“พอๆ” โจวเจินโบกมือ “ไม่ต้องเล่าแล้ว ทำตัวเช่นนี้เมื่อใดจะได้คนรักใหม่เสียที นอกจากไม่แต่งหน้าทาชาด ยังซุกซนยิ่งนัก เฮ้อ...มาเถอะ ข้าช่วยล้างตัว”
“อ้อ...ก็ได้ๆ” ไป๋เล่อชิงเดินตามโจวเจินอย่างจำนน
สาวใช้อีกคนรีบลุกขึ้นเดินตาม “ข้าช่วยเจ้าค่ะ”
“มาๆ” โจวเจินกวักมือเรียกสาวใช้นามว่าอาม่าย ซึ่งเป็นสาวใช้ที่เจาจวิ้นจ้างมาปัดกวาดเป็นครั้งคราว ทุกห้าวัน “ข้าจะแต่งตัวทาชาดให้เจ้าด้วย พวกเราจะได้งดงามไปพร้อมกัน”
“ขอบคุณเจ้าค่ะคุณหนูโจว”
จวนเยี่ยนอ๋อง เรือนเยี่ยเฟิง
อู๋หมิงเดินเข้ามาด้วยท่าทางหมดอาลัยตายอยาก เจาจวิ้นที่นอนพักอยู่ก็ผุดลุกขึ้นถาม “ท่านไปไหนมาเนี่ย ข้าต้องออกไปรับหน้าใต้เท้าเว่ยคนเดียว เหนื่อยจะแย่”
คนถูกถามนั่งลงรินชา จิบเอื่อยเฉื่อย
“ข้าไม่ได้ไปด้วย เจ้าบอกใต้เท้าเว่ยอย่างไร?”
เจาจวิ้นไหวไหล่ไม่ยี่หระ “ข้าก็บอกว่าท่านเผลอกินอาหารแสลงก็เลยป่วยโรคอาหารเป็นพิษ นอนหมดแรงอยู่ในเรือน ไม่อาจออกมาพบใครได้”
อู๋หมิงพยักหน้า “อืม ดี”
“ว่าแต่ ท่านยังไม่ตอบเลยว่าไปไหนมา”
“ข้าได้ข่าวภรรยา จึงออกไปตามหานาง ขออภัยที่ไม่บอกล่วงหน้า จนเกือบทำเสียงาน”
“อ้อ” เจาจวิ้นโบกมือว่า “ไม่เป็นไรๆ” ก่อนถาม “แล้วเจอหรือไม่?”
เมื่ออีกฝ่ายไร้คำตอบ นั่นย่อมชัดเจนถึงคำตอบ เจาจวิ้นจึงไม่ซักไซร้อีก เพียงลุกขึ้นมานั่งที่โต๊ะน้ำชาว่าต่อ “เห็นได้ชัดว่านางจงใจหนีอีกแล้ว ข้าขอย้ำคำเดิมว่าท่านควรตัดใจ”
เมียที่ดีคือเมียใหม่ คนเก่าทิ้งเราไปก็ต้องหาใหม่ เจาจวิ้นคิดในใจก่อนถาม “จำสตรีที่ข้าแนะนำได้หรือไม่ นางน่ารักนิสัยดีเชียว ชื่ออะไรนะ ขอนึกก่อน”
ขณะรินน้ำชาให้ตัวเอง เขาพลันนึกขึ้นได้
“ อืม ชื่อไป๋เล่อชิง อา...”
พูดไปพูดมา เจาจวิ้นก็รู้สึกว่าชื่อนี้คุ้นหูพอสมควร แต่คิดไม่ออกว่าเคยได้ยินที่ไหน
เฮอะ! ช่างเถอะ เอาเป็นว่า เขาจะเป็นพ่อสื่อ หึหึ!
