Share

บทที่ 9

Author: ฉินอันอัน
สวี่อินอินก้มศีรษะต่ำ

แต่เดิมนางยังคิดว่าตนเองคงจะไม่มีโอกาสใดที่ทำให้พบหน้าเซียวอวิ๋นถิงอีกแล้ว ไหนเลยจะทราบ ยังไม่ทันผ่านพ้นหนึ่งวัน ก็บังเอิญได้พบกันอีกครั้งหนึ่งแล้วเช่นนี้

ใบหน้าของเซียวอวิ๋นถิงฉายประกายครุ่นคิดออกมา

ก่อนหน้านี้ที่บังเอิญพบเด็กสาวคนนี้ระหว่างทาง เขายังนึกสงสัยในใจว่าเหตุใดสถานที่แบบนี้ ถึงมีเด็กสาวที่สามารถฆ่าคนได้เด็ดขาดคล่องแคล่วปรากฏอยู่

คิดไม่ถึงเลยว่า แท้จริงแล้วจะเป็นแม่นางของจวนหย่งผิงโหว

เขายิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ข้าเคยได้ยินมาบ้าง ว่ามีบุตรสาวของจวนหย่งผิงโหวพลัดพรากจากไปคนหนึ่ง ที่จริงแล้วคือแม่นางท่านนี้เองหรือ?”

เขาหัวเราะออกมาหนึ่งเสียง ก็เอ่ยวาจาคล้ายมีความนัยซ่อนเร้น “เหตุใดจึงมาวุ่นวายที่ศาลาว่าการแห่งนี้?”

ยามนี้จิ้งอ๋องท่านนี้กำลังดูแลคดีฉ้อโกงเกี่ยวกับการลำเลียงสินค้าผ่านน่านน้ำทางใต้ ที่เขาเดินทางมาศาลาว่าการเป็นไปได้ว่าต้องมีธุระจำเป็นต้องพบเจ้าเมืองประจำเมืองต้าซิงแน่

เข้าศาลาว่าการประจำเมืองไปแล้ว ด้วยฐานะของท่านอ๋องอย่างเขา หากต้องการทราบเรื่องใดมีหรือจะไม่ได้ทราบเรื่องนั้น?

ชีเจิ้นไม่กล้าโป้ปด “เรียนท่านอ๋อง ในเรือนมีบ่าวชั่วกำเริบเสิบสาน คิดอาจหาญประทุษร้ายนายพ่ะย่ะค่ะ จึงได้มาถึงศาลาว่าการด้วยเหตุผลนี้”

มิได้กล่าวถึงรายละเอียดที่สวี่อินอินเข้ามาฟ้องร้องออกไปโดยตรง

ทว่าเซียวอวิ๋นถิงมองไปทางสวี่อินอินด้วยสายตาที่มีความนัยลึกซึ้งแล้ว

สวี่อินอินแสร้งทำเป็นขี้ขลาดยำเกรง ก้มศีรษะไม่มองไปทางเขาแม้แต่น้อย และแสร้งทำเป็นไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดมานั้นหมายถึงอะไร

เซียวอวิ๋นถิงไม่ใส่ใจ เพียงแต่เอ่ยกับชีเจิ้นว่า “เรื่องนี้เองหรือ? บ่าวรังแกนายถือเป็นเรื่องใหญ่ ท่านโหวมิควรใจอ่อนออมมือเด็ดขาด เพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยอย่างจวนอิงกั๋วกงขึ้นอีก”

เมื่อปีก่อนนั้นจวนอิงกั๋วกงปล่อยปละละเลยบ่าวรับใช้ในเรือน ผลสุดท้ายแล้วบ่าวรับใช้กลุ่มนั้นก็อาศัยอำนาจของจวนอิงกั๋วกงวางก้ามอวดเบ่งที่เมืองฝูเจี้ยน ร้ายแรงถึงขั้นมีบ่าวกำแหงคนหนึ่งสังหารเจ้าเมืองของที่นั่นตายไปแล้วด้วย

เรื่องราวลุกลามใหญ่โต บ่าวกำแหงคนนั้นต้องทัณฑ์เลาะกระดูกไม่ว่า จวนอิงกั๋วกงยังได้รับราชโองการตำหนิจากฝ่าบาท ถูกถอดยศ และนับแต่นั้นชีวิตตกต่ำมิอาจหวนคืนได้อีก

ศักดิ์ฐานะของเซียวอวิ๋นถิงวิเศษเหนือผู้อื่น ครั้นได้ยินเขากล่าววาจาเช่นนี้ ชีเจิ้นพลันสะดุ้งตัวโยน หนาวสะท้านไปทั้งร่างกาย

รับคำอย่างนอบน้อมรอบคอบว่า “ข้าน้อยขอบคุณท่านอ๋องที่ชี้แนะ!”

