยล้าจนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทิ้งหัวบนไหล่หมอไป๋
“นี่เธอ”
ใบหน้าหล่อเหลาทมึงตึง ก่อนจะใช้นิ้วชี้ดันศีรษะเธอให้ออกห่าง
ภารัชชาปรือตาขึ้นมอง หมอไป๋เลยหันหน้าหนีแสร้งว่าไม่ได้ดันหัวเธอออกแต่อย่างใด เธอหลับตาลงกลับเข้าสู่อาการสัปหงกอีกครั้ง และก็เผลอไปพิงไหล่เขาอย่างไม่รู้ตัวอีกแล้ว
“ภารัช...”
“อื้อ”
หมอไป๋ลืมคำพูดที่จะต่อว่าไปชั่วขณะ หลุบตามองใบหน้าสวยสดที่ครางครืนในลำคอ ปมที่หว่างคิ้วเริ่มคลายออกราวกับสบายตัวที่ได้นั่งซบไหล่อยู่
“ภาระ”
ใบหน้าหล่อคมเบือนหนีออกไปนอกหน้าต่าง ปล่อยให้เธอได้ซบอิงไหล่เขาระหว่างรถขับเคลื่อนไปบนถนน
สารถีประจำตระกูลอย่างกรลอบมองผ่านกระจก เขาอมยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่คนเดียวที่เห็นเจ้านายยอมให้ภรรยาป้ายแดงซบไหล่
กระทั่งรถยนต์จอดสนิทที่ลานจอดรถส่วนตัว หมอไป๋ก็หันชำเลืองหางตามองภารัชชาก่อนใช้มือดันหน้าผากเธออีกครั้ง คราวนี้เธอสะดุ้งตื่นจากห้วงความฝันแล้วเบิกตาโตผวาขึ้นมา
“ถึงแล้วเหรอคะคุณไป๋...”
เธอยกมือขึ้นขยี้ดวงตาน้อยๆ ก่อนจะหันมองเขาที่กำลังขยับหมุนช่วงหัวไหล่ อาการเมื่อยขบเล่นงานตอนที่เขาเกร็งแขนให้เธอซบอิง
“ถึงแล้วครับคุณภารัชชา เดี๋ยวผมนำกระเป๋าขึ้นไปให้ครับ” กรเป็นคนทำลายความเงียบระหว่างบ่าวสาวป้ายแดง
“ขอบคุณมากนะคะคุณกร”
“ยินดีครับ”
ร่างสูงกำยำผลักประตูรถอย่างหงุดหงิดใจ ขายาวก้าวปราดเดินนำหน้าไปไม่สนภรรยาที่รีบโกยฝีเท้าให้ทันเขา
ภารัชชาสูดลมหายใจเข้า พลางสะบัดศีรษะไล่ความง่วง เธอแค่ต้องทำตัวให้เหมือนแมลงสาบในบ้านเขาเท่านั้นเอง ถ้าเป็นไปได้ก็แค่อาศัยอยู่ให้เงียบที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
อยู่ให้เป็นเย็นให้พอ... เพื่อความสงบสุขของชีวิตเธอเอง
“ขอบคุณค่ะ เดี๋ยวฉันจัดการที่เหลือต่อเอง” เธอหันไปบอกกรที่ถือกระเป๋าเข้ามาให้ กรก็ค้อมศีรษะลาเจ้านายอย่างนอบน้อม
ภารัชชาลากกระเป๋าตามหลังหมอไป๋ไป ปากก็ขมุบขมิบสาปแช่งเขาในใจไปด้วย ไม่รู้จะชักสีหน้าทมึงตึงเย็นชาใส่กันทำไมนักหนา
