ในยามสายวันรุ่งขึ้น ลี่อินได้รับคำสั่งจากฮูหยินรองเจินซูเม่ย ให้นางเข้าไปช่วยจัดของในห้องเก็บตำราสำคัญของจวน
“ห้องเก็บตำรา?”
“ในอดีต ข้าจำได้ว่าเคยถูกล่อเข้าไปที่นั่น แล้วถูกกล่าวหาว่าขโมยหยกของฮูหยินรอง”
“คุณหนู อย่าไปนะเจ้าคะ” เสี่ยวจูเอ่ยอย่างร้อนรน
“ห้องนั้น ข้าได้ยินว่าวันก่อนซูหรูเพิ่งให้คนเข้าไปทำความสะอาด ข้าเกรงว่ามันจะเป็นกับดัก”
ลี่อินวางมือบนไหล่เสี่ยวจู บีบเบา ๆ
“เจ้าเคยบอกข้าว่ากลัว หากต้องอยู่ในเงามืดเพียงลำพังใช่หรือไม่?”
“ข้าเองก็กลัว แต่ข้าจะไม่หนีอีก ยิ่งพวกมันกล้าลงมือเร็ว ข้ายิ่งแน่ใจว่ามันเริ่มหวาดหวั่นแล้ว”
ยามเฉิน
ลี่อินก้าวเข้าสู่เรือนใหญ่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ภายในเรือนตกแต่งหรูหรา ทุกกระเบื้องและมุมเสาล้วนประณีตงดงาม แต่สำหรับนางแล้ว มันไม่ต่างจากคุกสีทองที่เคยกักขังนาง
นางเดินตามบ่าวรับใช้จนถึงหน้าห้องเก็บตำรา ซึ่งตั้งอยู่ด้านในสุดของห้องปีกตะวันออก
“เข้าไปได้เลยเจ้าค่ะ ฮูหยินรออยู่ข้างในแล้ว”
เมื่อเปิดประตูเข้าไป สิ่งที่ปรากฏกลับไม่ใช่เจินซูเม่ย หากแต่เป็นเพียงห้องที่ว่างเปล่า เงียบสงัด และมีกล่องเก็บผ้าโบราณซ้อนกันสูงจนบดบังแสง ทันใดนั้น ประตูไม้ก็ปิดดังปัง ตามมาด้วยเสียงล็อกจากด้านนอก
“นังเด็กสวะ อยู่ในนั้นไปเถอะ!” เสียงเจินซูเม่ยดังลอดจากอีกฝั่ง
“หากเจ้าตะโกนลั่น ข้าจะกล่าวหาว่าเจ้าลอบเข้าเรือนใหญ่ แล้วขโมยหยกของข้า”
เสียงหัวเราะเหี้ยมเกรียมเจือสะใจดังตามมา
“อยู่ในนั้นไปจนกว่าจะสำนึก!”
ภายในห้องมืด ลี่อินยืนอย่างสงบ ไม่ตกใจ ไม่ร้องไห้ นางค่อย ๆ หยิบเหรียญทองแดงที่พกมาด้วยขึ้นมา เคาะเบา ๆ กับกระเบื้องมุมพื้นสามครั้ง
แกรก…แกรก…
เสียงฝีเท้าดังขึ้นนอกหน้าต่าง ไม่นานบานไม้ซ่อนที่ติดอยู่กับผนังด้านข้างก็เปิดออก ชายชุดดำสวมหน้ากากก้าวเข้ามาอย่างเงียบเชียบ
“คุณหนู ข้าได้รับคำสั่งให้ตามติดท่าน ขออภัยที่ล่าช้าเพราะต้องรอสัญญาณ”
ลี่อินยิ้มบาง ๆ “ไม่เป็นไร แค่เจ้ายังตามแผนทันก็พอ”
นางเดินตรงไปที่ตู้เก็บเอกสารกลางห้อง หยิบกระบอกไผ่เล็ก ๆ ขึ้นมาหนึ่งชิ้น
“ในนี้ คือสำเนาเอกสารเบิกงบหลวงที่เซียวเฟิงเฉินเซ็นเองกับมือ และซุกซ่อนไว้ตรงนี้ตลอดสิบปี”
“หากข้าไม่มีโอกาสมาในวันนี้ คงไม่มีวันได้มันมา”
ชายชุดดำรับไว้ทันที “ข้าจะนำส่งให้ท่านอ๋องขอรับ”
เมื่อนางคลานออกทางบานซ่อนลับหลังจากส่งของแล้ว ลี่อินกลับไปโผล่ที่เรือนของตนราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ในขณะเดียวกัน บ่าวเรือนใหญ่ก็เริ่มแตกตื่น เมื่อพบว่าห้องเก็บตำราที่ควรถูกล็อกไว้นั้นว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่เงาของลี่อิน…
เจินซูเม่ยโกรธจนหน้าเขียว
“มัน…มันหนีไปได้อย่างไร! ข้าให้คนเฝ้าห้องนั้นทุกมุมแล้วนี่!”
