“โฉวสือชี เจ้าไปจัดการเตรียมการ…” ลั่วชิงยวนกระซิบสั่งการบางอย่างโฉวสือชีฟังแล้วก็ตาเป็นประกาย จากนั้นก็ยกยิ้ม “ช่างเป็นกลอุบายที่ดีนัก”จากนั้นโฉวสือชีก็รีบไปจัดการอย่างเร่งด่วนเดิมทีฉีอวี้อยากจะพูดอะไรกับลั่วชิงยวน แต่เมื่อเห็นโฉวสือชีวิ่งไปเร็วถึงเพียงนั้น นางก็ได้แต่รีบตามไปติด ๆ“จะทำกระไรหรือ? ให้ข้าไปด้วยสิ”“ข้าจะช่วยท่านเอง”......สองวันต่อมา ลานประลองก็เตรียมพร้อมแล้ว ร้านน้ำชาและโรงสุราข้าง ๆ หลายแห่งก็เปลี่ยนเป็นบ่อนพนันชั่วคราวในนั้นสามารถวางเดิมพันการประลองระหว่างลั่วชิงยวนกับจูลั่วว่าใครจะแพ้ใครจะชนะได้เวลามิถึงครึ่งวันก็คึกคักกันไปทั่วฉีอวี้อดมิได้ที่จะหัวเราะแล้วพูดว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้ามาตลาดมืดแล้วเห็นความคึกคักถึงเพียงนี้”“คราวนี้คงได้เงินมิน้อย!”ขณะที่กล่าว ฉีอวี้ก็ควักเงินออกมา “ข้าขอร่วมเดิมพันด้วย”“เช่นนั้นข้าก็ไปด้วย” โฉวสือชีก็รีบหยิบถุงเงินออกมาจากอกเสื้อจูลั่วเดินอยู่บนถนน เมื่อเห็นบ่อนพนันที่คึกคักก็ตกใจมากในใจสงสัยจึงเข้าไปดู เมื่อเห็นจำนวนผู้คนที่เดิมพันเขากับจำนวนผู้คนที่เดิมพันลั่วชิงยวนนั้นใกล้เคียงกันเขาก็รู้สึกประหลาดใ
เมื่อโฉวสือชีเห็นบัวถวายก็ตาเป็นประกาย“นี่ได้มาจากที่ใด?”ฉีอวี้ยกยิ้มมีเลศนัย “ข้าก็มีหนทางของข้า”“แต่คงเป็นดอกสุดท้ายแล้ว มีกองกำลังหนึ่งกำลังรวบรวมบัวถวายไปทั่ว”“มิรู้ว่าเป็นผู้ใด จะนำบัวถวายมากมายถึงเพียงนั้นไปทำอะไรก็มิรู้”“ท่านว่าพี่หญิงลั่วกลับมาเห็นแล้วจะดีใจหรือไม่?”โฉวสือชียิ้มแล้วพยักหน้า “ต้องดีใจแน่นอน”......เช้าวันนี้ลั่วชิงยวนยังคงหลับใหลอยู่บนเตียง เฉินชีก็บุกเข้ามาในห้องด้วยความตื่นเต้นปลุกนางให้ตื่น“อาเหลา ตื่นเร็วเข้า”“กระบี่เสร็จแล้ว”ลั่วชิงยวนลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย เดินตามเขาออกจากห้องไป แล้วจึงเห็นว่าบนโต๊ะด้านนอกมีกระบี่วางอยู่ถึงห้าเล่ม“เหตุใดจึงมากมายถึงเพียงนี้? เล่มใดคือของข้า?”เฉินชียิ้มอย่างมีความหมาย “เจ้าเลือกเล่มที่ถนัดมือเถิด”ลั่วชิงยวนหยิบขึ้นมาดูทีละเล่ม จากนั้นก็เลือกกระบี่เล่มหนึ่งที่มีน้ำหนักพอเหมาะ จับถนัดมือ แต่ก็มิเบาเกินไปนางยกกระบี่ขึ้นมามองดูใต้แสงแดด แล้วก็เผยยิ้ม “กระบี่เล่มนี้น่าจะตีจากกระบี่ห้วงสวรรค์ใช่หรือไม่?”เฉินชีพิงกำแพง แล้วยิ้มอย่างพึงพอใจ “สายตาของอาเหลาเฉียบคมเช่นนี้ หากเรียนวิชาตีกระบี่กับข้า ย่อ