ทั้งคู่เดินผ่านใจกลางโถงห้องรับแขก ซึ่งปลายทางคือห้องนอนหมอไป๋ ระหว่างทางเธอก็ลอบมองของตกแต่งภายในบ้าน หรูหราอลังการสมกับเป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของซ่งหมิง
“อย่าไปแตะ มันแพง” หมอไป๋ดุเธอ เขาหันมาเห็นเธอกำลังจะแตะแจกันราคาแพงหูฉี่พอดี
“แค่แตะเองค่ะ ยังไม่ทันจะแตกสักหน่อย”
“ถ้าแตก เธอไม่มีปัญญารับผิดชอบหรอก”
ภารัชชาสูดลมหายใจเข้าแล้วผ่อนปรนออกมา จ้องหมอไป๋ตาแข็งแล้วชักมือที่คิดจะสัมผัสแจกันสีสวยนี้ออกทันที
“ขอให้น้ำไม่ไหลตอนล้างก้น...” เธอจ้องแผ่นหลังเขาขณะสาปแช่งออกมา แต่พอหมอไป๋หันมามองก็แสร้งมองเพดานด้านบนแทน
“พูดอะไร”
“เปล่าค่ะ”
หมอไป๋ส่ายหน้าอย่างเอือมระอาเธอ เขาล่ะเพลียจิตกับภรรยาที่ไม่คิดจะโปรดปรานคนนี้ซะจริง แค่เห็นหน้าเขาก็ปวดขมับไปหมดแล้ว
ร่างสูงเดินนำไปโดยไม่พูดอะไรสักคำเดียว แต่พอหมอไป๋เปิดประตูห้องนอน เธอก็จะยกเอากระเป๋าเข้าไปจัดเก็บให้เรียบร้อย แต่กลับถูกเขาหมุนตัวขวางทางจ้องหน้ากันซะก่อน
“มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“เฮ้อ”
“อ้าว”
ภารัชชายืนงงเป็นไก่ตาแตก มองไล่ตามหลังของหมอไป๋ที่กลับเข้าห้องไป ทิ้งให้เธอยืนหน้าเหลอหลาไม่เข้าใจการกระทำของเขาเมื่อครู่
มาจ้องหน้าหาเรื่องแล้วก็ถอนหายใจใส่อีก ทำอย่างกับเธออยากจะอยู่ร่วมหอลงโลงด้วยนักหรอก หัวอกเดียวกันแท้ๆ แต่ทำไมถึงได้มีท่าทีรังเกียจเดียดฉันท์กันนักหนา
“ตอนนอนฉันขอเปิดไฟหัวเตียงไว้ดวงนึงได้มั้ยคะ” เธอพูดออกไปกับใจที่วาบหวิวขึ้นมา
ภารัชชานอนเปิดไฟมาตลอด เธอกลัวความมืดกับความคิดที่ฟุ้งซ่านของตัวเอง ตอนเด็กโดนพลอยลดากลั่นแกล้งมาเยอะ พอโตมาก็เลยมีปมกับความมืดแบบที่แก้ไม่หาย
“ไม่ได้” หมอไป๋ตอบตัดบท ขณะหันหลังไล่ปลดกระดุมเสื้อออก
“ทำไมคะ แค่ดวงเล็กๆ ก็ได้ค่ะ”
“มันแยงตา ฉันนอนไม่หลับ”
“ถ้างั้นฉันไปนอนข้างนอกก็ได้ค่ะ”
หมอไป๋ถอนหายใจทิ้งให้ได้ยิน เธอยืนตัวชาดิกช้อนตามองเขาที่ไม่ยอมให้เปิดไฟทิ้งไว้ ภรรยาที่หมอไป๋ไม่โปรดปรานก็โดนปฏิบัติตัวเช่นนี้แหละ เธอคงต้องทนรับมือความประสาทนี้ให้ได้เท่านั้นเอง
“แค่ปิดไฟนอน อย่าทำให้เรื่องมากนักภารัชชา”
“แต่ว่า...”