ซูหรูรีบร้อนตอบ “บะ...บ่าว บ่าวไม่ทราบเลยเจ้าค่ะ”
เจินซูเม่ยกำพัดแน่นจนหัก ดวงตาเต็มไปด้วยเพลิงโทสะ
“นังสารเลว มันไม่ใช่คนโง่งมเหมือนเดิมแล้วจริง ๆ!”
คืนนั้น ลี่อินนั่งอยู่ใต้แสงจันทร์ในสวนหลังเรือน ดวงหน้าสงบ ดวงตาทอประกายเยือกเย็น
“เจินซูเม่ย เจ้าอยากขังข้าไว้ในที่มืด แต่เจ้าคงลืมไปว่า ข้าคือเงาที่มืดกว่าความมืดของเจ้าเสียอีก!”
ฤดูใบไม้ผลิในเมืองหลวงแคว้นต้าหลิงเริ่มเข้าสู่ช่วงกลาง ราตรีอบอุ่นลง แต่ในจวนสกุลเซียว กลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายเย็นยะเยือก
ข่าวลือในจวนค่อย ๆ แผ่ขยายทีละเส้น จากห้องครัวไปถึงเรือนคนใช้ จากโรงม้าไปถึงตลาดกลางเมือง
“คุณหนูลี่อิน
กลับมายืนหยัดได้อีกครั้งและกำลังเป็นที่จับตาของคนในวังหลวง”แม้จะเป็นเพียงเสียงกระซิบเล่าลือ หากแต่สำหรับผู้ที่ยืนอยู่บนยอดอำนาจอย่างเจินซูเม่ยแล้ว เสียงนั้นดังยิ่งกว่ากลองศึก
เช้าวันนั้น เจินซูเม่ยนั่งจิบชาอยู่ที่ศาลาหลังเรือนใหญ่ พลางทอดสายตาไปยังสวนเมฆหยกที่ล้อมรอบด้วยต้นเหมยขาวซึ่งกำลังผลิดอก สายลมพัดให้กลีบเหมยปลิวลงสู่พัดในมือนางพอดิบพอดี ทว่านางกลับเหวี่ยงพัดทิ้งอย่างไร้เยื่อใย
“พาตัวเซียวลี่อินมาหาข้า”
ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม บ่าวไพร่ก็นำเซียวลี่อินเข้ามาพบ หญิงสาวในชุดผ้าฝ้ายสีเทาหม่น ย่อกายอย่างสงบนิ่ง เจินซูเม่ยมองนางจากศีรษะจรดปลายเท้า ไม่พูดอะไรอยู่พักหนึ่งจากนั้นก็แย้มยิ้มอ่อนหวานอย่างเสแสร้ง
“ลี่อิน เจ้าโตเป็นสาวแล้วจริง ๆ ที่แม่เล็กลงโทษเจ้าวันนั้น เจ้าคงจะสำนึกแล้วใช่หรือไม่”
“ฮูหยินรองกล่าวเกินไปแล้ว” นางตอบเรียบ ๆ ไม่โอนอ่อน แต่ก็ไม่แข็งกร้าว
“หลายวันมานี้ ข้าได้ยินชื่อเจ้าบ่อยนัก ไม่ว่าจะจากห้องรับแขก ห้องอาหาร หรือแม้แต่จากปากของเทียนหยู เจ้าทำให้เด็กน้อยอย่างเทียนหยูประทับใจได้ ถือว่าเจ้ามีความสามารถ”
ลี่อินยิ้มบาง เอ่ยเสียงอ่อนโยน
“เทียนหยูเป็นคนเฉลียวฉลาด บุตรสาวที่ไม่เป็นที่สนใจเช่นข้า ได้พูดคุยกับคุณชายน้อยเซียวก็นับว่าเป็นเกียรติ”
เจินซูเม่ยหัวเราะเบา ๆ “เป็นเกียรติหรือ? ข้าว่ามันมากกว่านั้น”