ลั่วชิงยวนอดมิได้ที่จะถอนหายใจ “เจ้าเหมาะที่จะหาสตรีที่ชอบกระบี่มากกว่า”“พวกเจ้าคงจะเข้ากันได้ดี”“แต่ข้ามิใช่คนผู้นั้น”เฉินชีคุ้นเคยกับการปฏิเสธของลั่วชิงยวนแล้ว เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “อาเหลาเข้าใจว่าข้าชอบอะไร พวกเราก็เข้ากันได้ดี”“เช่นนั้นเจ้าเข้าใจข้าหรือไม่เล่า?” ลั่วชิงยวนนั่งอยู่บนม้านั่งเตี้ย พลางหมุนไก่ป่าที่กำลังย่างอยู่บนกองไฟเฉินชีหยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่ สายตาลึกล้ำของเขาจับจ้องที่แผ่นหลังของลั่วชิงยวน “ย่อมเข้าใจ”“ข้าคือผู้ที่เข้าใจอาเหลาที่สุดในใต้หล้านี้”เช่นเดียวกับที่เขารู้ว่าวันนี้นางไปที่ภูเขาฝั่งตรงข้ามหน้าผาไปพบสหายจากแคว้นเทียนเชวียเพราะรอยยิ้มที่เปี่ยมล้นบนใบหน้าของนางเมื่อกลับมาในวันนี้ มิเคยปรากฏมาก่อนตลอดเวลาที่อยู่ในแคว้นหลีเป็นความสุขและความพึงพอใจที่มาจากใจจริงทั้งหมดล้วนเผยออกมาจากในแววตาและคิ้วลั่วชิงยวนมิได้เอ่ยคำใด เพียงแค่ย่างไก่พลางรับลมราตรีและฟังเสียงเฉินชีตีเหล็กเป็นจังหวะเมื่อย่างเสร็จแล้ว ลั่วชิงยวนก็ยื่นเนื้อไก่ให้เฉินชีแล้วกล่าวว่า “หากครึ่งเดือนเป็นเวลาที่กระชั้นชิดเกินไปสำหรับเจ้า ข้าก็สามารถเลื่อนออกไปอีกสองสามวันได้”
“มิเป็นอะไรหรอก เขาคงจะคิดได้เอง”“วาสนาฟ้าลิขิต หากวาสนาหมดสิ้นย่อมไม่มีวันหน้า ให้ทุกสิ่งเป็นไปตามครรลองเถิด”ซ่งเชียนฉู่พยักหน้า ในใจพลันผ่อนคลายลงมาก “ดี ข้าจะฟังท่าน”“ได้ระบายความในใจกับท่าน ในที่สุดก็สบายใจขึ้นมาก”ซ่งเชียนฉู่อารมณ์ดีขึ้นมากลั่วชิงยวนเองก็ยินดีเช่นกัน การได้นั่งคุยกับสหายสนิทเช่นนี้ช่างหายากยิ่งนักน่าเสียดายที่เวลาผ่านไปรวดเร็ว มินานก่อนที่จะรู้ตัวฟ้าก็มืดแล้วลั่วชิงยวนจำต้องกลับไป“วันพรุ่งข้าจะมาใหม่ ข้าจะพักอยู่บนเขาแห่งนี้ครึ่งเดือน”ซ่งเชียนฉู่ส่งนางขึ้นสะพานด้วยความอาลัยอาวรณ์ลั่วชิงยวนจึงพาคนใบ้จากไปบนสะพาน ลั่วชิงยวนถามคนใบ้ “อาถู่ เจ้ารู้สึกเบื่อหรือไม่?”“หากเจ้าเบื่อ วันพรุ่งมิต้องมากับข้าก็ได้”คนใบ้รีบส่ายหน้าเขาจะเบื่อได้อย่างไร ทุกขณะที่ได้อยู่เคียงข้างนาง เขารู้สึกอิ่มเอมใจอย่างยิ่งถึงแม้จะมิได้พูดจา เพียงแค่มองนางเงียบ ๆ มองนางหัวเราะกับสหาย มองท่าทีที่ผ่อนคลายสบายใจของนาง แค่นั้นหัวใจเขาก็เปี่ยมสุขแล้วเมื่อข้ามสะพานไปแล้วก็เข้าสู่ยามราตรีโดยสมบูรณ์“ข้าจะกลับแล้ว เจ้าไปหาที่พักผ่อนเองเถิด”คนใบ้พยักหน้า แต่ก็ยังคงติดตา
