ก็มิต่างกับว่าเขากำลังจะสูญเสีย จึงต้องรีบไขว่คว้าเอาไว้กับตัว ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมานั้น นางให้ความสนใจกับทุกคน ยกเว้นเขาที่นางไม่เคยสนใจเลย ซึ่งมันมิต่างจากการเติมเชื้อไฟในใจของสามี
ทว่านางไม่เคยคิดเลยว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา เขาจะตัดสินใจร่วมทำเรื่องระหว่าสามีภรรยา อาจด้วยเพราะฤทธิ์สุรา ที่เขาและนางดื่มไปด้วย
สำหรับนางแล้ว เรื่องเช่นสักวันมันจะต้องเกิด หากเล่นตัวมากจนเกินไป ก็จะดูไม่งามเอาได้ ยั่วยวนมากไปเหมือนเจ้าของร่าง ก็จะเป็นสิ่งที่ไม่น่าค้นหา นางแค่ใช้หลักจิตวิทยาจากชีวิตเก่า มาลองปรับใช้กับสามีหัวแข็งก็เท่านั้นเอง
‘ท่านมิได้ไร้ใจ ทว่าท่านไร้รักต่างหากสามีข้า’ นางสืบเรื่องของเขาอยู่นาน กว่าจะรู้ว่าแท้จริงแล้ว จ้านซือถงใช่ว่าจะไม่มีหัวใจ เขามีความรักอันมั่นคงต่อสตรีนางหนึ่ง
ทว่าฝ่ายหญิงกลับเลือกสามีที่ทำให้ตนเองสูงส่ง มากกว่าจะเลือกเพียงบุตรชายคนรอง ที่เวลานั้นเป็นเพียงทหารตำแหน่งเล็ก ๆ ในกองทัพ ความเจ็บปวดหล่อหลอมเขา ให้กลายเป็นคนที่ไม่เคยรักใครเลย ในสายตาของผู้คน
หญิงสาวคนนั้น นางรู้ดีว่าเป็นผู้ใด และมันควรถึงเวลาปลดปล่อยสามีของนาง จากความเจ็บปวดเสียที ‘มีข้าเป็นภรรยา รับรองว่าชาตินี้สามีมิต้องทุกข์ระทม หึ ๆ’
ฉีอิงเอนกายลงนอน เพื่อรอเวลาคนที่บอกว่าคืนนี้จะมา แต่สิ่งที่นางคิดคำนวณเอาไว้ น่าจะมาเที่ยงนี้อย่างแน่นอน
จวนเสนาบดีจ้านหลี่
ใบหน้างามที่แต่งแต้มด้วยสีสันอันร้อนแรง นั่งกำหมัดแน่นด้วยความขุ่นเคือง เมื่อมีข่าวเรื่องของแม่ทัพซือถง ขายสาวใช้ของภรรยา ด้วยสาวใช้คนนั้น เข้าไปในห้องนอนในเวลาที่ทั้งคู่อยู่ร่วมกัน
นางมิใช่หญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือน ที่จะไม่รู้ว่าการอยู่ร่วมห้องคือสิ่งใด หลิวหลิงรู้สึกถึงความพ่ายแพ้ ทั้งที่ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น นางคือผู้ที่กำชัยเหนือหัวใจของแม่ทัพหนุ่ม
“เตรียมรถม้า ข้าจะไปเยี่ยมฮูหยินในท่านแม่ทัพจ้านซือถง”
ไม่เคยมีผู้ใด ระแวงหรือสงสัยในการไปเยือนจวนแม่ทัพของนางสักครั้ง ด้วยเหตุผลของสตรี ที่แต่งงานร่วมสกุลเดียวกัน ย่อมต้องพบปะเยี่ยมเยียนกันเป็นเรื่องธรรมดา นางคือสะใภ้ใหญ่สกุลจ้าน ส่วนหลี่ฉีอิงคือสะใภ้รอง
หลี่ฉีอิงนั้นบอบบาง อ่อนแอ ทุกคนจึงยินดีที่นางยื่นมือเข้าช่วยเหลือน้องสะใภ้คนนี้อยู่เสมอ หลิวหลิงลุกขึ้นเดินไปยังโต๊ะเครื่องแป้ง ก่อนจะหยิบขวดหยกใบงามขึ้นมา เพียงดึงจุกที่ปิดอยู่ออก กลิ่นหอมรัญจวนก็กระจายฟุ้งไปทั่ว หญิงสาวยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเทสิ่งที่อยู่ภายในลงบนฝ่ามือ หญิงสาวลูบไล้น้ำสีอำพันนั้นไปตามซอกคอ และจุดชีพจรของตนเอง
