เจียลี่ประคองคุณหนูของตนกลับไปยังห้อง โดยที่เสี่ยวเสี่ยวไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เอาแต่เดินเหม่อลอยอยู่เช่นนั้น เมื่อพานางนั่งบนเก้าอี้แล้วเจียลี่ก็จะออกไปตามหมอ แต่เสี่ยวเสี่ยวกลับรั้งเธอไว้
“ฉันชื่ออะไร”
เสี่ยวเสี่ยวคิดถึงคำสาปแช่งของชาวเน็ตขึ้นมา เธอได้แต่ภาวนาอย่าให้เป็นอย่างที่ตนเองคิด
“เว่ยหนิงอวี่เจ้าค่ะ” เจียลี่ย้ำแต่ละคำชัดเจน ด้วยนางคิดว่าหนิงอวี่หัวฟาดพื้นจนสมองเลอะเลือนเสียแล้ว
สิ้นคำพูดของเจียลี่ ความหวังของนางก็พังทลายลง นี่เธอมาอยู่ในนิยายของตัวเองจริง ๆ หรือ
“เป็นไปไม่ได้ ดินแดนนี้ไม่มีจริงนี่ ฉันแค่สมมติขึ้น”
เสี่ยวเสี่ยวในร่างเดิมแต่ชื่อที่ผู้คนรู้จักกลับเป็นเว่ยหนิงอวี่ พึมพำกับตนเอง
..................เจียลี่นำหมอมาตรวจ และจัดเทียบยาให้เรียบร้อยนานแล้ว แต่หนิงอวี่ยังคงนั่งเหม่อลอยอยู่อย่างนั้น หนิงอวี่ใช้ความคิด คิดหาทางออกจากเรื่องบ้าๆ นี้ หล่อนคิดเองเออเองว่าหากนิยายนี้จบลง เธอก็จะตื่นจากฝัน
‘ถ้าตอนนี้นางอยู่ในเทียนกั๋วดังนิยายจริง คือเว่ยหนิงอวี่จริง งั้นนางก็ต้องตายเพราะถูกสังหารน่ะสิ’ ความคิดของนางเริ่มฟุ้งซ่าน
“ไม่ได้ ๆ ฉันจะต้องไม่คิด คิดสิ คิดเสี่ยวเสี่ยว” หนิงอวี่พูดกับตัวเอง พลางเอามือสองข้างขยี้ผมตัวเองจนยุ่งเหยิงด้วยว่านางคิดแผนยังไม่ออก เจียลี่เห็นนางเป็นเช่นนั้นก็ตกใจรีบเข้ามาหยุดรั้งมือทั้งสองข้างของนาง
“คุณหนูหยุดนะเจ้าคะ อย่าทำเช่นนี้ คุณหนูมักจะแต่งกายให้สวยงามอยู่เสมอ ทำไมตอนนี้ทำเช่นนี้เล่า” เจียลี่พูดพลางอยากร้องไห้ นางกลัวว่าหนิงอวี่จะไม่กลับฟื้นคืนสติ
“ฉันไม่ใช่คุณหนูของเธอนะ ฉันชื่อฉู่ เสี่ยว เสี่ยว”
เสี่ยวเสี่ยวพยายามย้ำทีละคำ ให้เจียลี่ฟัง
“จะฉู่เสี่ยว ฉู่ไช่ อะไรกัน คุณหนูชื่อ เว่ย หนิง อวี่ เจ้าค่ะ จำชื่อตัวเองให้ได้สิเจ้าคะ” เจียลี่พูดพลางสะอื้นไห้
เสี่ยวเสี่ยวได้แต่ถอนหายใจ คร้านที่จะอธิบายให้เจียลี่ฟังแล้ว
“ได้! เว่ยหนิงอวี่ ก็เว่ยหนิงอวี่”
เหตุการณ์ภายในห้องยังไม่สงบดี คนรับใช้ในเรือนก็วิ่งมาแจ้งข่าว
“นายหญิงคุณชายจ้าวคุกเข่าจนหมดสติไปแล้วเจ้าค่ะ”
“คุณชายจ้าว? ใครกันคือคุณชาย.......” นางยังถามเจียลี่ไม่ทันจบ สมองของนางก็ประมวลผลอย่างไวดวงตาของนางโตเท่าไข่ห่านอีกครั้ง
“อย่าบอกนะว่าคือ จ้าวหลี่หยาง น่ะ!” นางตะโกนเสียงดังถามเจียลี่
เจียลี่ได้แต่สงสัยว่าคุณหนูของนางจะตกใจทำไม แต่ก็ยังพยักหน้ารับ
เมื่อรู้คำตอบหัวใจของหนิงอวี่ก็ตกไปอยู่ตาตุ่ม นางรีบวิ่งออกจากห้องทันที แต่เมื่อคิดได้ว่าตัวเองไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ใด ก็ต้องหยุดชะงักฝีเท้าลง