สายตาของเซียวอวิ๋นถิงค่อยเลื่อนไปตกบนร่างของสวี่อินอินตอนนี้เอง “เป็นถึงบุตรีของจวนโหว เนื้อตัวเปียกปอนชุ่มโชกแล้วยังไม่มีคนสนใจ เกรงว่าบ่าวรับใช้ของจวนโหวสมควรได้รับการอบรมให้อยู่กับร่องกับรอยเป็นเรื่องจริงแท้”

สวี่อินอินรู้สึกสั่นไหวเล็กน้อยในใจ

เซียวอวิ๋นถิงกำลังพูดเข้าข้างนางหรือ?

รอยยิ้มบนใบหน้าของชีเจิ้นยิ่งดูฝืนทนเต็มประดา “ใช่แล้ว ท่านอ๋องสั่งสอนถูกต้องแล้ว ข้าน้อยกลับเรือนไป จะจัดการเจ้าพวกเหลือขอเหล่านั้นให้เรียบร้อยทันที!”

เซียวอวิ๋นถิงไม่พูดอะไรมากกว่านั้น เพียงแต่ผงกศีรษะพอเป็นพิธี “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่รบกวนท่านโหวรับตัวบุตรีกลับเรือนแล้ว ข้ายังมีงานราชการต้องจัดการ”

ชีเจิ้นถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนจะปรายสายตามองแม่นมจางปราดหนึ่ง

ครั้งนี้แม่นมจางมีท่าทีต่างไปจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง กลัวว่าสวี่อินอินจะเล่นลูกไม้อะไรต่อหน้าท่านอ๋องขึ้นมาอีก จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มประจบสอพลอเต็มใบหน้า “คุณหนูใหญ่เจ้าคะ ท่านดูสิเนื้อตัวท่านเปียกชื้นหมดแล้ว เกรงจะจับไข้เป็นหวัดนะเจ้าคะ พวกเรารีบขึ้นรถม้ากันเถิดเจ้าค่ะ!”

ความตั้งใจของสวี่อินอินสำเร็จแล้ว บัดนี้เมื่อเห็นว่าพอสมควรแล้ว ก็ผงกศีรษะรับคำแม่นมจางอย่างว่าง่าย ประคองมือแม่นมจางเดินขึ้นรถม้าแล้วเรียบร้อย

ชีเจิ้นยืนนิ่งอยู่ที่เดิมมองตามเซียวอวิ๋นถิงจนกระทั่งผ่านเข้าไปในประตูของศาลาว่าการแล้ว ค่อยพลิกกายขึ้นหลังอาชา

แม่นมจางขึ้นรถม้าแล้วก็ถอนหายใจออกมาทันใด หนนี้นางนอบน้อมต่อสวี่อินอินมากขึ้นแล้ว ครั้นหยิบอาภรณ์ชุดหนึ่งออกมาจากห่อผ้าข้างตัวก็เอ่ยว่า “คุณหนูใหญ่ ดูสิท่านตัวเปียกหมดแล้ว กลับเมืองหลวงไปสภาพนี้คงได้จับไข้เป็นหวัดพอดี ซ้ำร้ายยังดูไม่เหมาะสมด้วยเจ้าค่ะ…”

บัดนี้นางมองออกแล้ว กับสวี่อินอินต้องใช้ไม้อ่อนมิใช่ไม้แข็ง

ยิ่งไปกว่านั้นยามนี้สวี่อินอินเข้าตาเซียวอวิ๋นถิงแล้ว

จิ้งอ๋องเอ่ยปากถามถึงคุณหนูใหญ่ที่เคยหายตัวไปของจวนหย่งผิงโหวขึ้นมาเอง

บัดนี้จวนหย่งผิงโหวไม่อาจรับตัวคุณหนูใหญ่กลับจวนไปอย่างเงียบเชียบและไร้การแสดงออกได้อีกแล้ว

