เซียวอวิ๋นถิงเล่าเรื่องที่พระชายาหลิ่วถูกจวนฉู่กั๋วกงทำร้ายให้ฮองเฮาเฝิงฟัง เล่าไปจนถึงเรื่องที่พระชายาหลิ่วขอไปบำเพ็ญเพียรจำศีลที่อารามเต๋าด้วยตนเองฮองเฮาเฝิงนิ่งงันไปชั่วขณะ ก่อนจะปิดหน้าร้องไห้โฮเหล่าข้าราชบริพารที่เห็นต่างก็รู้สึกเจ็บปวดสะท้อนใจเซียวอวิ๋นถิงคุกเข่าอยู่ข้างฮองเฮาเฝิง พยายามเกลี้ยกล่อมให้นางใจเย็นลงฮองเฮาเฝิงกุมมือของเซียวอวิ๋นถิงแน่น “ครานั้นข้าก็บอกแล้วว่าเรื่องนี้ไม่มีทางเป็นฝีมือของพ่อข้า ยิ่งไม่ใช่ฝีมือพี่ชายข้าแน่ วันนี้กาลเวลาล่วงเลยไปหลายปีแล้ว ในที่สุดตระกูลเฝิงก็ได้รับความยุติธรรมเสียที!”เซียวอวิ๋นถิงรีบพูด “ใช่แล้วขอรับ ดังนั้นเสด็จย่าอย่าได้เสียใจ...”ฮองเฮาเฝิงดวงตาแดงก่ำ กำมือเซียวอวิ๋นถิงแน่นกว่าเดิม “ข้าจะไม่เสียใจได้อย่างไร? ท่านพ่อของข้าอายุมากแล้ว แคว้นเตียนก็เต็มไปด้วยไอพิษ พวกอันหนานก็จ้องจะเล่นงาน ท่านพ่อไปแคว้นเตียนก็ไม่มีชีวิตได้กลับมาอีก! ไม่นานพี่ชายข้าก็จากไป... ญาติพี่น้องของข้า ตลอดหลายปีมานี้ตายกันไปแล้วกี่คนแล้วเล่า?”ที่เซียวอวิ๋นถิงมาหาได้ แน่นอนว่าต้องมาจากความคิดของฮ่องเต้หย่งชางอยู่กินกันมาหลายปี ฮองเฮาเฝิงย่อมเข้าใจด
แน่นอนว่าขันทีสวีรู้จักตระกูลเฝิงอยู่แล้วแต่ตระกูลเฝิงคือตระกูลของฮองเฮาเฝิง และก็เป็นที่พึ่งพิงที่มั่นคงของพระราชนัดดาเซียวอวิ๋นถิง ในอดีตตระกูลเฝิงเคยทรงอำนาจถึงขั้นทำให้คนทั้งเมืองหลวงต่างก็ยำเกรงการที่พวกเขากลับมา ก็หมายถึงว่าสถานะของเซียวอวิ๋นถิงจะมั่นคงยิ่งขึ้นเท่านั้นมีอะไรน่าให้ท่านอ๋องดีใจนักหรือ?ขันทีสวีรู้สึกงุนงงอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อเห็นอ๋องฉีสีหน้าเรียบเฉย ไม่คิดจะพูดอะไรอีก เขาก็ก็รู้จักเจียมตัว ไม่ซักถามให้มากความในใจของเขาชัดเจนยิ่งนัก หากอยากมีชีวิตรอด เวลานี้ต้องไม่ก่อเรื่องใดทั้งสิ้น ต้องรีบหนี รีบออกจากเมืองหลวงโดยเร็วแต่อ๋องฉีครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก็ยิ่งหัวเราะออกมาดังขึ้นเรื่อย ๆไม่รู้เพราะอะไร พอได้ยินเสียงหัวเราะนั้น ขันทีสวีก็ขนลุกขึ้นมาทันที รู้สึกขนพองสยองเกล้าอย่างบอกไม่ถูกหรือว่าท่านอ๋องจะโมโหจนเสียสติไปแล้ว? ไม่อย่างนั้น คนที่เพิ่งถูกตะเพิดออกจากเมืองหลวงเหมือนสุนัขไร้เจ้าของ ยังจะหัวเราะได้อย่างมีความสุขแบบนี้ได้อีกหรือ?ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น อ๋องฉีก็ตะโกนเรียกขันทีสวี “ก่อนพวกเราออกจากเมืองหลวง เจ้าช่วยจัดการเรื่องหนึ่งให้ข้าก่อน”ขันทีส