“นำข้าไปสิ!” หนิงอวี่กวักมือเรียกสาวใช้ที่มารายงานอย่างรีบร้อน
เมื่อไปถึงลานหน้าเรือนคนใช้ ที่อยู่ด้านหลังของหอบุปผา นางก็พบร่างกายผอมแห้งของบุรุษผู้หนึ่งที่นอนกองอยู่กับพื้นที่เปียกชื้นของฝนที่เพิ่งหยุดตกไปได้ไม่นาน
“งานนี้ตายแน่! งานนี้ตายแน่! เร็วรีบช่วยคนสิ”
หนิงอวี่รีบวิ่งเข้าไปดูอาการจ้าวหลี่หยาง พลางเรียกบ่าวที่กวาดลานอยู่แถวนั้นให้มาช่วยพยุงเขาขึ้น
เมื่อใบหน้าของจ้าวหลี่หยางที่บัดนี้ยังคงไม่ได้สติปรากฏต่อสายตาของนางอย่างชัดเจน หนิงอวี่ก็ต้องตกตะลึงในความหล่อเหลาของเขา ใบหน้าขาว คิ้วหนา ขนตาที่งอนเป็นแพรเหมือนสตรี ไหนจะริมฝีปากได้รูปนั่นอีก ถึงแม้ตอนนี้เขาจะดูอ่อนแอ แต่ก็ยังรูปงามเหนือบุรุษใด ๆ ถึงนางจะเป็นคนเขียนเขาขึ้นมาแต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะรูปงามได้ขนาดนี้
“คุณหนู จะให้ทำอย่างไรกับเขาขอรับ” คำถามของคนรับใช้ ทำให้นางได้สติกลับมาอีกครั้ง
“พาไปที่ห้องข้าก่อน” หนิงอวี่พูดพลางชี้นิ้วไปยังห้องนอนตน
“คุณหนู จะดีหรือเจ้าคะ” เจียลี่กล่าวทัดทาน ด้วยว่าจะดูไม่เหมาะสม
“ดีสิ มีอะไรไม่ดีกันเล่า เจ้าไปตามหมอ”
ตอนนี้นางไม่มีเวลามาคิดหรอกว่าอะไรเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม สิ่งเดียวที่นางคิดคือต้องเอาชีวิตรอดจากการถูกชายผู้นี้สังหารให้ได้
บ่าวในเรือนช่วยกันวางหลี่หยางลงบนเตียงของนาง ตอนนี้เสื้อผ้าของเขายังคงเปียกโชกจากการตากฝนมาทั้งคืน
“คุณหนูท่านหมอมาแล้วเจ้าค่ะ” เจียลี่รายงาน
“ท่านหมอเร็วเถิด ช่วยดูให้ข้าหน่อยเขาตายหรือยัง”
หนิงอวี่ไม่พูดเปล่า แต่กลับเดินไปจูงมือหมอมายังเตียงที่
หลี่หยางนอนอยู่ ทำเอาท่านหมอตกใจกับการกระทำของนาง เขารู้ว่านายหญิงหอบุปผาชอบถึงเนื้อถึงตัวผู้ชาย แต่ชายชราอย่างเขานางก็ไม่เว้นหรือ
ไม่ต่างจากเจียลี่ที่ได้แต่อ้าปากค้างกับการกระทำของคุณหนูของตน
“เร็ว รีบตรวจเถอะ เขาเป็นอย่างไรบ้าง” หนิงอวี่ไม่ได้สนสายตาของหมอและเจียลี่ ตอนนี้นางร้อนใจเรื่องของจ้าวหลี่หยางมากกว่า
“ไข้สูง แล้วก็อ่อนเพลีย เพราะขาดอาหารน่ะ เดี๋ยวข้าจัดเทียบยาให้ สองสามวันก็จะดีขึ้น” พูดจบท่านหมอก็หันไปเขียนเทียบยามอบให้เจียลี่ ก่อนจะขอตัวกลับไป
“จะทำอย่างไรกับคุณชายจ้าวดีเจ้าคะ”
“ถอดชุดเขา” หนิงอวี่จ้องมองหลี่หยางไม่วางตา พูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง
“หา! นี่ คุณหนูจะทำอะไรหรือเจ้าคะ” เจียลี่ไม่คิดว่าคุณหนูจะใจกล้าขนาดนี้
หนิงอวี่ที่เห็นท่าทางตกใจของนางก็รีบอธิบายในทันที