แม้กระทำเพราะยำเกรงจิ้งอ๋อง รวมถึงหลูซ่างซูด้วยอีกฝั่ง ทว่าตำแหน่งคุณหนูใหญ่ในจวนโหวของสวี่อินอิน ก็นับว่ามั่นคงแล้ว

ผู้เข้าใจสถานการณ์คือผู้ชาญฉลาด แม่นมจางรู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหางดี

อาภรณ์ชื้นแฉะที่สุมอยู่บนร่างกายทำให้ไม่สบายตัวจริงอย่างที่ว่า อีกอย่างเป้าหมายก็บรรลุแล้ว สวี่อินอินไม่ต้องการสวมอาภรณ์ชุดนี้เดินทางกลับจวน ก็ผงกศีรษะรับคำ

นางไม่มีความเพ้อฝันใดถึงนางหวังและบุคคลที่เรียกว่าญาติทั้งสิ้น

และมิได้ไร้เดียงสาถึงขั้นคิดว่าตนเองกลับจวนไปในสภาพน่าอดสูเช่นนี้แล้ว จะสามารถทำให้พวกเขาเห็นใจสงสาร

ไม่มีทางเด็ดขาด พวกเขามีแต่จะรู้สึกว่านางน่าสมเพชน่าขายหน้าเท่านั้น

ครั้นผลัดอาภรณ์แล้ว แม่นมจางค่อยถอนหายใจออกมา และจัดการนำอาภรณ์เปียกชื้นของสวี่อินอินไปเก็บให้เรียบร้อย ก่อนจะหยิบกาน้ำชาออกมาจากช่องเก็บของในผนัง และรินน้ำชาให้สวี่อินอิน

สวี่อินอินสีหน้าเรียบเฉย ถือถ้วยน้ำชาไว้ในมือพลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงคล้ายไม่จริงจังนัก “แม่นมจาง ท่านเข้าจวนโหวทำงานมานานเท่าใดแล้ว?”

แม่นมจางไม่เข้าใจจุดประสงค์ที่สวี่อินอินถามคำถามนี้นัก ก็ครุ่นคิดพลางตอบอย่างระมัดระวัง “เรียนคุณหนูใหญ่ บ่าวเข้าจวนโหวมาได้ยี่สิบปีกว่าแล้วเจ้าค่ะ”

สวี่อินอินเปล่งเสียงอืมคำหนึ่ง “แล้วแม่นมฮวาเข้าจวนมานานเท่าใดแล้ว?”

นางวกไปทางซ้ายทีขวาทีเช่นนี้ ทำแม่นมจางงุนงงสับสนไม่น้อย

ครั้นได้ยินนางถามถึงแม่นมฮวาขึ้นมา ไม่รู้ด้วยเหตุผลใด แม่นมจางพลันขนลุกซู่ไปทั้งตัว

นางอดทนอย่างยิ่งยวดพลางตอบกลับอย่างขลาดกลัวว่า “คุณหนูใหญ่ แม่นมฮวาเข้าจวนมาได้สิบกว่าปีแล้วเจ้าค่ะ”

“สิบกว่าปี…” สวี่อินอินใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็หัวเราะออกมาเบาๆ “เข้าจวนมาสิบกว่าปีกว่าจะไต่เต้ามาถึงจุดนี้ มิใช่เรื่องง่าย แต่น่าเสียดายที่เลือกนายผิด ตายไปเสียง่าย ๆ ช่างน่าเสียดายยิ่ง”

นางพูดจบ ก็มองแม่นมจางด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “แม่นมว่า ใช่หรือไม่?”

......

แม่นมจางขนลุกเกรียวทั้งตัวแล้ว!

คุณหนูใหญ่คนนี้ใช่เพียงไม่ธรรมดาที่ไหน?

อย่างนางต้องเรียกว่าเหนือธรรมดาไปแล้วต่างหาก!

