ทุกๆ ปี ก่อนจะถึงวันครบรอบวันเกิดของท่านย่าก็คือเทศกาลหยวนเซียว[1] ที่พี่หญิงน้องหญิงของนางล้วนตั้งตารอ
ทุกปีเซียงหรงเองก็ตั้งตารอที่จะได้เดินเที่ยวเล่นในงานเทศกาล ได้เล่นเกมทายปริศนาต่อบทกวีชิงโคมไฟ ได้กินขนมอร่อยๆ มากมายที่ขายอยู่นอกจวน แต่สำหรับปีนี้...นางที่ต้องปักผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่ถึงสามผืน กลับไม่มีแก่ใจอยากออกไปเที่ยวเล่นแล้ว
นางกลัวเหลือเกินว่าจะปักผ้าเช็ดหน้าทั้งสามผืนเสร็จไม่ทันงานฉลองอายุครบหกสิบปีของท่านย่า...
ทีแรกนางคิดว่าเรื่องปักผ้าสามผืนครั้งนี้ไม่น่าจะเป็นปัญหา เพราะนางแน่ใจว่า ตนเองสามารถปักผ้าผืนใหม่ให้ท่านย่าแทนผืนที่พี่หญิงใหญ่ต้องการเสร็จทันงานฉลองวันเกิดครบห้ารอบของท่านย่าได้อย่างไม่ต้องสงสัย ใครจะคิดว่าพี่หญิงใหญ่และน้องห้าจะเข้ามาบอกนางด้วยสีหน้าจริงจัง ว่าต้องการผ้าทั้งสองผืนก่อนวันงานฉลองอายุครบห้ารอบของท่านย่า พอนางจะปฏิเสธ น้องห้าก็ทำท่าเหมือนจะอาละวาดขึ้นมา สุดท้ายนางจึงต้องรับปากเพื่อรักษาความสงบในเรือนหลังเอาไว้
เฮ้อ...ที่แท้การเป็นเด็กดีช่างยากนัก...
เสี่ยวเซียงหรงยกมือน้อยๆ ขึ้นกดกลางหว่างคิ้ว หลายวันมานี้ ตลอดทั้งวันนางต้องง่วนอยู่กับการปักผ้า ตอนนี้นางเริ่มจะมึนหัว สายตาของนางก็เริ่มจะล้า ตาลายไปหมดแล้ว
“น้องสาม เจ้าไม่สบายหรือ!” น้ำเสียงร้อนรนของพี่ชายใหญ่ เฉินจิ้งอี้ ทำเอาเซียงหรงตกใจจนพลาดทำเข็มปักมือ เฉินจิ้งอี้เห็นเข้าก็ตกใจ รีบปล่อยมือที่จูงน้องชายสาม เฉินจิ้งเสียน สาวเท้าเข้ามาดูมือให้น้องสาวตัวน้อย
เพียงเห็นว่ามือน้อยๆ ทั้งสองข้างของน้องสาวมีรอยเข็มตำเต็มไปหมด เฉินจิ้งอี้ พี่ใหญ่ผู้เคร่งขรึมจริงจังก็ขมวดคิ้วแน่น
“น้องสาม เหตุใดเด็กสาวอย่างเจ้าจึงต้องฝืนตนเอง ตลอดทั้งวันเอาแต่นั่งปักผ้าอยู่ในเรือนเช่นนี้” เฉินจิ้งอี้วัยสิบขวบเศษบ่นเหมือนผู้ใหญ่ไม่มีผิด เขาชี้ไปที่ท้องฟ้าด้านนอก “เจ้าดูสิ นี่ยามอะไรแล้ว เหตุใดยังฝืนอาศัยแสงสลัวๆ จากนอกหน้าต่างปักผ้าเช่นนี้! เด็กน้อยอย่างเจ้าไม่กลัวจะทำตาตัวเองเสีย แต่พี่ใหญ่อย่างข้าทนเห็นเจ้าเป็นเช่นนั้นไม่ได้!” เฉินจิ้งอี้แย่งเอาผ้า เข็ม และด้ายไปเก็บลงหีบขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กที่ตั้งอยู่ตรงหน้า คาดไม่ถึงว่าในหีบจะมีผ้าปักลวดลายวิจิตรบรรจงที่ปักเสร็จแล้วผืนหนึ่ง ซ้ำยังมีผ้าที่วาดลายผีเสื้อนับร้อยตัวเอาไว้อีกหนึ่งผืน
เฉินจิ้งอี้พอจะรู้ว่าน้องสาวคนดีคิดจะปักผ้าให้ท่านย่าเป็นของขวัญ ทว่า...ทว่าในเมื่อปักเสร็จไปแล้ว...เหตุใดจึงต้องปักเพิ่มอีก ซ้ำยังต้องปักเพิ่มอีกถึงสองผืนใหญ่ๆ “หรือว่าคนพวกนั้น…” เฉินจิ้งอี้คาดเดาได้ทันที เขาขบกรามแน่น เอ่ยเสียงลอดไรฟัน “ผู้ใดกัน บอกชื่อออกมา ครั้งนี้พี่ใหญ่อย่างข้าจะไม่ทนอีกแล้ว!”