“ข้าหมายถึงให้บ่าวผู้ชายในเรือนมาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขา ดูนั่นชุดเปียกแบบนี้จะหายไข้ได้อย่างไร”
หนิงอวี่ชี้ไปยังชุดที่ยังคงมีน้ำหยดลงบนพื้นให้เจียลี่ดู
...........เมื่อจ้าวหลี่หยางได้ดื่มยาไปหลายชั่วยาม ไข้ก็เริ่มลดลงเขากลับมาได้สติอีกครั้ง เขามองดูรอบ ๆ ห้องที่ดูไม่คุ้นเคย ไหนจะชุดที่สวมก็ไม่ใช่ชุดเดิมของตนอีก
“ฟื้นแล้วหรือ”
เสียงของหนิงอวี่ขัดจังหวะการคิดทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นของหลี่หยาง
“เจ้าสิ้นสติ เพราะมีไข้สูงน่ะ”
หนิงอวี่ที่พึ่งไปเอาน้ำเช็ดตัวมาเปลี่ยน ยังพูดเจื้อยแจ้วไม่ได้สนสายตาที่มองมา นางรู้แค่ว่าต้องทำดีกับเขาไว้ตนเองจึงจะมีชีวิตรอด
“ไหน ข้าขอดูหน่อย ไข้ลดลงหรือยัง”
หนิงอวี่เดินมายังข้างเตียงหวังจะใช้มืออังหน้าผากเพื่อวัดไข้ให้เขา แต่กลับโดนมือใหญ่ปัดมือนางอย่างแรง
“เจ้าคิดจะทำอะไร?” จ้าวหลี่หยางพูดพลางจะลงจากเตียง
“นี่เจ้าจะไปไหน” หนิงอวี่พยายามรั้งเขาไว้
“ข้าก็จะไปหาเงิน หนึ่งตำลึงมาให้เจ้าไง” หลี่หยางตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา แต่เดินได้ไม่กี่ก้าวเขาก็เริ่มหน้ามืดอีกครั้ง ด้วยร่างกายที่ไม่ได้รับอาหารมาหลายวัน หนิงอวี่รีบมาช่วยประคองทันที
“นั่นไง ข้าบอกแล้ว เจ้ามีไข้สูง ยังไม่หายดี นั่งที่เก้าอี้นี่ก่อน” หนิงอวี่พาหลี่หยางนั่งลงบนเก้าอี้ โดยมีเขาขัดขืนการช่วยเหลือของนางอยู่ตลอด
“เมื่อฟื้นแล้ว ก็กินข้าวก่อนเถอะ อย่างอื่นค่อยว่ากัน”
“ข้าไม่หิว!”
หลี่หยางปฏิเสธเสียงแข็ง แต่ท้องกลับร้องขึ้นเสียงดัง จนหนิงอวี่หลุดขำออกมาก่อนจะถูกมองด้วยสายตาอาฆาตนางจึงได้เงียบปากไป
เมื่อเจียลี่นำอาหารเข้ามาวางเต็มโต๊ะแล้ว แต่เขายังไม่ยอมแตะต้อง หนิงอวี่จึงคิดว่าเขาน่าจะอายหากต้องกินของผู้อื่นต่อหน้านาง
“ข้าจะออกไปจัดการธุระ เจ้าก็กินไปก่อนเถอะ แล้วค่อยมาเจรจากัน” หนิงอวี่กล่าวเสร็จก็พาเจียลี่ออกจากห้องไป
หลี่หยางกลับตำหนักเผิงซีด้วยความขุ่นเคือง แม้หนิงอวี่บอกว่านางต้องการอยู่ที่หออาลักษณ์เพื่อใช้ความสามารถของตน แต่เขามักรู้สึกว่านางจงใจหลบเลี่ยงเขาอยู่บ่อยครั้ง นั่นทำให้เขาไม่พอใจ “ยินดีกับองค์รัชทายาทเพคะ” ลู่เสียนกล่าวยินดีกับเขาทันที เมื่อเห็นหลี่หยางก้าวเข้ามาในห้องทรงอักษร “เจ้าเข้ามาในนี้ได้อย่างไร” หลี่หยางขมวดคิ้วถามด้วยความไม่พอใจ ลู่เสียนในใจเขานับวันยิ่งแตกต่างจากสตรีที่เขาคอยปกป้องเมื่อครั้งที่อยู่ที่หอบุปผา “หม่อมฉันเห็นว่าห้องนี้ไม่ค่อยได้ทำความสะอาด จึงเข้ามาเช็ดถูให้เพคะ” รอยยิ้มบนใบหน้านางจางหายในทันที