ก่อนจะเก็บเข้าไว้ยังที่เดิม ‘คนเช่นข้า ไม่มีคำว่าพ่ายแพ้ฉีอิง’ หญิงสาวเลื่อนเปิดลิ้นชักเล็ก ๆ ก่อนจะหยิบขวดหยก ที่อยู่ในกล่องออกมาใส่ไว้ในแขนเสื้อ ก่อนเดินออกจากห้องไป เพื่อประกาศถึงความเหนือกว่า ในใจของแม่ทัพหนุ่ม ชายที่เคยรักนางและจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป
เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งก้านธูป รถม้าจากจวนเสนาบดีก็ได้หยุดลงยังหน้าจวนแม่ทัพ ช่างเป็นเวลาที่เหมาะเจาะยิ่งนัก เพราะตอนนี้คือเวลาเที่ยง นางเดาว่าน้องชายสามีคงอยู่ที่ค่ายฝึกกับทหาร ดังนั้นเป้าหมายของนางก็ต้องอยู่เพียงลำพัง
ร่างระหงก้าวเข้าไปภายในจวน ก่อนจะตรงไปยังทิศทางของเรือนนายหญิงของบ้าน
“จ้านฮูหยิน”
เท้าบางพลันชะงักลง เมื่อพ่อบ้านของจวน ได้ก้าวออกมาขวางทางเอาไว้เสียก่อน หญิงสาวยิ้มกว้างส่งให้เช่นทุกครั้ง แม้นางจะรู้ดีว่าคนตรงหน้า หาได้ชื่นชอบในตัวนางเท่าใดนัก ทว่าแล้วอย่างไรเล่า ในเมื่อนางคือสะใภ้ใหญ่สกุลจ้าน และเป็นหนึ่งในนายของพ่อบ้านชรา
“ข้ามาพบน้องฉีอิง” หลิวหลิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงละมุนเช่นเคย
“ข้าเกรงว่าเวลานี้คงไม่สะดวกเท่าใดนักนะขอรับ แต่หากจ้านฮูหยินรอได้ ข้าน้อยขอเชิญท่านที่ห้องรับแขกขอรับ”
พ่อบ้านชรา ผายมือไปยังด้านเรือนรับรอง หน้าที่ของเขาคือดูแลทุกสิ่งอย่างภายในจวน ไม่เว้นแม้แต่ คนที่คิดจะสร้างความไม่สบายใจให้แก่ผู้เป็นนาย เขาก็จำต้องจัดวางในที่ ๆ เหมาะสมให้แก่คนเหล่านั้น
“ไยข้าจะไปพบน้องสะใภ้ ที่เรือนของนางมิได้เล่า หรือเดี๋ยวนี้หากจะพบนาง ข้าต้องแจ้งล่วงหน้าเช่นนั้นรึ ชักจะเอาใหญ่แล้ว”
หลิวหลิงเอ่ยด้วยน้ำเสียง ตำหนินายหญิงของบ้าน ซึ่งนางเองก็รู้ว่าตัวนางไร้อำนาจ ที่จะจัดการเรื่องภายในจวนแห่งนี้
“มิได้ขอรับ เวลานี้ท่านแม่ทัพ กำลังรับการปรนนิบัติจากฮูหยินอยู่ ข้าเกรงว่ามันจะเป็นการ...”
“หลีกไป!”
พ่อบ้านชรายังไม่ทันที่จะเอ่ยจบ ร่างในชุดสีหวาน ก็ได้เดินผ่านเขาไป ซึ่งแน่นอนว่าด้วยฐานะของนางแล้ว เขาที่เป็นเพียงบ่าว จำต้องหลีกให้อย่างเสียมิได้
หน้าเรือนฉีอิง เสี่ยวเจี้ยนกำลังถือตะกร้า เดินออกจากประตูทางเข้าเรือน หญิงสาวจำต้องหยุดยืนอยู่หน้าทางเข้า เมื่อเห็นว่าผู้ใดกำลังมา โดยมีพ่อบ้านชราก้าวตามมาติด ๆ
“เสี่ยวเจี้ยน คารวะจ้านฮูหยินเจ้าค่ะ”
เสี่ยวเจี้ยนมิได้หลีกทางให้ผู้มาเยือน หญิงสาวย่อกายทำความเคารพอีกฝ่าย โดยยังคงยืนอยู่ยังจุดเดิม
“แล้วเจ้าจะยืนขวางข้าอยู่ทำไม วันนี้ข้ามาเยี่ยมเยียนน้องฉีอิง ไยทำตัวไร้มารยาทเช่นนี้”
ด้วยความร้อนรุ่มในใจ ทำให้หลิวหลิง ลืมเลือนตัวตนอันอ่อนหวานของนางไปเสียสิ้น
“เอ่อ...คือว่า...” เสี่ยวเจี้ยน ได้แต่ทำเสียงอึกอัก หมับ!