ในขณะที่อู๋หมิงพลันนึกถึงสตรีที่เรือนของเจาจวิ้น
แม้ว่าชื่อแซ่เดียวกันแต่ก็ไม่ใช่ภรรยาของเขาอยู่ดี ทั้งใบหน้ากิริยาท่าทาง ชัดเจนว่าคนละคนอย่างสิ้นเชิง พวกนางเหมือนคนต่างถิ่น เพราะฟังจากภาษาที่ได้ยินจากหนึ่งในสองคนนั้น...
อู๋หมิงนิ่วหน้านึก สตรีที่ร้องเพลง...
ภาษาแปลกประหลาดอย่างมาก มิใช่สำเนียงภาษาของคนผิงเจียบ้านเดิมของเขา
ใต้หล้านี้คนที่เเซ่ซ้ำกันแม้แต่ชื่อก็ซ้ำมักพบได้บ่อย ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ คนต่างบิดามารดาที่หน้าเหมือนกันดุจฝาแฝดก็ยังมี
อู๋หมิงไม่ติดใจเรื่องสตรีผู้นั้นที่เรือนเจาจวิ้นอีก
ทว่าคืนนั้นทั้งราตรี เขากลับนอนไม่ค่อยหลับ กระสับกระส่ายจนเหงื่อซึม รู้สึกเหมือนตัวเองพลาดมหันต์อย่างไม่น่าให้อภัย แต่ไม่รู้ว่าพลาดเรื่องใด
[1]เครดิต : ประโยคบอกรักภาษาอังกฤษ แบบสั้น ๆ เข้าใจง่าย ใช้บอกแบบเก๋ ๆ
ในห้องอาหารที่มีบรรยากาศสนทนาเพื่อผูกมิตร อู๋หมิงกำลังสนทนากับเว่ยซุนและองค์ชายหกที่ยามนี้ปลอมตัวเป็นเว่ยหลงชายหนุ่มพูดคุยกับเว่ยซุนและองค์ชายหกผิงหลงอย่างระมัดระวังวาจา รักษาท่าทีตลอดเวลา ทว่ากลับมิได้เว้นระยะห่างเหินแต่อย่างใด อีกทั้ง ยังแสดงออกให้เห็นว่าซ่อนความละโมบหลอกง่ายเอาไว้ได้ไม่มิด แค่เผยเพียงความประจบประแจงออกมาเล็กน้อยอู๋หมิงประสานหมัดคารวะ “คุณชายเว่ย ข้าอู๋หมิง ยินดีที่ได้พบหน้าขอรับ” “ข้าเว่ยหลงยินดีที่ได้รู้จักคุณชายอู๋เช่นกัน” ผู้พูดประสานหมัดคำนับตอบอย่างมีมารยาทภายนอกขององค์ชายหกเป็นสุภาพชนอ่อนโยน หากแต่แท้จริงกลับมีนิสัยเหิมเกริมเหี้ยมโหดและเลือดเย็น ภายใต้รอยยิ้มแสนสุภาพเต็มไปด้วยจิตใจทะเยอทะยาน มักใหญ่ใฝ่สูง และแน่นอนว่าไม่เคยเผยออกมาให้ใครยลได้ง่ายๆเขายิ้มละมุนและมีท่าทีถ่อมตนขณะเอ่ยกับอู๋หมิง“เว่ยหลงผู้นี้นับได้ว่ามีวาสนายิ่งนัก พอได้พบหน้า ถึงได้รู้ว่าเหตุใดคุณชายอู๋เป็นที่ไว้วางพระทัยท่านอ๋อง”“คุณชายเว่ยกล่าวหนักไปแล้วขอรับ”“อ้อ ข้ามีของขวัญพบหน้า” องค์ชายหกกล่าวพลางยื่นกล่องไม้ให้อู๋หมิง เมื่อเปิดออกจึงเห็นตำลึงทองวางเรียงอย่างงามอร่ามนับสิบก้อนเว