นับแต่รู้ตัวตนของสวี่อินอินจนกระทั่งเข้ามารับตัวนางแล้ว จวนโหวไม่เคยส่งคนมาพบปะสวี่อินอินเลยสักครั้ง

ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่มีใครเคยเล่าเรื่องของจวนโหวให้สวี่อินอินฟังมาก่อนด้วย

จำเป็นต้องรู้ก่อนว่า ในจวนโหวมีหลายสายตระกูล แค่บรรดาเจ้านายรวมกันก็มีด้วยกันยี่สิบกว่าคนแล้ว ความสัมพันธ์ภายในนั้นซับซ้อนและยุ่งเหยิง

ยิ่งการแบ่งพรรคแบ่งพวกระหว่างบ่าวรับใช้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

ทว่าสวี่อินอินแค่อ้าปากก็กล้าพูดแล้วว่าแม่นมฮวาเลือกเจ้านายผิด!

นางรู้ว่าแม่นมฮวาฟังคำสั่งจากใครมาถึงได้กล้าประทุษร้ายสังหารนางหรือ?

ที่เอ่ยวาจานี้ออกมาเพราะจงใจส่งสารเตือนให้ตนเองอยู่อย่างนั้นหรือ? ให้ตนเองมีสติ อย่าต้องทิ้งชีวิตไปเพราะเลือกเจ้านายผิดเหมือนกับคนนั้นหรือ?

แม่นมจางอ้าปากหมายจะเอ่ยถามบางอย่าง แต่เมื่อเงยหน้ามองกลับพบว่าสวี่อินอินหลับตาลงเสียแล้ว คล้ายว่าผล็อยหลับไปเรียบร้อย

คุณหนูใหญ่ท่านนี้! แม่นมจางจิตใจว้าวุ่นสับสนแล้ว

แต่กระนั้นแล้วนางก็ต้องยอมรับ ว่าจิตใจของนางระส่ำระสายเพราะฝีมือของสวี่อินอินอย่างสมบูรณ์แล้ว

เดิมทียังคิดว่า คุณหนูใหญ่ที่เติบโตในชนบท และถูกเจ้านายในเรือนทุกคนทอดทิ้งไปแล้ว จะไร้ซึ่งความน่าเคารพยำเกรง

แต่บัดนี้มองแล้ว จะเป็นเช่นนี้จริงหรือ?

ยังมีคำพูดนั้นของสวี่อินอินอีก ที่ไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไร? กำลังบอกตนอยู่หรือว่า ตนสามารถเลือกอยู่ข้างนางได้?

สวี่อินอินไม่ลืมตา ก็รู้ว่าบัดนี้แม่นมจางต้องกำลังสับสนและว้าวุ่นกังวลใจอยู่แน่ นางก็มิได้แยแส การดึงคนมาเป็นพวกพ้องให้ตนเองได้ใช้ประโยชน์ เป็นเพียงแค่ก้าวแรกเท่านั้น หากแม่นมจางไม่มีความสามารถนี้ นางก็แค่หาคนอื่น