เห็นพี่ชายใหญ่ของตนดูโมโหโกรธา เสี่ยวเซียงหรงก็กลัวว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ นางรีบตอบน้ำเสียงออดอ้อนอ่อนหวานเช่นทุกครั้ง
“จะมีผู้ใดที่ไหนกัน ของเหล่านี้หรงเอ๋อร์ตั้งใจปักเพราะระลึกถึงท่านแม่ที่อยู่บนสวรรค์...พี่จิ้งอี้ก็อย่าห้ามข้าเลยนะ...”
กลับเป็นน้องเล็กวัยสี่ห้าขวบ เฉินจิ้งเสียน ที่ไม่ยอมปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปง่ายๆ
“พี่หญิงโกหก! ท่านบอกข้ามา ว่าครั้งนี้มีพี่สาวจากเรือนไหนมาข่มเหงรังแก บังคับให้ท่านทำของพรรค์นี้ให้!”
[1] เทศกาลโคมไฟ (元宵) เป็นคืนที่พระจันทร์เต็มดวงเป็นครั้งแรกของปี ในคืนนี้ของทุกปีจะมีการแขวนโคมไฟ เนื่องจากสมัยก่อนชายหญิงจะไม่ค่อยมีโอกาสได้พบหน้ากัน แต่คืนงานเทศกาล
หยวนเซียวนับเป็นคืนที่ชายหญิงได้ออกมาเดินเที่ยว พบหน้ากัน งานเทศกาลโคมไฟ หรืองานเทศกาลหยวนเซียว จึงมีนัยยะเป็นงานเทศกาลแห่งความรัก หรือคู่รัก ด้วยอีกอย่างตลอดการเดินทางไปยังหมู่บ้านว่อหลงที่มีซู่ซินรออยู่ หลี่จือหลินซื้อรถม้าคันหนึ่งให้นางนั่งอยู่ด้านใน ส่วนตัวเขาขับรถม้าด้านนอก เขาให้เหตุผลว่าจะทำให้การเดินทางสะดวกขึ้นนั่นก็จริงอยู่นับตั้งแต่มีรถม้า นางก็ไม่เคยต้องนอนบนพื้นหินพื้นหญ้าให้เจ็บหลังปวดเอว หรือคันเนื้อคันตัวเหมือนก่อนหน้านี้หลังจากที่เปิดเผยตัวตนแล้ว หลี่จือหลินปฏิบัติต่อนางอย่างดียิ่ง ไม่ว่านางอยากกินอยากดื่มอะไร เมื่อผ่านเข้าไปในหมู่บ้านหรือเมืองเล็กๆ ก็จะหาซื้อให้นางทุกอย่าง หากเป็นกลางป่ากลางเขา ไม่ว่าจะจับสัตว์ใดได้เขาก็จะแบ่งเนื้อส่วนที่ดีที่สุดให้นาง ปรุงรสด้วยเกลือหรือเครื่องเทศต่างๆ เท่าที่จะหาได้เพื่อให้นางเจริญอาหารยิ่งขึ้น ทั้งยังบ่นพึมพำทุกคืนว่านางผอมลงไม่น้อย ไม่เต็มไม้เต็มมือ...น่าเกลียดที่สุด ปากบอกว่านางผอมเกินไป แต่ใครกันที่คอยจับนางกินทุกคืน!คนเจ้าเล่ห์พรรค์นั้นตั้งใจทำให้นางได้พักผ่อนเต็มที่ในเวลากลางวันเพื่อรับใช้เขาในเวลากลางคืนชัดๆ!แม้จะรู้เช่นนั้น แต่เซียงหรงก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงอ้อมกอดนั้นได้เลยเวลากลางคืนช่างหนาวเหน็บนัก แม้ว่าจะเหนื่อย
“ตอนที่เจ้ายังเป็นทารก ข้าจำได้ ในตอนนั้นข้าบอกเจ้าว่า ข้าจะคอยปกป้องเจ้าไปชั่วชีวิต...คำพูดประโยคนั้นเป็นทั้งคำสัญญาและคำสาบานแรกในชีวิตข้า” หลี่จือหลินพูดพร้อมกับยิ้มจางๆ “ในเทศกาลหยวนเซียวคืนนั้น ตอนที่ข้าซื้อถังหูลู่ให้เจ้า เจ้าคงไม่รู้หรอกว่ารอยยิ้มที่เจ้ามอบให้ข้ายามนั้นทั้งงดงามอ่อนโยนและหวานล้ำเพียงใด เพราะจดจำภาพนั้นได้ ข้าจึงไม่เคยยอมแพ้ในสงคราม ทุกครั้งที่เพลี้ยงพล้ำ ข้ามักคิดเสมอว่าจะต้องได้กลับมาเจอเจ้าเพื่อทำตามคำสัญญาสาบานและจะต้องปกป้องรอยยิ้มที่บริสุทธิ์งดงามเช่นนั้นเอาไว้ให้ได้ หรงเอ๋อร์ ข้าออกศึกมากมาย แม้กึ่งหนึ่งเพื่อบ้านเมือง แต่อีกกึ่งหนึ่งล้วนเป็นเพราะแผ่นดินเทียนจินคือบ้านของเจ้า เพราะที่แห่งนี้มีคนที่ข้าต้องการปกป้องเอาไว้อย่างเจ้าอยู่ข้างหลัง”เซียงหรงได้แต่จ้องเขาด้วยความงุนงง นางไม่เคยจำเรื่องราวเหล่านี้ได้เลย แต่เขากลับเล่าได้ละเอียดอย่างไม่น่าเชื่อ อีกทั้ง…เรื่องสาเหตุที่เขาออกรบและไม่เคยยอมแพ้จนมีชีวิตรอดกลับมาก็ช่าง…เขายังกล่าวต่อไป “หลายปีผ่านไป ข้าคิดว่าเจ้าอาจลืมข้าไปแล้ว แต่ข้ากลับไม่เคยล
หลี่จือหลินไม่อยากให้นางตั้งกำแพงในใจอีก ไม่ว่าอย่างไรเขากับนางก็ลงเอยกันไปแล้ว ไม่ว่านางจะยินดีแต่งให้เขาหรือไม่ นางก็หนีไปไหนไม่ได้อีกแล้วอยู่ดี…ทว่าเขาเองก็ยังอยากให้นางแต่งให้เขาด้วยความยินดี ไม่ใช่ด้วยความไม่เต็มใจเช่นนั้นเขาค่อยๆ ปัดปอยผมที่ล้อมกรอบหน้านางออก บีบนวดเนื้อตัวที่ปวดเมื่อยจากการร่วมรักเมื่อคืนพลางพูดเบาๆ เมื่อรำลึกถึงความทรงจำเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว“เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถึงยืนยันที่จะแต่งงานกับเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะอยากหนีข้าไปให้ไกลแค่ไหนก็ตาม” หลี่จือหลินเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น ดวงตาคู่คมมองลึกเข้าไปในดวงตาของเซียงหรงที่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลง“จะยังมีอะไรได้ นอกจากความดื้อด้านอยากเอาชนะคะคานของท่าน” นางตอบเสียงแข็ง ลุกขึ้นนั่งหันหน้าหนีราวกับไม่อยากรับฟังคำใดจากเขาอีกแต่หลี่จือหลินไม่ได้โกรธ เขายิ้มบางๆ ก่อนจะลุกขึ้นนั่งเคียงข้างนาง แววตาอ่อนโยนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด“ไม่รู้เจ้ายังจำถังหูลู่ในเทศกาลหยวนเซียวได้หรือไม่”เซียงหรงขมวดคิ้วทั
“หรงเอ๋อร์…ชายหญิงร่วมเตียง จะเป็นอันใดกันได้ นอกจากสามีภรรยา” เขาพูดเสียงนุ่ม “อีกอย่าง เจ้าคิดว่าหากเฉินกั๋วกงได้ทราบ เขาจะไม่บังคับให้เจ้าแต่งงานจริงหรือ ต่อให้เป็นคุณชายใหญ่จวนเจ้าที่เจ้าคิดว่าจะเข้าข้างเจ้าแน่ๆ หากเป็นเรื่องนี้...เชื่อเถิดว่าเขาเองก็จะต้องเกลี้ยกล่อมให้เจ้ายอมแต่งให้ข้าเช่นกัน”คนฟังหน้าซีดเผือดลงทุกขณะ ยิ่งเมื่อเอ่ยถึงว่าเขาจะบอกบิดาและพี่ชายนางเกี่ยวกับเรื่องนี้ เซียงหรงก็ยิ่งรู้สึกราวกับถูกหลอกขึ้นมาทันทีไม่หรอก...ไม่ได้รู้สึก...นางถูกหลอกจริงๆ นั่นล่ะ!ใบหน้าหวานล้ำเผือดซีด ความเจ็บปวดตรงกึ่งกลางกายราวกับจะส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยันความโง่เขลาของนางนางวิ่งวนอ้อมไปทั่ว แต่สุดท้ายแล้วก็กลับตกอยู่ในเงื้อมมือของเขาเช่นเดิมราวกับตัวตลก ราวกับสัตว์ที่ติดในกรง ต่อให้นางจะวิ่งไปข้างหน้าเช่นไร ก็มีเพียงกับดักที่รออยู่เท่านั้น“หากเจอท่านกั๋วกงแล้ว ข้าจะรีบปรึกษาว่าเราจะเร่งแต่งงานกันให้เร็วที่สุด ยังต้องหาฤกษ์ยาม ต้องดูก่อนว่าท่านพ่อตาต้องการสิ่งใดเป็นพิเศษ อ้อ