สาวใช้ของหลิวหลิง ได้ก้าวเข้ามาคว้าแขนของเสี่ยวเจี้ยน เพื่อเปิดทางให้แก่นายของตนเอง โดยไม่สนใจกับอาการแข็งขืนของเสี่ยวเจี้ยน
หลิวหลิงไม่สนใจที่จะฟังคำทัดทานของบ่าวในบ้าน หญิงสาวก้าวตรงไปยังส่วนที่เป็นห้องนอนของฉีอิงในทันที เมื่อถึงหน้าห้องมือบางวางทาบลงบนประตู เพื่อที่จะเปิดมันออก นางร้อนใจเมื่อได้ยินว่าแม่ทัพหนุ่มอยู่ในนี่
รุ่งเช้า ณ อารามชูจิ้ง ภายในเรือนพักฆราวาสหลังอาราม ลู่เพ่ยเพ่ยกอดพี่ชายเอาไว้แน่น ใบหน้าน้อย ๆ ซุกอยู่กับอกของผู้เป็นพี่ ด้วยเวลานี้รอบกายมีทหารจากวังหลวงยืนอยู่เต็มห้อง “พี่รอง เพ่ยเพ่ยกลัวเจ้าค่ะ” “หากเจ้ารู้สึกกลัวให้หลับตาลง แต่อย่าได้ร้องไห้งอแง มิช้าพี่ใหญ่จะมารับเรากลับบ้านแล้ว”ลู่ฉางเกอปลอบประโลมน้องสาว ด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน โดยที่มือเรียวยาวลูบต้นแขนน้อย ๆ อย่างถนอม “ใช่แล้วหลานรัก อีกไม่นานพี่สาวคนดีของพวกเจ้าก็จะมารับ ไปอยู่เสียด้วยกันกับครอบครัวดีไหม หึๆ” ร่างสูงในชุดสีทองปักลายมังกรก้าวเข้ามาด้านใน ก่อนจะเดินมานั่งข้าง ๆ สองพี่น้อง พร้อมทั้งหัวเราะในลำคอด้วยความพอใจ แน่นอนว่าเด็กหญิงที่ยังมิเคยผ่านโลกกว้าง ย่อมจะรู้สึกหวาดกลัวเป็นธรรมดา ลู่ฉางเกอไม่คิดที่จะหลบตาผู้เป็นลุง ต่อให้วันนี้เขาต้องตายก็ไม่คิดร้องขอชีวิต เพราะมิว่าอย่างไรคนทุกคน ย่อมมีจุดจบเดียวกันทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น “เจ้าเหมือนกับผิงอันยิ่งนัก หึ ๆ สมแล้วที่กำเนิดจากสตรีที่เป็นอดีตแม่ทัพ เจ้าอยากฟังไหมว่าก่อนที่แ
ณ เรือนริมทะเลสาบหรูเชียน ฉู่เหล่ยนั่งสบตาอยู่กับภรรยา เวลานี้เขาไม่รู้ว่าจะโกรธหรือห่วงใยนางดี เพราะสิ่งที่นางทำมันบ้าบิ่นเกินสตรี ขนาดเขาที่เป็นบุรุษยังไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามเช่นนั้น “ข้ามิใช่ทหาร ยามลงมือเลยเลือกตามสถานการณ์มากกว่า” แม่ทัพหนุ่มยังไม่เอ่ยสิ่งใด ทว่ากลับใช้สายตาดุอีกฝ่ายอยู่ในที ลู่ผิงอันอยากจะตะโกนใส่หน้าเขานัก ว่านางไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้สักหน่อย “หากข้าไปช้าอีกสักหน่อย ข้าคงกลายเป็นหม้ายสินะ!” “จะแบบนั้นได้อย่างไร ในเมื่อท่านมีหวนหยางหลี่อยู่ทั้งคน” “ยังจะเถียง!” หากเขาไม่ลอบออกจากจวนมา เพื่อหาช่องทางเข้าไปในตำหนักพักร้อน ป่านนี้คงไม่รู้ว่าภรรยาตัวดี กระทำการบ้าบิ่นเพียงใด นางจัดการทุกอย่างในช่วงที่เขารักษาตัว แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ มันนอกเหนือแผนการทั้งสิ้น “ข้า...แค่ทำตามหน้าที่เท่านั้น” ลู่ผิงอันเสมองไปทางอื่น เมื่อสายตาของสามีมันเริ่มแปลกพิกล “ว่าแต่ท่านแม่ทัพ ไยมิรออยู่ที่จวนตามแผนเล่าเจ้าคะ” “หากข้ายังอยู่ตามแผนของเจ้า ป่านนี้ข้าคง