“พอได้ละ”
ภารัชชาเม้มปากแทบไม่ทัน ถูกเขาขึงหน้าดุตอนที่อ้าปากเถียงกลับ
“ฉันปวดหัว อยากนอนแล้ว”
ภรรยาที่ดีมีหน้าที่เตรียมข้าวปลาอาหารให้สามี ต้องมีเสน่ห์ปลายจวักเฉพาะตัวให้ผู้เป็นสามีรักและหลง ต่างลิบลับกับภรรยาป้ายแดงที่มักจะกินอาหารจานด่วนเป็นประจำพอภารัชชาก้าวขาเข้ามาเป็นสะใภ้ตระกูลซ่ง โดยไม่มีตำแหน่งใดในบริษัทของเจ้าสัวชาญชัยพวงมาด้วย เป็นแค่เจ้าของร้านดอกไม้เล็กๆ ในหัวมุมตัวเมืองเท่านั้นเธอก็ต้องดูแลบ้านเรือนและสามีให้ดี เป็นคำสั่งคำสอนจากแม่สามีที่กำชับตั้งแต่มาหาแต่เช้าของวันตอนนี้เธอก็เลยต้องมาแสดงฝีไม้ลายมือการทำอาหาร สวมผ้ากันเปื้อนดูเพียบพร้อมที่จะลงมือทำซุปไก่ตุ๋นโสมกับแม่สามีแล้ว“เอ่อ ต้องทำอะไรก่อนเหรอคะคุณแม่”ภารัชชาฝืนยิ้มแฉ่งให้หลี่จูแม่สามี เธอเป็นคนหน้าดุและกิริยาดูผู้ดีเหมือนคุณครูภาษาไทยสมัยเธอเรียนเวลาได้อยู่ด้วยกันสองคนเธอก็พลอยประหม่าไปด้วย พยายามจะให้กำลังใจตัวเองว่าหลี่จูแค่หน้าดุ การทำอาหารที่ต้องประณีตทุกขั้นตอนแบบนี้ก็ต้องมีเอ็ดตะโรกันบ้างธรรมดา“เธอไม่เคยทำอาหารเลยเหรอ” หลี่จูปรายตามองลูกสะใภ้เห็นท่าทีเงอะงะวางมือไม้ไม่ถูกก็รู้แล้วว่าไม่เคยเข้าครัว แค่มีดเธอก็ดูลนลานราวกับแตะต้องของร้อนเข้าให้ แบบนี้จะทำไก่ตุ๋นโสมของโปรดลูกชายเธอไหวหรือเปล่า
เช้ามาที่หมอไป๋และภารัชชานั่งและยืนกันคนละมุม ร่างสูงยืนชงกาแฟอยู่ที่เคาน์เตอร์ครัว ส่วนภรรยาป้ายแดงนั่งดื่มเพียวมัทฉะในยามเช้าบนโต๊ะอาหารจะว่ามองหน้ากันไม่ติดก็ใช่ เมื่อคืนนอนกอดกันกลมไม่พอ ตอนตื่นเธอยังพบว่าตัวเองมุดเข้าไปซุกอกอุ่นของหมอไป๋อีกอายแค่ไหนก็ต้องเก็บอาการ หน้าต้องหนาให้พอต่อกรกับเขาเข้าไว้“ถ้วยฟู”“มาว~”เจ้าถ้วยฟูส่งเสียงร้องครืนคราง ก่อนจะเดินมาคลอเคลียที่ต้นขาของภารัชชา หมอไป๋ได้ยินเสียงแมวร้องก็หันมอง พลันขมวดคิ้วเครียดที่เห็นแมวน้อยเดินนวยนาดข้างเธอ“ตัวอะไร” เขามองแมวสามสีตัวอวบอ้วนด้วยสีหน้านิ่งเรียบ แต่ก็แฝงความไม่พอใจอยู่ในนั้นที่มีสัตว์เลี้ยงมาเดินเพ่นพ่านในบ้าน“จระเข้มั้งคะคุณไป๋”“กวนประสาทเหรอ”“คุณก็เห็นว่าน้องเป็นแมว จะถามทำไมคะว่าตัวอะไร” เธอก้มตัวลงไปอุ้มถ้วยฟูขึ้นมานั่งตักหมอไป๋มองแล้วเบ้หน้าเล็กน้อย พลางยกกาแฟรสเข้มขึ้นมาดื่มก่อนไปทำงาน แมวเธอตัวอวบอ้วนจนตักเธอจะรองรับน้ำหนักไม่ไหวอยู่แล้ว“แมวหรือหมูตัวใหญ่ขนาดนั้น”“ถ้วยฟูไม่อ้วนสักหน่อยค่ะ”“แน่ใจเหรอว่าไม่อ้วน”“น้องแค่จ้ำม่ำเฉยๆ เองคุณไป๋”ภารัชชามองตาขวางใส่อีกฝ่าย ก่อนจะเอามือป้องหูถ้วยฟูไม