จวนโหวยิ่งใหญ่ออกเพียงนี้ ต้องมีสักคนที่ตาแหลมรู้จักไข่มุกงามอยู่แน่

 
Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 610

    เหตุใดยามกลับมาแรกเริ่มนางจึงคิดแต่จะสร้างกระแสก่อน?นางควรจะคิดหาวิธีอื่นตั้งนานแล้ว“มิใช่หรอก” จวิ้นอ๋องหนานอันมองนาง “องค์พี่ของข้าได้กราบทูลฝ่าบาทว่า คุณหนูใหญ่ตระกูลชีอาจมิเห็นเขาอยู่ในสายตา ดังนั้นเขาจึงยังพยายามอยู่ ที่เขาออกจากวังบ่อยครั้ง ก็ขอให้ฝ่าบาทอย่าได้ถือโทษ”เฝิงไฉ่เวยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะออกมาเบา ๆทว่าภายในอกกลับเจ็บปวดจนแทบหายใจไม่ออกนางเข้าใจดีว่าเซียวอวิ๋นถิงทำเช่นนี้เพื่ออะไรชอบจึงกล้าทำสิ่งต่าง ๆ โดยไม่เกรงใจ แต่หากเป็นรักแล้วเล่า กลับต้องรู้จักห้ามใจเขาชอบชีหยวน ถึงขั้นไม่เสียดายที่จะกราบทูลต่อเบื้องพระพักตร์ว่า ชีหยวนยังมิได้ชอบเขาแต่ตนเล่า?นางพยายามถึงเพียงนี้ แต่เขากลับไม่แม้แต่จะชายตามองนางสักครั้งเดียวอยู่ดี ๆ ความสนใจของนางก็เหือดแห้ง “เช่นนั้น จวิ้นอ๋องบอกเรื่องพวกนี้กับข้าน้อย เพื่ออะไรกัน? มันเกี่ยวอะไรกับข้าน้อยด้วยหรือเจ้าคะ?”จวิ้นอ๋องหนานอันหัวเราะอย่างมีนัย “ยาพิษสำหรับคนหนึ่ง อาจเป็นน้ำผึ้งสำหรับอีกผู้หนึ่ง ข้าไม่ได้มีเจตนาอันใด เพียงอยากให้คุณหนูเฝิงรู้ไว้ว่า เลือกคนให้ถูกนั้นสำคัญ เลือกทางให้ถูกนั้นยิ่งสำคัญ หากเลือกผิด ก้า

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 609

    เฝิงไฉ่เวยค่อย ๆ หลับตาลงนางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ที่แท้การจะได้ครอบครองหัวใจของใครสักคนหนึ่ง จะเป็นเรื่องที่ยากเย็นถึงเพียงนี้แต่เหตุใดจึงต้องเป็นเช่นนี้?ทั้งที่ยามนางอยู่ที่ยูนนาน ไม่ว่าเพียงจะกวักมือเรียกใคร คนผู้นั้นก็แทบจะยอมควักหัวใจถวายให้นางทั้งดวงทว่าเซียวอวิ๋นถิงกลับไม่แม้แต่จะใส่ใจว่านางคิดเช่นไร รอจนหมอหลวงหูมาถึง จัดยาให้กับฮองเฮาเฝิงเรียบร้อยแล้ว เขาก็กล่าวว่า “คุณหนูเฝิงบอกว่านางมีวิธีรักษาอาการปวดศีรษะจากลมชั่ว หมอหูลองฟังดูว่าวิธีนี้ใช้ได้หรือไม่”จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นกล่าวลากับฮองเฮาเฝิงฮองเฮาเฝิงเม้มริมฝีปาก พลางนวดหว่างคิ้วเบา ๆ แล้วกล่าวเสียงราบเรียบ “เจ้ากลับไปจัดการธุระของเจ้าเถอะ เราจะให้ไฉ่เวยอยู่อีกสักครู่ แล้วค่อยให้นางกลับ”เซียวอวิ๋นถิงขานรับ แล้วก็ออกจากตำหนักไปทันทีในหูของเฝิงไฉ่เวยดังอื้อ ๆ ไปหมด ทั้งคนเต็มไปด้วยความรู้สึกมึนงง แต่ในขณะเดียวกันก็เหมือนจะมีบางอย่างกระจ่างขึ้นที่สับสนคือเพราะเหตุใดความพยายามทั้งหมดจึงไร้ผล?แต่นางก็รับรู้ได้อย่างกระจ่าง ว่าเหตุผลที่ไร้ผลนั้น ก็เพราะเซียวอวิ๋นถิงมีท่าทีต่อชีหยวนแตกต่างจากผู้ใดทั้งสิ้นต่อผู้