ตอนนี้จะถูกส่งไปที่ใด หรือได้องครักษ์มากน้อยแค่ไหนก็ไม่ใช่เรื่องที่อ๋องฉีจะมีสิทธิ์ต่อรองได้แค่ยังมีโอกาสได้ไปก็นับว่าดีแล้ว อ๋องฉีน้ำตาไหลไม่ขาดสาย โขกศีรษะต่อหน้าฮ่องเต้หย่งชาง “ลูกอกตัญญู ทำให้เสด็จพ่อผิดหวัง! ขอเสด็จพ่อทรงเห็นแก่เสด็จแม่ วันหน้าได้โปรดเมตตาดูแลหมิงเฉิงกับหย่งหรง พวกเขายังเด็กนัก...”เวลานี้ ยิ่งอ๋องฉีแสดงออกว่าห่วงใยน้อง ๆ มากเท่าไร ฮ่องเต้หย่งชางก็ยิ่งพระทัยอ่อนลงเท่านั้นก่อนมาเข้าเฝ้า เขาไตร่ตรองอยู่ในใจนับครั้งไม่ถ้วน ว่าควรร้องไห้อย่างไรถึงจะเรียกความเวทนาจากฮ่องเต้หย่งให้ได้มากที่สุด และพอคิดถึงชีหยวนขึ้นมา ในอกอ๋องฉีก็ยิ่งเจ็บปวดขึ้นมา น้ำตาที่ไหลพรากตอนนี้ก็กลายเป็นของจริงฮ่องเต้หย่งชางทอดพระเนตรพระโอรสที่ถึงกับร้องไห้จนมีฟองน้ำมูก จ้องอยู่เนิ่นนาน ในที่สุดก็ปรับน้ำเสียงให้นุ่มลงเล็กน้อย ตรัสว่า “อาหลิง เรารู้ว่าในใจของเจ้าย่อมไม่พอใจ เราเข้าใจ เราก็รู้ดีว่าที่ผ่านมาเจ้าถูกตามใจมากไปจนเคยตัว แต่ต่อจากนี้ไป เจ้าต้องจำคำพูดที่เจ้าพูดวันนี้ไว้ให้ขึ้นใจ”แต่ก่อนพระองค์เคยเอนเอียงมาทางอ๋องฉีมากกว่ารัชทายาทจริง ๆจะให้ทำอย่างไรได้เล่า ก่อนที่เซียวอวิ๋นถิง
ชุยเจิงออกไปทำงานด้วยความขยันขันแข็ง พอเสร็จเรียบร้อยก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่าพระราชนัดดาช่างเป็นคนดีโดยแท้วันนี้หากเป็นโอรสองค์อื่นอยู่ตรงนั้น เรื่องนี้เกรงว่าจะไม่สามารถสะสางได้ราบรื่นเช่นนี้ก็อย่างที่เขาว่ากัน เทพเซียนประลองกัน ผีตัวเล็ก ๆ ต้องรับเคราะห์องค์หญิงเป่าหรงสิ้นพระชนม์ไปเช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมไม่ต้องไปอภิเษกเชื่อมสัมพันธไมตรีอีก แต่กรมพิธีการของพวกเขา รวมถึงคนของวัดหวงเจวี๋ย ย่อมหนีไม่พ้นต้องมีคนโดนปลด โดนลงโทษเป็นแถวแต่ตอนนี้ทุกคนยังปลอดภัยอยู่หลังฮ่องเต้หย่งชางสั่งให้ชุยเจิงออกไป ก็ดูราวแก่ลงไปหลายปี ประทับบนบัลลังก์มังกรด้วยพระพักตร์ซีดเซียวในฐานะฮ่องเต้ เขาย่อมโกรธเกรี้ยว แต่ในฐานะบิดา หลังพายุแห่งโทสะผ่านไป สิ่งที่เหลืออยู่ก็มีเพียงความโศกเศร้าเท่านั้นต่อให้องค์หญิงเป่าหรงจะอวดดี หรือกระทำผิดมากเพียงใด นางก็คือธิดาที่เขาเห็นมาตั้งแต่เด็กจนโต!พระองค์ทอดพระเนตรเปลวไฟในกระถางไฟที่ลุกวาบเพียงชั่วพริบตาก่อนจะดับ แล้วก็ยกพระหัตถ์ขึ้นลูบพระขนงเบา ๆ จากนั้นจึงหันไปมองเซียวอวิ๋นถิงแล้วพยักหน้า “อวิ๋นถิง เจ้าทำได้ดีมาก!”การจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยเช่นนี้ไม่ใช่เร