มินานนัก ซ่งอวี่ก็กลับมาจากการเก็บสมุนไพรเหน็ดเหนื่อยจนเหงื่อท่วมกายเฉินเซี่ยวหานอยู่ใกล้จึงก้าวเข้าไปยื่นน้ำให้ถ้วยหนึ่ง “ท่านลุง วันนี้ท่านเก็บสมุนไพรได้เมากกว่าเมื่อวานอีกนะขอรับ”ซ่งอวี่นั่งลงโบกพัดพักครู่หนึ่งเขากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ใช่แล้ว วันนี้พบหนองน้ำแห่งหนึ่ง มิคาดคิดว่าแถวนั้นยังมีของดีอยู่มิน้อย”เฉินเซี่ยวหานจึงย่อตัวลง แล้วกล่าวว่า “ท่านลุง สมุนไพรเหล่านี้ต้องนำไปตากแดดใช่หรือไม่ขอรับ? ข้าจะช่วยจัดเรียงเอง”“ดีมาก รบกวนเจ้าแล้ว”เมื่อเห็นดังนั้น ฉู่จิ้งก็ลุกขึ้นแล้ววิ่งเข้าไป “ท่านลุง ข้าก็จะช่วยท่านด้วย”ลั่วชิงยวนชะงักไป สายตามองกระดานหมากที่ยังเล่นมิจบซ่งเชียนฉู่ก็เห็นเช่นกัน นางเดินเข้ามาอย่างจนปัญญา แล้วกล่าวว่า “ข้าจะเล่นกับท่านต่อเอง”“สองคนนั้นพึ่งพามิได้เลย”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ “พึ่งพามิได้เลยงั้นหรือ? ข้าว่าดูแล้วน่าจะพึ่งพาได้นะ”“ข้ามิคาดคิดว่าเฉินเซี่ยวหานจะอยู่ที่นี่”ซ่งเชียนฉู่เล่นหมากพลางกล่าวไปด้วย “เขามานานแล้ว การที่คฤหาสน์สามารถสร้างใหม่ได้ ก็เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของเขาเหมือนกัน”“ตอนแรกข้ามิ
ดังนั้นจึงได้ส่งกำลังทหารมายังที่แห่งนี้ก่อนล่วงหน้า เพื่อป้องกันภัยแต่เนิ่น ๆ“เชียนฉู่ เจ้าสัญญากับข้าได้หรือไม่ว่า แม้สองแคว้นจะทำศึกกันจริง เจ้าก็ต้องรักษาชีวิตตนเองไว้ก่อน”“อย่าได้เข้าไปพัวพันเด็ดขาด”คฤหาสน์จี้เยวี่ยตั้งอยู่ในตำแหน่งที่พิเศษ หากเข้าไปเกี่ยวข้องย่อมตกอยู่ในอันตรายยิ่งซ่งเชียนฉู่เกรงว่านางจะกังวล จึงพยักหน้า“เอาเถิด นาน ๆ ทีท่านจะได้มาหา ข้าจะมิพูดถึงเรื่องน่าเศร้าเหล่านั้นแล้ว”“ข้าไปทำขนมให้ท่านกินดีกว่า!”ซ่งเชียนฉู่รีบลุกขึ้นวิ่งไปที่ห้องครัวฉู่จิ้งค่อย ๆ ลุกขึ้นแล้วถามว่า “สนใจเล่นหมากสักสองกระดานหรือไม่?”“ได้เลย”เมื่อมาถึงศาลาในสวน สายลมพัดโชยนำพาความเย็นสบายมาเล็กน้อยทั้งสองค่อย ๆ เล่นหมากด้วยกันลั่วชิงยวนอดมิได้ที่จะถามว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าร่างของฟู่เฉินหวนถูกฝังไว้ที่ใด?”คำถามนี้นางกล้าถามเพียงฉู่จิ้งเท่านั้นเมื่อเอ่ยชื่อนี้ ในใจนางก็เจ็บปวดราวกับถูกเข็มทิ่มแทงฉู่จิ้งชะงักไปครู่หนึ่งส่วนคนใบ้ที่ยืนอยู่ด้านหลังลั่วชิงยวนก็นิ่งไปทันทีฉู่จิ้งอึ้งไปสักพัก แล้ววางหมากก่อนตอบว่า “อยู่ที่เมืองหลวง”ลั่วชิงยวนพยักหน้า “สมควรแล้วที่ถ