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 608

    ทว่าคำพูดเหล่านี้ นางย่อมไม่อาจเอ่ยต่อหน้าฮองเฮาเฝิงได้นางนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมจ้องมองไปยังฮองเฮาเฝิง ครู่ใหญ่จึงค่อยเอ่ยออกมาเบา ๆ ว่า “หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ”ฮองเฮาเฝิงรั้งนางไว้ให้ร่วมโต๊ะเสวยด้วยกัน จากนั้นเอ่ยเสียงขรึม “ร่างกายของเรารู้สึกไม่ค่อยสบาย จะให้คนไปตามอวิ๋นถิงมา เจ้าช่วยเรานวดผ่อนคลายสักหน่อยเถิด”เฝิงไฉ่เวยพลันเข้าใจทุกอย่างทันที เบิกตากว้างมองฮองเฮาเฝิง ก่อนจะรีบรับคำโดยพลันนางไม่อาจรอได้อีกต่อไปแล้วโอกาสอันดีที่สุดถูกชีหยวนทำลายไปแล้ว บัดนี้ฮองเฮาเฝิงยื่นโอกาสให้นางโดยเฉพาะ นางจะต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ให้เซียวอวิ๋นถิงมองเห็นตนให้จงได้!ไม่นานนัก เซียวอวิ๋นถิงซึ่งเพิ่งเสร็จสิ้นจากการอ่านฎีการ่วมกับฮ่องเต้หย่งชาง เตรียมจะออกจากวัง ก็ถูกขันทีจากตำหนักฮองเฮาเฝิงขวางไว้ โดยบอกว่าฮองเฮาเฝิงทรงประชวรเขารีบเร่งไปยังตำหนักของฮองเฮาเฝิงทันที พร้อมสั่งให้คนไปตามหมอหลวงหูและฝ่ายตรวจการสำนักสกุลซุนมาด้วยฮองเฮาเห็นเขาก็เพียงยิ้มบาง ๆ “จะหนักหนาอะไรกัน? ก็แค่โรคปวดศีรษะเก่าที่กลับมากำเริบเท่านั้น ไฉ่เวยอยู่ที่นี่พอดี จุดกำยานให้เรา แล้วก็ช่วยกดจุดให้อีก ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 607

    เฝิงไฉ่เวยเม้มริมฝีปาก แต่หยาดน้ำตาบนใบหน้ากลับจางหายไปหมดแล้วฮองเฮาเฝิงโน้มกายลงเบา ๆ แขวนพู่กันกลับขึ้นสู่แท่นวาง แล้วกระตุกมุมปากอย่างเย็นชา “เจ้ารู้หรือไม่ ว่าเราอยู่ที่นี่โดยมิได้ก้าวออกไปเลยนานเท่าใดแล้ว?”เฝิงไฉ่เวยเบิกตากว้างจ้องมองฮองเฮา สีหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่าง“หลายสิบปี! มิใช่หนึ่งปีสองปี และมิใช่สามปีสี่ปี หากแต่เป็นหลายสิบปีเต็ม ๆ!” ฮองเฮาเฝิงมองนางด้วยแววตาเรียบนิ่ง “ตลอดหลายปีนี้ เราเองก็เคยมีบางคราที่ทนไม่ไหวเหมือนกัน แต่เราย่อมตระหนักดีว่า หากแม้เพียงก้าวเดียวพลาดพลั้ง ก็ล้วนกลายเป็นเหตุผลอันชอบธรรมในการปลดฮองเฮาได้ เช่นนั้นเราจึงไม่อาจก้าวพลาดแม้แต่ก้าวเดียว”พระนางยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้ว “ที่เจ้ามาเอ่ยคำเหล่านี้ในตอนนี้ มิใช่ก็เพื่ออยากให้เราเป็นผู้ลงมือกำจัดเด็กสาวจากตระกูลชีนั่น ใช่หรือไม่?”เฝิงไฉ่เวยรีบส่ายศีรษะอย่างร้อนรน “ฮองเฮา หม่อมฉันมิได้มีความหมายเช่นนั้นเพคะ……”“พอแล้ว!” ฮองเฮาตัดบทนางโดยไม่แสดงสีหน้าลังเลแม้แต่น้อย กล่าวเสียงเรียบเย็น “เราไม่มีทางช่วยเจ้าได้ อวิ๋นถิงเป็นเด็กที่มีสติปัญญาและความกล้าหาญ หากเราไปทำร้ายผู้ที่เขารัก เช่นนั้นเรา