นางลุกขึ้นจากตั่ง เดินเข้ามาใกล้แล้วก้มลงกระซิบข้างหูลี่อิน
“ข้าไม่สนหรอกว่าเจ้ากำลังจะทำสิ่งใด แต่จงจำไว้ให้ดี พ่อเจ้ามอบอำนาจดูแลคนในจวนให้ข้า ในจวนนี้รองจากพ่อเจ้าข้าใหญ่สุด สิบหกปีมานี้ข้าไม่เคยแพ้ใคร ไม่เคยแพ้แม่ที่ป่วยออด ๆ แอด ๆ ของเจ้า และยิ่งจะไม่แพ้เจ้า!!”
ลี่อินยังคงก้มศีรษะอยู่ แต่ดวงตากลับแฝงแววราวคมมีด น้ำเสียงอ่อนโยน แต่ไม่อ่อนแอ
“ข้าก็จดจำทุกก้าวย่างของฮูหยินรองมาตลอดสิบหกปีเช่นกัน…”
ลี่อินพูดเพียงเท่านั้นและเดินออกไปทันที ทำเอาเจินซูเม่ยโกรธจนเหวี่ยงถ้วยชาลงพื้นจนแตกกระจาย
“เซียวลี่อิน! เจ้ากล้าท้าทายข้า!!”
“ฮูหยินรองโปรดใจเย็นเจ้าค่ะ” ซูหรูรีบคุกเข่าก้มหน้าไม่กล้าสบตา
เจินซูเม่ยกัดฟันแน่น พยายามระงับอารมณ์
“ซูหรู! เตรียมของขวัญ องค์หญิงใหญ่รับสั่งให้ข้าไปเข้าเฝ้าในวังหลวงอีกสามวันข้างหน้า และหากข้าคาดไม่ผิด คงไม่ใช่เพียงข้าหรอก ที่องค์หญิงทรงอยากพบ...”
หลังจากที่เจินซูเม่ยและเซียวถิงฮวาถูกนำตัวไปคุมขัง ข่าวนี้ก็แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน ผู้คนต่างพูดถึงด้วยทั้งความสะใจและหวาดกลัว“คนที่เคยเชิดหน้าชูตา วันนี้กลับกลายเป็นนักโทษเสียแล้ว”“สวรรค์มิอาจละเว้นคนชั่วได้จริง ๆ”ท้องพระโรงแม้จะเงียบลงหลังการพิพากษา แต่คลื่นใต้น้ำกลับโหมแรงขึ้นบรรดาขุนนางที่เคยปกป้องสกุลเซียว บัดนี้ต่างเงียบงันแต่ในเงามืด กลับเริ่มมีการเคลื่อนไหวบางอย่างที่ผิดปกติยามค่ำ เซียวลี่อินยืนอยู่บนระเบียงตำหนักอ๋อง สายตาเหม่อมองฟากฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นด้านหลัง ก่อนที่เสียงทุ้มคุ้นเคยดังขึ้น“เจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่”นางหันกลับมา เห็นจิ้งอ๋องยืนอยู่ในชุดคลุมสีเข้ม ดวงตาคมกริบทอดมองนางด้วยความสนใจเซียวลี่อินยกพัดแตะริมฝีปาก แววตาเยือกเย็น“แม้เจินซูเม่ยจะถูกจับ แต่ผู้ที่หนุนหลังนางยังมิได้เผยตัวออกมาทั้งหมดเพคะ เพียงถูกดึงเงาหนึ่งออกมา ย่อมยังเหลืออีกหลายเงาที่แอบซ่อนอยู่”จิ้งอ๋องนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงหนักแน่น“หากเป็นเช่นนั้น ข้าจะสืบจนถึงรากเหง้า ไม่ว่าผู้ใดซ่อนที่ตัวอยู่เบื้องหลัง ก็ต้องลากออกมาทั้งหมด!”เพี