“ท่านแม่ทัพ” คนขับรถม้า ที่ตอนนี้บนกายเต็มไปด้วยเลือดของศัตรู เรียกสามีของผู้เป็นนาย ก่อนที่ทั้งสองคนจะหายออกจากตำหนักไปอย่างรวดเร็ว กู้เจี้ยนกระตุกบังเหียนม้าสองตัวให้ออกวิ่ง รถม้าที่มีร่างของฮ่องเต้ตัวจริงและขันทีคนสนิท มุ่งตรงไปยังถนนเส้นเล็กที่ลับตาผู้คน “เจ้าจะตายไม่ได้รู้ไหมต้วนเมิง ไหนเจ้าบอกจะอยู่เลี้ยงหลาน ๆ ช่วยข้าอย่างไรเล่า” ดวงตาของขันทีชราคล้ายพยามจะเปิดขึ้น ทว่ามันดูหนักอึ้งจนไม่อาจทำได้อย่างที่ใจนึก ลู่ผิงอันเข้าใจอาการนี้ได้เป็นอย่างดี หญิงสาวล้วงเอายาออกมาโรยใส่บาดแผลของต้วนเมิง “อย่าสิ้นเปลืองเลยพ่ะย่ะค่ะท่านหญิง บ่าวมิอาจรอดไปได้” แม้ว่าว่าดวงตาจะไม่อาจเปิดขึ้นได้ ทว่าทุกความรู้สึกที่ยังพอมีรับรู้อยู่นั้น ทำให้เขาซึ้งในความมีน้ำใจของท่านหญิงยิ่งนัก ตั้งแต่วัยเยาว์จนเติบใหญ่ ท่านหญิงมิเคยที่จะไร้เมตตาต่อบริวารเลยสักครั้งมือเหี่ยวย่นปัดป่ายหามือของผู้เป็นนาย เรี่ยวแรงของเขาไม่อาจจะต่อสู่กับบาดแผลบนกายได้แล้ว ภาพความทรงจำของเขาที่เติบโตเคียงข้างฝ่าบาท และเป็นทั้งครูรวมถึงการพี่เลี้ยงให้กับท่านหญิงลู่ นับว่าเ
ตำหนักพักร้อน ชินอ๋องลู่จ้างจงในที่สุดรถม้าได้มาหยุด ณ หน้าตำหนักพักร้อน ลู่ผิงอันก้าวลงจากรถม้า ตรงไปที่หน้าประตูบานใหญ่ ก่อนจะยกห่วงเหล็กกระแทกกับประตูหนา เพียงครู่เดียวประตูได้แง้มเปิดออก ชายชราหน้าตาอิดโรยมองดูผู้มาเยือนด้วยแววตาลิงโลด ก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว“ผู้ใดมากัน” เสียงจากด้านใน ทำให้ชายชราถึงกับสะดุ้งสุดตัว“เป็นข้าเองท่านหญิงลู่ผิงอัน ฮูหยินในท่านแม่ทัพฉู่เหล่ย ข้าต้องการเข้าพบเสด็จลุง”หลังรู้ว่าผู้มาเยือนคือใคร ประตูบานใหญ่เปิดออกกว้าง ก่อนจะมีทหารหน้าตาดุดันเดินออกมายืนเบื้องหน้าชายชรา ซึ่งก็คืออดีตขันทีคนสนิทของฮ่องเต้ แม้ว่าหลายคนจะแปลกใจว่าทำไมขันทีชราจึงอยู่ที่นี่ทว่าคำตอบจากโอรสสวรรค์ คือต้องการให้คนสนิท คอยเฝ้าดูพระเชษฐาที่เจ็บป่วยอย่างใกล้ชิดแทนตนเอง อย่างน้อยจะได้ทรงอุ่นพระทัยว่าชินอ๋องจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี“ท่านอ๋องประชวรหนัก คงมิสะดวกให้ท่านหญิงเข้าพบพ่ะย่ะค่ะ”“เพราะข้ารู้ว่าเสด็จลุงป่วยถึงได้มาเยี่ยมเยียน อีกอย่างข้ากำลังจะออกเดินทางติดตามท่านแม่ทัพไปชายแดน ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้กลับเมืองหลวง การที่ข้ามาล่ำลาเสด็จลุงย่อมเป็นสิ่งที่สมควร”“ข้าน้อยจะแจ้