ยามรุ่งอรุณแรกของวันใหม่ แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องลอดเข้ามาผ่านปากถ้ำ เสียงนกร้องแว่วดังจากบนยอดไม้ ช่วยเสริมให้บรรยากาศดูเงียบสงบ แต่ภายในถ้ำเล็กๆ นั้นกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ปะทุอยู่ในใจคนทั้งสองเฉินเซียงหรงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาพร้อมความเจ็บปวดที่แล่นแปลบไปทั้งร่างเพียงนางขยับตัวเล็กน้อย ความเจ็บและเมื่อยล้าเนื้อตัว รวมถึงความปวดร้าวจากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ทำให้นางข่มความเจ็บใจเอาไว้แทบไม่ไหว น้ำตาพลันเอ่อคลอเบ้าอีกครั้งหลี่จือหลินที่นอนตะแคงร่างหันหน้าเข้าหานางกลับอยู่อย่างเงียบๆ ใบหน้าหล่อเหลาที่มักประดับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กลับดูซีดเซียวและเต็มไปด้วยความสำนึกผิด แววตาของเขาดูหม่นแสงราวกับแบกรับทุกความผิดบาปบนโลกนี้ไว้ "เจ้าเจ็บมากหรือไม่?" เสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงเซียงหรงเบือนหน้าหนี ไม่อยากมองหน้าเขาอีกแม้แต่น้อยนางกัดริมฝีปากแน่น พยายามลุกขึ้นด้วยตนเอง แต่เพียงแค่ขยับตัวเพียงนิด กลางกายที่ยังคงทั้งบวมทั้งแดงก็ส่งความเจ็บปวดจนต้องทรุดฮวบลงไปอีกครั้งหลี่จือหลินรีบประคองนางไว้ เขากุมมือนางเบาๆ แต่เซียงหรงกลับสะบั
หลี่จือหลินนิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาฉายแววความเจ็บปวดและสับสน ก่อนที่เขาจะถอนหายใจยาว ปล่อยนางให้เป็นอิสระ รู้สึกได้ถึงความชื้นแฉะที่อก…พอเดาได้ว่ารอยกระบี่ฟันซึ่งได้จากการร่วมต่อสู้กับกลุ่มนักฆ่าที่หานชิงเยว่ส่งมาสังหาร ‘ตงหลิน’ องครักษ์ที่เขาวางตัวให้คอยติดตามคุ้มกัน เฉินเซียงหรงในที่แจ้ง ปริแยกเพราะแรงผลักของนางเมื่อครู่“เจ้าไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เฉินเซียงหรง” เสียงของเขาอ่อนลงเล็กน้อย “สำหรับข้า สัมพันธ์ระหว่างเราจะไม่ใช่และไม่มีทางเป็นสิ่งที่ทำเพื่อตัดความสัมพันธ์ แต่เป็นสิ่งที่ข้าหวังจะทำเพื่อให้เราสองคนผูกพันกันตลอดไป”เซียงหรงบอกอย่างปลดปลง “ท่านต่างหากที่ไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เรื่องนั้นก็ช่างเถอะ สำหรับข้า ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน หากท่านเพียงอยากได้ร่างกาย ท่านก็เอามันไปเถิด”ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน...อย่างนั้นหรือ?เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงเขา ต่อให้ต้องพลีกายให้ชายอื่น นางก็ไม่สนใจแม้จะต้องขึ้นเตียงกับเขา นางก็ยังดื้อด้านไม่ยอมแต่ง!หลี่จือหลินมองสตรีตรงหน้าด้วยแววตาเจ็บ