โรงเตี๋ยมไหลฟู่วันนี้ยังคงคึกคักนอกจากลูกค้าทั่วไปที่เข้ามาเพื่อพักและกินอาหาร ยังมีผู้สูงศักดิ์นัดหมายมาร่ำสำราญอู๋หมิงก็เช่นกัน วันนี้เขามีนัดหมายกับเว่ยซุนและแน่นอนว่ายังคงมีฮูหยินเว่ยกับคุณหนูเว่ยติดตามมาด้วย เพื่อหาทางเปลี่ยนไม้ให้กลายเป็นเรือ[1] เจาจวิ้นจึงต้องลำบากปลอมตัวเป็นภรรยาคนงามอันเป็นที่รักของอู๋หมิงและคอยตามติดข้างกายเหมือนเดิมเพียงแต่ ครั้งนี้อู๋หมิงที่มีสติตลอดเวลากลับกลายเป็นคนสติเลื่อนลอยจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทั้งยังเดินไปทางตรอกที่ตั้งเรือนซานเหอย่วนของเจาจวิ้น ลำบากเจาจวิ้นต้องไปตามกลับมา กว่าจะลากตัวอู๋หมิงให้เลี้ยวออกจากเรือนของเขาเพื่อเข้ามาโรงเตี๊ยมไหลฟู่ได้นั้นยากมากเจาจวิ้นเหน็ดเหนื่อยอย่างยิ่งคนที่นัดหมายกันวันนี้ นอกจากอู๋หมิง เจาจวิ้น และคนสกุลเว่ยเหมือนเคย กลับมีเพิ่มมาอีกสองคน เป็นชายหนุ่มอายุราวยี่สิบห้านามว่าเว่ยหลงและหญิงสาวอายุราวสิบหกปีนามว่าเว่ยอู่อู๋หมิงลอบพิจารณาคนแปลกหน้าสองคนนี้เงียบๆ หากเขามิได้ไปพบท่านอ๋องก่อนหน้านี้ก็คงไม่ทราบว่า เว่ยหลง แท้จริงคือองค์ชายหก ผิงหลง ส่วนเว่ยอู่ แท้จริงคือองค์หญิงห้าผิงหยวนต่างหากทั้งสองปลอมตัวเ
เจาจวิ้นเห็นอู๋หมิงนอนหลับไม่สนิทจึงคิดว่าหากปล่อยเอาไว้จนสมองไม่แล่นคิดการไม่รอบคอบ ตอนไปทำงานล้วงความลับผู้อื่นคงส่งผลเสียเป็นแน่ ประเดี๋ยวพากันไปตายน่ะสิเช่นนี้ควรนำอาหารบำรุงมาฝากสักหน่อยจึงจะดีรสชาติอาหารของไป๋เล่อชิงไม่ด้อยเลยแม้แต่น้อย ฝีมือนับว่าดีเยี่ยม หากจะผูกใจคนต้องผูกกระเพาะก่อนคำนี้ใช้ได้เสมอ ดังนั้น วันรุ่งขึ้น เขาจึงไปกินอาหารเช้ากับโจวเจินและขอให้ไป๋เล่อชิงทำอาหารกับน้ำแกงบำรุงร่างกายเพิ่มสองสามอย่างแล้วห่อกลับมาเรือนเยี่ยเฟิง“อาหมิง ข้ามีของกินมาฝาก อร่อยมาก”อู๋หมิงกำลังรู้สึกปวดหัวและอิดโรยอยู่พอดี เมื่อเช้าก็ปฏิเสธข้าวไป ตอนกลางวันก็ควรกินรองท้องสักหน่อย“ขอบใจ”“มาๆ ข้าจัดโต๊ะให้” บริการเต็มที่เป็นพ่อสื่อเต็มขั้นอู๋หมิงย่อมรับน้ำใจ เขาเดินมานั่งและลงมือกิน ทว่าหลังจากกินไปได้ไม่กี่คำ คิ้วเข้มก็ค่อยๆ ขมวดมุ่นทำเอาคิ้วของเจาจวิ้นเองก็ค่อยๆ ขมวดตาม “ทำไม ไม่อร่อยหรือ?”