“ถวายบังคมฝ่าบาท” ขันทีและนางกำนัลต่างพากันคุกเข่า เมื่อผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินเสด็จมา ทั้งหมดไม่กล้าเอ่ยแจ้งสิ่งใด ทำเพียงก้มหน้านิ่งหลีกทางให้แก่ฮ่องเต้ เพื่อเข้าไปภายในห้อง “อ่า...อ๊า...” เสียงครางกระเส่าที่ดังออกมาให้ได้ยินจากห้องชั้นใน ทำให้ฮ่องเต้ถึงกับชาหนึบไปทั้งกาย ทางด้านลู่ผิงอันรีบยกมือขึ้นปิดปาก ดวงตาคู่งามเบิกกว้าง ก่อนจะหันไปสบตากับผู้เป็นลุง ภายใต้ฝ่ามือนุ่มนั้น มุมปากงามบิดขึ้นเล็กน้อย เหล่าขุนนางทั้งหลายต่างคุกเข่าลงมอบนิ่ง เพราะสิ่งที่ได้ยินมันชัดเจนนัก ทุกคนต่างมากด้วยวัยไม่บอกก็รู้ว่าด้านในเกิดสิ่งใดขึ้น “ลากตัวพวกมันออกมา!” สิ้นคำสั่งขันทีคนสนิทได้ก้าวเข้าไปด้านใน พร้อมขันทีอีกสามคน เสียงหวีดร้องดังสลับเสียงสะอื้น ภาพที่ชวนตะลึงคือร่างที่เปลือยเปล่าของสองแม่ลูก ถูกนำตัวออกมาเผยต่อหน้าผู้คน ฮ่องเต้ถึงกับดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ หากบุรุษที่เสพสมกับสนมรัก เป็นชายอื่นเขาคงไม่คิดให้เสียเวลา แต่นี่มันคือพระโอรสของเขา ที่อาจหาญมีสัมพันธ์กับมารดา “พวกเจ้าทำเช่นนี้ต่อข้าได้อย่าง
เจ็ดวันต่อมา วังหลวง ลู่ผิงอันเลือกที่จะเป็นคนมาส่งน้อง ๆ เข้าวังหลวงด้วยตนเอง แม้จะรู้ว่ามันคือความเสี่ยง แต่นางก็ยังไม่อยากที่จะแหวกหญ้าให้งูตื่น ในจวนสกุลฉู่นางได้ทำการสับเปลี่ยนคนไว้จนหมดสิ้นแล้วบ่าวไพร่เมื่อไม่ซื่อตรงต่อนาย นางก็แค่ซ่อนพวกเขาไว้สักระยะค่อยว่ากันอีกทีหลังทุกอย่างจบลง แม่สามีนางก็ทำให้นางรู้สึกอ่อนเพลียจนอยู่แต่ในเรือน อนุคนงามก็แค่เจ็บป่วยจนไปไหนไม่ได้ส่วนสามีนั้นให้เป็นไปตามแผนการของคนในที่มืด อาการสาหัสค่อนไปทางจะสิ้นใจ เหลือเพียงนางผู้เป็นสตรีที่มิค่อยฉลาดเท่าใดนัก คอยดูแลจวนแทนสามีและแม่สามี ช่างน่าเวทนายิ่งในยามคับขันเช่นนี้นางเลือกที่จะเข้าวังในเวลาที่ฮ่องเต้ออกว่าราชการ เพื่อที่ตัวนางจะได้ไปพบใครบางคนก่อนนั่นเอง หลังจากส่งน้อง ๆ ให้ขันทีพาไปยังตำหนักแล้ว ลู่ผิงอันจึงได้ไปยังตำหนักชูเฟย พระมารดาขององค์ชายเจ็ดแน่นอนว่านางแจ้งความประสงค์มาเยี่ยมเยียนสองแม่ลูก ที่อาจหาญทำให้ครอบครัวของนางต้องแยกกันอยู่ ยื่นสิ่งใดมาให้นาง ก็ต้องยินยอมรับในสิ่งที่นางคืนให้ด้วยเช่นกัน‘ทำไมนางต้องยอมตายทั้งที่ยังไม่ได้สู้ ส่วนเจ้าลู่จิ้งเจ๋อ อย่าว่าข้าต่ำช้า! ปากขอ