ร่างบางพลิกตัวไปมาบนเตียงขนาดคิงส์ไซส์ เธอข่มตาในความมืดให้หลับไม่ลง จนได้ยินเสียงหมอไป๋ถอนหายใจเป็นระยะเขาก็คงรำคาญเธอเต็มที เล่นพลิกตัวกระสับกระส่ายไปมา พาลให้เขานอนไม่หลับด้วยอีกคน แต่เมื่อภารัชชาเริ่มตัวสั่นแล้วกระเถิบจนแผ่นหลังชิดหลังหมอไป๋ เขาก็ผงกหัวแล้วเอี้ยวลำคอหันมองทันที“จะยุกยิกอีกนานมั้ย” หมอไป๋ขมวดคิ้วหัวเสีย พรุ่งนี้เขามีผ่าตัดช่วงเก้าโมงแต่ปาไปตีสองแล้วยังไม่ได้นอนเลย“ขอแค่เปิดไฟดวงเดียวได้มั้ยคะ”“เธอเป็นเด็กหรือไง ถึงนอนแบบปิดไฟไม่ได้”“ฉันก็แค่... กลัวความมืด”ภารัชชาตอบกลับไม่เต็มเสียง เธอมุดตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม ในหัวมีแต่ภาพจินตนาการน่ากลัวจนข่มตาหลับไม่ลง ซ่งไป๋เป็นคนใจคอโหดเหี้ยมอย่างที่ใครเขาพูดนั่นแหละเลือดเย็นได้แม้กระทั่งคนที่กลัวความมืด...“ในห้องนี้ไม่มีแสงลอดเข้ามาเลยนี่คะ คุณไป๋ปิดทั้งม่าน... ปิดไฟในห้องทั้งหมดเลย”“ฉันนอนไม่หลับถ้าไฟแยงตา”“ถ้างั้นให้ฉันไปนอนข้างนอกก็ได้ คุณจะได้ไม่หัวเสียด้วยค่ะ”หมอไป๋ยันกายลุกขึ้นนั่ง พลางลอบระบายลมหายใจทิ้ง ใช่ว่าเขาอยากจะรั้งเธอไว้สักหน่อย แต่ตัวเขาก็มีเหตุผลให้ต้องคุ้นเคยกับคนที่เกลียดเหมือนกันซ่งไป๋เป็นคนไม่คุ้น
ภารัชชานั่งข้างซ่งไป๋บนรถโรลส์รอยซ์คันหรู สารถีกรกำลังขับพาทั้งคู่ตรงไปยังเพนส์เฮ้าส์ส่วนตัวของหมอไป๋ มูลค่าร่วมสี่ร้อยกว่าล้านเป็นมุมที่เขาหวงความเป็นส่วนตัวมากแต่หมอไป๋เป็นคนเสนอเอง จัดให้เพนส์เฮ้าส์เป็นเรือนหอเพราะไม่อยากเจียดเงินในส่วนนี้ แค่ค่าสินสอดที่ต้องประเคนให้แม่ลูกคู่นี้ก็มากเกินพออีกอย่างการที่ภารัชชาเข้ามาอยู่ในพื้นที่ของเขา เขาจะได้จัดการเธอได้ง่ายมากขึ้น เวลาพยศทีจะได้กำราบง่ายไม่ต้องใช้แรงเยอะปึกศีรษะเล็กที่สัปหงกอยู่ซบลงบนไหล่กว้าง ใบหน้าสวยสดดูเหนื่อยล้าจนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทิ้งหัวบนไหล่หมอไป๋“นี่เธอ”ใบหน้าหล่อเหลาทมึงตึง ก่อนจะใช้นิ้วชี้ดันศีรษะเธอให้ออกห่างภารัชชาปรือตาขึ้นมอง หมอไป๋เลยหันหน้าหนีแสร้งว่าไม่ได้ดันหัวเธอออกแต่อย่างใด เธอหลับตาลงกลับเข้าสู่อาการสัปหงกอีกครั้ง และก็เผลอไปพิงไหล่เขาอย่างไม่รู้ตัวอีกแล้ว“ภารัช...”“อื้อ”หมอไป๋ลืมคำพูดที่จะต่อว่าไปชั่วขณะ หลุบตามองใบหน้าสวยสดที่ครางครืนในลำคอ ปมที่หว่างคิ้วเริ่มคลายออกราวกับสบายตัวที่ได้นั่งซบไหล่อยู่“ภาระ”ใบหน้าหล่อคมเบือนหนีออกไปนอกหน้าต่าง ปล่อยให้เธอได้ซบอิงไหล่เขาระหว่างรถขับเคลื่อนไปบนถน