อู๋หมิงส่ายหน้าเล็กน้อย “ไม่! มัน..รสชาติดีทีเดียว”เจาจวิ้นร้อง “อ้าว? หากรู้สึกว่าอร่อย ท่านก็ควรทำสีหน้าอีกแบบหรือไม่? นี่ๆ ทำแบบนี้ๆ อื้ม” ว่าแล้วก็ทำหน้ายิ้มจนตาหยีให้อีกคนทำตาม “ชอบก็บอกว
“พอๆ” โจวเจินโบกมือ “ไม่ต้องเล่าแล้ว ทำตัวเช่นนี้เมื่อใดจะได้คนรักใหม่เสียที นอกจากไม่แต่งหน้าทาชาด ยังซุกซนยิ่งนัก เฮ้อ...มาเถอะ ข้าช่วยล้างตัว”“อ้อ...ก็ได้ๆ” ไป๋เล่อชิงเดินตามโจวเจินอย่างจำนนสาวใช้อีกคนรีบลุกขึ้นเดินตาม “ข้าช่วยเจ้าค่ะ”“มาๆ” โจวเจินกวักมือเรียกสาวใช้นามว่าอาม่าย ซึ่งเป็นสาวใช้ที่เจาจวิ้นจ้างมาปัดกวาดเป็นครั้งคราว ทุกห้าวัน “ข้าจะแต่งตัวทาชาดให้เจ้าด้วย พวกเราจะได้งดงามไปพร้อมกัน”“ขอบคุณเจ้าค่ะคุณหนูโจว”จวนเยี่ยนอ๋อง เรือนเยี่ยเฟิงอู๋หมิงเดินเข้ามาด้วยท่าทางหมดอาลัยตายอยาก เจาจวิ้นที่นอนพักอยู่ก็ผุดลุกขึ้นถาม “ท่านไปไหนมาเนี่ย ข้าต้องออกไปรับหน้าใต้เท้าเว่ยคนเดียว เหนื่อยจะแย่”คนถูกถามนั่งลงรินชา จิบเอื่อยเฉื่อย“ข้าไม่ได้ไปด้วย เจ้าบอกใต้เท้าเว่ยอย่างไร?”เจาจวิ้นไหวไหล่ไม่ยี่หระ “ข้าก็บอกว่าท่านเผลอกินอาหารแสลงก็เลยป่วยโรคอาหารเป็นพิษ นอนหมดแรงอยู่ในเรือน ไม่อาจออกมาพบใครได้”อู๋หมิงพยักหน้า “อืม ดี”“ว่าแต่ ท่านยังไม่ตอบเลยว่าไปไหนมา”“ข้าได้ข่าวภรรยา จึงออกไปตามหานาง ขออภัยที่ไม่บอกล่วงหน้า จนเกือบทำเสียงาน”“อ้อ” เจาจวิ้นโบกมือว่า “ไม่เป็นไรๆ”
คล้อยหลังเหิงอุ้ย อู๋หมิงยังคงเดินตามหาต่อไป เผื่อโชคดีได้เจอไป๋เล่อชิงอยู่ในร้านใดสักร้านแถวนี้ ทว่าเดินหาจนทั่วตรอกซอกซอยกลับไร้วี่แววอย่างสิ้นเชิงกระทั่งเดินผ่านมาถึงเรือนซานเหอย่วนหลังหนึ่ง ชายหนุ่มจดจำได้ว่าเป็นเรือนของเจาจวิ้นที่ซื้อเอาไว้ เขาหยุดเดิน เพ่งมองผ่านช่องประตูเข้าไปก็ได้เห็นสตรีผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่หน้าเรือนพอดี