เช้าวันรุ่งขึ้น ท้องฟ้าปกคลุมด้วยเมฆหนาทึบ ราวกับสวรรค์เองก็ยังเฝ้ารอการพิพากษาครั้งใหญ่เสียงกลองพิธีดัง ตึง! ตึง! ตึง! ก้องไปทั่ว ประกาศเรียกเหล่าขุนนางเข้าสู่ท้องพระโรงเจินซูเม่ยถูกองครักษ์คุมตัวเข้ามา นางสวมชุดงดงามแต่เส้นผมกลับยุ่งเหยิง ใบหน้าซีดเซียว แววตาสั่นไหวเสียงซุบซิบของขุนนางและสตรีฝ่ายในดังระงม“นี่หรือฮูหยินเซียวที่เคยได้ชื่อว่างดงามและเจ้าเล่ห์ที่สุดในเมืองหลวง…”“วันนี้กลับถูกลากมาเป็นจำเลยต่อหน้าฝ่าบาทเสียเอง”“ดูนางตอนนี้สิ ดูสมเพชสิ้นดี ฮึ!”ฮ่องเต้ประทับบนบัลลังก์สูง พระเนตรลึกล้ำทอดมองลงมา พระสุรเสียงเย็นเยียบดังขึ้น“เจินซูเม่ย มีผู้กล่าวโทษเจ้าว่าเกี่ยวข้องกับการลอบนำสมุนไพรปนเปื้อนเข้าสู่วังหลวง อีกทั้งยังพยายามทำลายหลักฐาน เจ้าจะว่าอย่างไร”เจินซูเม่ยรีบคุกเข่าลง น้ำตาไหลพราก“ฝ่าบาท! หม่อมฉันถูกใส่ร้ายเพคะ! ทุกสิ่งล้วนเป็นการจัดฉากของพวกที่อิจฉาริษยาหม่อมฉัน!”จิ้งอ๋องก้าวออกมาอย่างสง่างาม ร่างสูงใหญ่เปล่งบารมีจนท้องพระโรงเงียบกริบเขาวางรายงานและหลักฐานลงตรงหน้า เสียงทุ้มต่ำเอ่ยอย่างชัดถ้อยคำ“หลักฐานทั้งหมดอยู่ที่นี่แล้ว คำสารภาพของบ่าว พยานผู้เห็นเหตุกา
รุ่งอรุณปกคลุมเมืองหลวงด้วยหมอกสีขาว แต่ในราชสำนักกลับคลาคล่ำไปด้วยบรรยากาศที่ตึงเครียดยิ่งนักข่าวการพยายามทำลายหลักฐานของเจินซูเม่ยแพร่สะพัดไปทั่ว ทั้งในหมู่ขุนนางและเหล่าราษฎร“สกุลเซียวคงไม่รอดแล้ว…”“ครั้งนี้แม้แต่ฝ่าบาทก็มิอาจเพิกเฉยได้อีก”เสียงซุบซิบในตลาดและตามตรอกซอยกลายเป็นพายุข่าวลือที่โหมกระหน่ำไม่หยุดในท้องพระโรง ขุนนางแบ่งออกเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจนฝ่ายหนึ่งเร่งรัดให้ลงโทษสกุลเซียวโดยเร็วอีกฝ่ายหนึ่งกลับยืนหยัดพยายามหาทางประวิงเวลา เสมือนกำลังยื้อชีวิตให้ผู้เกี่ยวข้องฮ่องเต้ประทับนิ่งบนบัลลังก์สูง ดวงพระเนตรลึกล้ำมองลงมา พระสุรเสียงเรียบแต่แฝงไปด้วยความกดดัน“จิ้งเหยียน พรุ่งนี้เจ้าจงนำพยานหลักฐานทั้งหมดมาตรวจสอบต่อหน้าข้า