เขามองชีหยวนด้วยสายตาระแวดระวัง “ท่านจะทำอะไรหรือขอรับ?”ฆ่าองค์หญิงเป่าหรงนั้นสะใจไม่น้อยก็จริง แต่การที่ท่านอ๋องของพวกเขาตามเก็บงานนั้นมันไม่ง่ายเลยคุณหนูใหญ่ชีคงไม่ได้คิดจะไปฆ่าอ๋องฉีต่อหรอกกระมัง?!ในขณะนั้นเอง ด้านอ๋องฉีก็ได้รับข่าวการสิ้นพระชนม์ขององค์หญิงเป่าหรงริมฝีปากของเขาสั่นระริก ทั้งร่างสั่นเทาอย่างรุนแรงไม่ใช่เพราะหวาดกลัว แต่เป็นเพราะความโกรธความโกรธที่ไร้อำนาจที่จะตอบโต้เดิมทีเขาคิดว่าเมื่อชาตินี้ได้เกิดใหม่ จะสามารถก้าวไปถึงจุดหมายได้เร็วยิ่งกว่าเดิม หรือแม้แต่จับชีหยวนที่เคยหยิ่งผยองในอดีตให้มาอยู่ในกำมือได้แต่ไม่เลย ไม่มีอะไรเหลือเลย!กลับกลายเป็นจวนฉู่กั๋วกงและเสด็จแม่ของเขาที่ต้องมาตายจากไม่ใช่แค่พวกเขา ตอนนี้แม้องค์หญิงเป่าหรงก็ยังตายตามไปอีกคนชีหยวนจะต้องตามล้างผลาญกันให้สิ้นถึงเพียงนี้เชียวหรือ?!นางไม่มีมโนธรรมแม้แต่น้อยเลยจริง ๆ ถ้ามีมโนธรรมอยู่บ้าง ก็คงไม่ทำให้เรื่องราวโหดร้ายถึงเพียงนี้!ขันทีสวีเอ่ยเตือนเขาเสียงเบา “ท่านอ๋อง ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะเสียใจพ่ะย่ะค่ะ”อ๋องฉีหันมองผู้ติดตามคนสนิทของตนอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก ทั้งร่างของเขาเย็นเย
หลังจากไล่เฉิงหลงจัดการเก็บกวาดศพทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว เขาก็จงใจเดินไปสำรวจตามทางเล็กสายหนึ่ง พอเห็นผาหินที่ชันราวตั้งฉากตรงหน้า ก็อดไม่ได้ที่จะหรี่ตาลงเส้นทางนี้เองที่ชีหยวนตั้งใจจะปีนขึ้นไปฆ่าองค์หญิงเป่าหรงไม่รู้ว่านางทำสำเร็จหรือไม่?ขออย่าให้ตกลงมากลางทางเลยเถิด ถ้าพลาดพลั้งตกลงมา ตามแนวผาแห่งนี้ไม่มีหนทางรอดชีวิตแน่เขาคิดอย่างเป็นกังวล จนกระทั่งชุนหลินมาถึง เขาถึงได้สติกลับมาแล้วถามว่า “จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วหรือ?”ชุนหลินมองตามสายตาของเขาไปยังผาหิน อดไม่ได้ที่จะยกมือกุมต้นคอแล้วร้องออกมา “โอ้แม่เจ้า! คุณหนูใหญ่ชีคิดจะปีนขึ้นไปจากตรงนี้จริงหรือ?”คุณหนูใหญ่ชีเป็นตัวประหลาดอะไรกันแน่?ฆ่าคนไม่กะพริบตา ไม่เคยออมมือแม้แต่ครั้งเดียวยังจะปีนป่ายหลังคา เดินตามผนังได้อีก ถ้าที่แบบนี้ยังไต่ขึ้นไปได้ ชาติที่แล้วนางคงเป็นตุ๊กแกกระมัง!ไล่เฉิงหลงถลึงตาใส่เขาชุนหลินเลยรีบสำรวม แล้วรายงานเรื่องสำคัญ “ใต้เท้าวางใจได้ขอรับ ทุกอย่างจัดการเรียบร้อยดี ไม่ทำให้งานของท่านพลาดแน่นอน”แต่เขายังอดห่วงไม่ได้ว่าคุณหนูใหญ่ปีนขึ้นไปสำเร็จหรือไม่ไม่นานพวกเขาก็ได้คำตอบ เพราะชุนเซิงก็รีบ