แม่นางน้อยผู้นี้ สวมชุดสีชมพูดอกเหมย กำลังเริงระบำด้วยกิริยาพลิ้วไหวที่ไม่เหมือนนางรำทั่วไป ท่วงท่ากระโดดโลดเต้นพิกลบทเพลงท่วงทำนองที่นางขับร้องล้วนแปลกแปร่ง แบบที่ชั่วชีวิตของเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยสักครา กระนั้นกลับน่าฟังอย่างประหลาด อู๋หมิงคิดพลางกวาดตามองเรื่อยเปื่อยพบว่าเบื้องหน้าของสตรีที่ร้องเพลงมีสตรีอีกคน กำลังนั่งเท้าคางฟังอยู่ด้วยสีหน้าเคลิบเคลิ้มอู๋หมิงเพ่งพิศใบหน้าจืดชืดนั้นนิ่งๆเท่าที่เขารู้ เจาจวิ้นให้สตรีสองคนมาอยู่ที่เรือนนี้เพื่อตอบแทนบุญคุณ คนหนึ่งเป็นภรรยาเก่าของอีกฝ่าย ส่วนอีกคนเห็นว่าเป็นสหายที่ติดตามมาด้วยกัน คงเป็นสตรีสองคนนี้กระมังอู๋หมิงจึงละสายตาเดินห่างออกมาไม่สนใจอีกในภวังค์คิดถึงเพียงภรรยานามไป๋เล่อชิงมิสร่
“อ่อก อ่า” ซ่งโม่จุกจนร้องไม่ออก “จ่ะ เจ้า”“นางไม่มีทางทำร้ายผู้อื่นอย่างไร้เหตุผล บอกมา เจ้าทำอะไรนาง หาไม่ นางคงยังอยู่ที่นี่ไม่หนีไปไหน?” ยิ่งพูดยิ่งโมโหจนสุขุมสงบเงียบไม่ไหว ยิ่งเยือกเย็นไม่ได้ อู๋หมิงเตะส่งซ่งโม่อีกทีจนกระเด็นกลิ้งหลุนๆฝุ่นตลบคลุ้งซ่งโม่ไม่ทันร้องทำได้แค่สูดลมดังเฮือกแล้วสลบไปตกใจมากด้วย ฝ่าเท้าหนักด้วย เกินรับไหวแท้จริงเมื่อคนสลบเหมือด อู๋หมิงแค่นเสียงสั่ง “สาดน้ำ!”ซ่า! สิ้นเสียง ...ซ่งโม่ก็ค่อยๆ สะลึมสะลือฟื้นขึ้นมา เมื่อได้สติแจ่มชัดก็พลันกระจ่างแจ้งทันใด“ที่แท้เจ้าก็เป็นพวกเดียวกับนังสตรีป่าเถื่อนผู้นั้น ข้าจะไปแจ้งทางการ”อู๋หมิงยืนตระหง่านเบื้องหน้าซ่งโม่ แววตาประหนึ่งมัจจุราช “อยากไปจวนทางการก็ได้ ข้าจะส่งไปเดี๋ยวนี้” ว่าพลางทึ้งศีรษะกระชากหัวซ่งโม่ให้สบตาใกล้ๆ เอ่ยเสียงเย็นเยียบว่า “แต่หากเจ้าไม่ยอมรับความจริง ยังคิดพูดจาใส่ร้ายนางอีก ข้าจะตามไปตัดลิ้นเจ้าซะ”ซ่งโม่เบิกตามองอย่างหวาดผวาจนปัสสาวะราด “ย่ะ อย่าบอกว่าเจ้าเป็นผู้ทรงอิทธิพล เป็นคนของทางการ”อู๋หมิงโกหกโดยสีหน้าไม่เปลี่ยนว่า “ใช่!”“ข่ะ ข้าไม่ไปแล้ว ไม่ไปๆ”“ดี เช่นนั้นก็บ