หากพิสูจน์ได้ว่ามีความผิดจริง ต่อให้เป็นสกุลใหญ่ ข้าก็จะไม่ละเว้น”จิ้งอ๋องค้อมกายรับโองการ ดวงตาคมวาวสะท้อนความมุ่งมั่นเมื่อหันไป เห็นเงาร่างของเซียวลี่อินหลังม่านกั้นสตรี นางยืนนิ่ง ราวกับมั่นคงดุจขุนเขาเพียงสบตาในระยะไกล หัวใจเขากลับสงบลงราวกับได้รับพลังพายุใหญ่กำลังจะโหมกระหน่ำ แต่เราจะฝ่ามันไปด้วยกัน!ภายในเรือนใหญ่ของจวนสกุลเซียว เจินซูเม่ย
ค่ำคืนคลี่คลุมจวนสกุลเซียว บรรยากาศภายในเรือนใหญ่เต็มไปด้วยความกดดัน เจินซูเม่ยนั่งอยู่เบื้องหน้าโต๊ะเครื่องหอม มือกำถ้วยชาแน่นจนสั่น น้ำชาเอ่อล้นออกมาโดยไม่รู้ตัว นางกัดฟันสะกดความโกรธ“ไม่ได้! ข้าไม่มีวันยอมให้ทุกสิ่งที่ข้าสร้างมาพังลงเพียงเพราะนังเซียวลี่อินแน่!”เซียวถิงฮวานั่งอยู่ด้านข้าง ใบหน้าของนางยังคงซีดเซียวจากเหตุการณ์ในท้องพระโรง“ท่านแม่ เราจะทำเช่นไรต่อดีเจ้าคะ หากถูกสอบสวนต่อไป สกุลเซียวคงถูกลากลงเหวแน่”เจินซูเม่ยหรี่ตาลงอย่างอำมหิต“แม้จะถูกบีบแทบจนมุม แต่ยังมีหนทาง หากหลักฐานที่มันถืออยู่ถูกทำลายเสีย ต่อให้เป็นท่านอ๋องเจ็ดก็ไม่อาจทำอะไรได้!”....ขณะเดียวกัน ภายในตำหนักอ๋อง จิ้งอ๋องนั่งพินิจรายงานที่กองอยู่ตรงหน้า ข้างกายมีเซียวลี่อินนั่งสงบนิ่ง ดวงตาไล่ตามทุกบรรทัดอย่างตั้งใจ เสียงทุ้มของเขาเอ่ยขึ้นช้า ๆ“ศัตรูกำลังดิ้นรน พรุ่งนี้อาจมีการเคลื่อนไหว เจ้าต้องอยู่ใกล้ข้าไว้ ห้ามเสี่ยงคนเดียว”เซียวลี่อินแย้มยิ้มบาง พลางตอบเสียงเบา“เพคะท่านอ๋อง แต่บางครั้งหมากตัวสำคัญ ก็ต้องใช้เหยื่อล่อให้อีกฝ่ายเผยพิรุธออกมาเองนะเพคะ”สายตาทั้งคู่สบกัน ความแน่วแน่และความไว้วางใจเริ่
เช้าวันใหม่ท้องพระโรงคลาคล่ำไปด้วยเหล่าขุนนางที่ยืนเรียงราย บรรยากาศเต็มไปด้วยแรงกดดัน ข่าวการจับคนของเจินซูเม่ยเมื่อคืนแพร่ไปทั่วแล้ว ทำให้ราชสำนักปั่นป่วนขันทีขานเสียงกังวาน “ถวายพระบังคมฝ่าบาท ท่านอ๋องเจ็ดได้นำพยานและหลักฐานเข้ามากราบทูลพ่ะย่ะค่ะ!”สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังจิ้งอ๋องผู้ก้าวเข้ามาด้วยท่วงท่าสง่างาม เบื้องหลังเขามีองครักษ์นำคนร้ายที่ถูกจับได้คุมตัวเข้ามา พร้อมเอกสารบันทึกคำสารภาพเสียงซุบซิบดังไปทั่วท้องพระโรง“ครั้งนี้จวนสกุลเซียวคงรอดยากแล้ว”“แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีขุนนางคอยหนุนหลัง หากพวกนั้นออกหน้า เรื่องอาจไม่ง่ายเช่นกัน”จริงดังว่า เมื่อจิ้งอ๋องยื่นรายงานต่อหน้าฮ่องเต้ทันใดนั้น ขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายหนึ่งก็ก้าวออกมาขัดทันที สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ“ฝ่าบาท! แม้จะมีบ่าวรับใช้สารภาพ แต่ก็ใช่ว่าจะเชื่อถือได้ หากทั้งหมดเป็นการจัดฉากเพื่อกำจัดสกุลเซียวเล่าพ่ะย่ะค่ะ ขอฝ่าบาททรงพิจารณาด้วย!”เสียงถกเถียงเริ่มระอุขึ้นอีกครั้ง คล้ายไฟที่พร้อมลุกโชนกลางท้องพระโรงเซียวลี่อินที่ยืนอยู่ด้านหลังม่านกั้นสำหรับสตรีสูงศักดิ์กำพัดแน่น ดวงตาเย็นยะเยือกพวกขุนนางหนุนหลังพวกนั้น พวกมันคือ
ผลการสอบสวนยังไม่ทันประกาศอย่างเป็นทางการ แต่ข่าวของบ่าวที่เรือนเจินซูเม่ยยอมรับสารภาพต่อหน้าท่านอ๋องเจ็ดก็แพร่สะพัดไปทั่วราชสำนักแล้วราวกับคลื่นยักษ์ที่ซัดสาดเข้าใส่ จวนสกุลเซียวเริ่มสั่นคลอน ในห้องประชุมขุนนางยามเช้า เสียงถกเถียงดังไม่หยุด ขุนนางฝ่ายหนึ่งลุกขึ้นคารวะ“ฝ่าบาท เรื่องนี้เกี่ยวพันต่อความปลอดภัยของราชสำนัก หากไม่ลงโทษผู้เกี่ยวข้องให้ชัดเจน ย่อมกระทบพระเกียรตินะพ่ะย่ะค่ะ”อีกฝ่ายหนึ่งรีบโต้“แต่ยังไม่มีพระราชโองการตัดสิน ขืนเร่งรีบไป จะไม่กลายเป็นว่าราชสำนักไม่ยุติธรรมหรอกหรือ!”เสียงถกเถียงดังระงมจนท้องพระโรงแทบสั่นสะเทือนฮ่องเต้นั่งนิ่ง ดวงพระเนตรลึกล้ำราวกับกำลังชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียในอีกฟากหนึ่ง เซียวลี่อินยืนอยู่หลังม่านกั้นสำหรับสตรีสูงศักดิ์นางฟังเสียงถกเถียงทั้งหมดด้วยสายตาเยือกเย็น ริมฝีปากคลี่ยิ้มบาง ยิ่งคลื่นแรงเพียงใด ย่อมยิ่งกัดเซาะเกียรติของสกุลเซียวให้พังทลายไวขึ้นเท่านั้นขณะเดียวกัน จิ้งอ๋องนั่งอย่างมั่นคงบนเก้าอี้ขุนนาง แม้จะไม่ได้เอ่ยถ้อยคำใด แต่เพียงการมีตัวตนของเขาอยู่ในห้องนี้ ก็ทำให้ผู้คนไม่กล้าเอ่ยวาจาเกินเลยยามบ่ายในจวนสกุลเซียว เจินซูเม่ยสี