ภารัชชาควงแขนสามีร่วมดื่มฉลองกับเพื่อนเขาสักพักใหญ่ ก่อนที่เธอจะให้หมอไป๋ได้อยู่พูดคุยกับเพื่อนๆ เขาแทน ไม่อยากยืนฝืนยิ้มในหมู่คนที่เธอเองก็ไม่ได้สนิทสนมดีกระทั่งหมุนตัวกลับมาแล้วเห็นปรางสิตายืนข้างอาปราบต์ ใบหน้าที่เหนื่อยล้าสะสมมาทั้งวันก็เผยรอยยิ้มกว้างในทันทีเธอกลายเป็นเด็กน้อยวัยแปดขวบ จ้องจะวิ่งเข้าหาแม่ทุกครั้งที่ได้เจอหน้า ถึงแม้อายุอานามจะไม่ใช่เด็กน้อยแล้วก็ตาม แต่ข้างในตัวภารัชชายังมีเด็กน้อยหนึ่งคนอยู่ด้วยตลอดเวลาเด็กน้อยที่รอคอยความเมตตาและความรักจากผู้ให้กำเนิด...“แม่กับอาปราบต์ยังไม่กลับอีกเหรอ” ร่างระหงวิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าปรางสิตา แต่คนเป็นแม่กับทำหน้าระอาเต็มกลืน อาปราบต์ที่ยืนอยู่ข้างๆ จึงเป็นคนพูดกับเธอแทน“อาขอให้แม่อยู่ลาเราก่อนน่ะ จะเข้าเรือนหอทั้งทีคงมีอะไรให้ร่ำลากันหน่อย”“ร่ำลาอะไรล่ะ ฉันไม่ได้ส่งลูกเข้าโรงเชือดสัตว์นะคุณ”“แต่หลานกำลังจะเข้าเรือนหอ เธอควรให้พรลูกหน่อยนะสิตา”ปรางสิตาถอนหายใจพรืดยาว เธอก็แค่ไม่รู้จะอยู่ปั้นหน้าให้เสียเวลาทำไม ในเมื่อเจ้าสัวชาญชัยอวยพรในพิธีงานจบก็ขอตัวกลับพร้อมภรรยาหลวง แต่อาปราบต์กลับรั้งปรางสิตาให้อยู่รอเจอภารัชชาหลังจ
AFTER PARTY คือช่วงเวลาปลดปล่อยความสนุกหลังพิธีวิวาห์สิ้นสุดอย่างเป็นทางการ ทุกคนต่างก็มารวมตัวสนุกสุดเหวี่ยงด้วยกัน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเพื่อนของทางฝั่งของหมอไป๋มากกว่าภารัชชามีเพื่อนรักเพียงคนเดียวแค่อิงธารา ส่วนอีกคนก็คือรุ่นพี่คนสนิทอย่างสิบทิศที่มาร่วมยินดี ทั้งสามนั่งร่วมดื่มเฉลิงฉลองกันที่โต๊ะ ส่วนเพื่อนร่วมงานหมอไป๋จัดเต็มอยู่หน้าเวทีกันหมดแล้วหากไม่ได้บอกว่าเป็นหมอรักษาคนไข้ ภารัชชาก็นึกว่าเหล่ากองทัพแพทย์เป็นนักเต้นมืออาชีพ แต่ละคนเท้าไฟมีหัวใจรักดนตรีกันทุกคน“แกดื่มเยอะเกินไปแล้วนะอิง พี่สิบช่วยปรามหน่อยสิคะ” ภารัชชาหันไปทำเสียงอ้อนให้สิบทิศช่วยสิบทิศเป็นรุ่นพี่สายรหัสเธอตอนเรียนมหาวิทยาลัย ชายร่างสูงโปร่งผิวพรรณดีสวมแว่นสายตาทรงกลม เป็นหนุ่มตี๋ที่มีสาวสวยมารุมขายขนมจีบกันให้เพียบ แต่คงทำได้แค่มองเพราะรุ่นพี่เธอมีแฟนสาวแล้ว“เดี๋ยวพี่ดูอิงให้เองครับ น้องชาไปช่วยคุณไป๋เถอะ”“ยัยชาฉันโคตรยินดีกับแกเลยนะเว้ย... เพื่อนร้าก”อิงธาราอยู่ในอาการมึนเมา โยกตัวมาโอบกอดเพื่อนรักแล้วโคลงตัวไปมา ทำภารัชชาหลุดยิ้มอย่างเอ็นดูเพื่อนตัวเอง“ฉันรู้แล้ว แต่แกช่วยตั้งสติหน่อยเถอะน่า”“ดูแลตัว