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 606

    ตอนนี้ตระกูลเฝิงเพิ่งกลับมาเมืองหลวง ฮ่องเต้หย่งชางทรงเห็นแก่หน้าฮองเฮาเฝิง บวกกับนายท่านผู้เฒ่าเฝิง ผู้เคยกดดันจักรพรรดิถึงกับยากจะเงยหน้าในอดีตก็สิ้นไปแล้ว จึงทรงมีพระเมตตาต่อตระกูลเฝิงเป็นอย่างมากฮูหยินเฝิงแค่ยื่นป้ายก็สามารถเข้าเฝ้าฮองเฮาได้ทันทีครั้นได้ยินเฝิงไฉ่เวยเอ่ยเช่นนี้ ฮูหยินเฝิงก็อดประหลาดใจไม่ได้ “ไม่ใช่เจ้าบอกเองหรือว่าไม่อยากเข้าไปในวังบอย ๆ เกรงว่าจะทำให้ท่านอ๋องคิดมากหรอกหรือ?”ใบหน้าของเฝิงไฉ่เวยแลดูแย่ลง ก่อนหน้านี้นางเอ่ยเช่นนั้น เพราะมั่นใจว่า ตราบใดที่นางสร้างชื่อเสียงให้เลื่องลือ ยืนอยู่ในจุดที่สูงพอ เซียวอวิ๋นถิงก็จะต้องมองเห็นนางได้ในที่สุดแต่ในความเป็นจริง นางกลับสูญเสียความมั่นใจเช่นนั้นไปแล้วเรื่องราวต่าง ๆ ใช่ว่าจะบดขยี้ผู้คนได้ เหตุการณ์ในงานเลี้ยงวันเกิดครั้งก่อนนั้น สำหรับนางแล้วก็หาได้เป็นเรื่องใหญ่อันใดไม่แต่อารมณ์ความรู้สึกนั้นต่างหากที่ทำได้นางเพียงจับมือฮูหยินเฝิงแน่น ไม่เอื้อนเอ่ยถ้อยคำใดแต่ฮูหยินเฝิงกลับเข้าใจความหมายของนาง จึงปลอบโยนนางพลางสั่งให้คนส่งป้ายขอเข้าเฝ้าไปยังพระราชวังช่วงบ่ายวันนั้น คนในวังก็มารับพวกนางเข้าเฝ้าฮองเฮ

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 605

    ชีหยวนรู้สึกว่า คำพูดเช่นนี้ไม่ควรเอ่ยออกมาจากปากสตรีอะไรคือคำว่าเบียดอยู่ในเรือนหลัง?ราวกับว่ายุคสมัยนี้ได้เปิดทางอื่นให้สตรีเดินได้แล้วกระนั้นหรือ?เหล่าหญิงที่มีความสามารถด้านการเย็บปักถักร้อยในแถบเจียงเจ้อก็เคยถูกขุนนางตรวจราชการเขียนฎีกาฟ้องร้อง กล่าวว่าหลังจากมีสำนักทอผ้าเจียงหนานในพื้นที่แล้ว ก็ค่อย ๆ เกิดโรงงานเล็ก ๆ ขึ้นตามมาอีกมากมาย สตรีในท้องถิ่นจึงกลายเป็นแรงงานในโรงทอผ้า หรือเป็นนางปักผ้า จนทำให้บุรุษในบ้านซึ่งไร้ผู้ดูแลบ้านเรือน ไม่อาจทำไร่ทำนาได้ตามปกติสตรีสามัญย่อมติดอยู่ในเรือนหลังของสตรีสามัญสตรีในตระกูลสูงศักดิ์ก็เพียงติดอยู่ในกรงขังที่กว้างขึ้นเท่านั้นสิ่งที่ต่างกันก็เพียงขนาดของกรงเท่านั้นเอง น่าขันยิ่งนักที่เฝิงไฉ่เวยกลับเลือกเดินบนเส้นทางนี้ด้วยตนเองข้อสงสัยในใจนาง แท้จริงก็มีคำตอบอยู่แล้วเฝิงไฉ่เวยนั้นมีความสามารถติดตัวจริง เรื่องนี้ไม่อาจปฏิเสธได้แต่การที่เฝิงไฉ่เวยสร้างชื่อเสียงขึ้นมา ท้ายที่สุดก็เพื่อให้ได้แต่งกับเซียวอวิ๋นถิง หรือจะกล่าวว่าเพื่อจะได้เป็นชายาของพระนัดดาก็ไม่ผิดเรื่องราวในชาติก่อน นางไม่เคยโทษเฝิงไฉ่เวยเลยเพราะนางเชื่อมาต

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status