เมื่อสิ่งที่หลี่หยางตอบกลับมาไม่ใช่รอยยิ้มอย่างที่นางคิด “ช่างเถิด เจ้าไปเก็บของเถอะ รุ่งเช้า มามา จะพาเจ้าไปตำหนักของตัวเอง เจ้าจะได้มีอิสระในการทำสิ่งใดไม่ต้องคอยเกรงใจข้าอีก”ลู่เสียนหน้าชาเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ถึงแม้คำพูดของหลี่หยางจะดูเป็นห่วงนาง แต่แท้จริงแล้วกลับต้องการไล่ให้นางออกไปเสียมากกว่า “หม่อมฉันรับบัญชาเพคะ” ลู่เสียนเดินออกจากห้องไป นางกำมือแน่นจนเล็บจิกเข
หนิงอวี่ยกหนังสือที่อยู่ในมือขวางการจ้องมองของหลี่หยาง นางมิอาจจะทนต่อการจ้องมองอย่างลึกซึ้งนั้นของเขาได้ “องค์ชาย นี่หออาลักษณ์โปรดสำรวมด้วย” หนิงอวี่ตำหนิหลี่หยางกลาย ๆ “เช่นนั้นกลับตำหนักเผิงซีเถอะ ข้าจะได้ไม่ต้องสำรวม”หลี่หยางกล่าวพลางดึงหนังสือให้มือของนางออก หนิงอวี่จ้องมองคนที่อยู่เบื้องหน้าด้วยใบหน้าบึ้งตึง ทำให้หลี่หยางยอมปล่อยนางอย่างว่าง่าย เกรงว่านางจะเคืองจนไม่กลับไปตำหนักกับเขาแต่โดยง่าย “องค์ชายโปรดอภัย หม่อมฉันไม่คิดจะกลับไปตำหนักเผิงซี” หนิงอวี่กล่าวในสิ่งที่เขาไม่อยากจะฟัง “เหตุใดไม่กลับไป? ตอนนี้ข้าก็สามารถปกป้องเจ้าได้แล้ว เจ้าไม่ต้องกลัวสิ่งใดอีก” แววตาของหลี่หยางเต็มไปด้วยความดื้อรั้น “เหตุใดองค์ชายต้องปกป้องหม่อมฉันด้วย?” นางอยากรู้ว่าตนเองเป็นสิ่งใดในใจเขากัน “ข้า............” หลี่หยางนิ่งไปชั่วครู่ เขาไม่รู้จะให้คำตอบอย่างไรกับนางดี นางสำคัญอย่างไรในใจเขากันแน่ “ข้าเห็นเจ้าเป็นสหายของข้า” คำตอบของหลี่
หลี่หยางรู้สึกตัวขึ้นในยามเหม่า หนิงอวี่ยังคงหลับอยู่นางนั่งพิงอยู่กับเสาแท่นบรรทม โดยมีเขาหนุนตักของนางอยู่อย่างนั้น หลี่หยางจ้องมองใบหน้าขาวนวลนั้นอยู่นาน เขาอยากให้นางอยู่ข้าง ๆ เขาเช่นนี้ในทุกวันหลี่หยางช้อนร่างบางไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะวางให้นางนอนบนแท่นบรรทมอย่างสบายตัว มือของเขาลูบไล้ใบหน้านางอยู่นาน สายตาที่จดจ่ออยู่กับริมฝีปากอิ่มสีทับทิมสุกนั้น ทำให้ความกระหายในกายของเขาเริ่มพลุ่งพล่าน จนหลี่หยางต้องรีบลุกออกจากเตียงในทันที “ถงอู่ให้องครักษ์เฝ้าห้องบรรทมไว้ ห้ามผู้ใดเข้าไปหากนางตื่นแล้ว ค่อยส่งนางกลับหออาลักษณ์” หลี่หยางไม่ต้องการให้ใครรบกวนการนอนของนาง หากเพียงผ่านวันนี้ไป หากเขาไม่สามารถรับกระบี่เทพได้ ตำแหน่งรัชทายาทก็ยังคงเป็นของเจี้ยนหยาง นั่นทำให้เขาไม่ใช่คู่แข่งอีกต่อไป หนิงอวี่ก็สามารถกลับมาอยู่ข้างกายเขาได้ หรือหากวันนี้เขารับกระบี่เทพได้ ก็จะไม่มีผู้ใดกล้าทำร้ายเขาอีก นั่นก็ทำให้นางอยู่ข้างกายเขาได้เช่นกัน เช่นนั้นแล้วขอเพียงผ่านวันนี้ไป เขาจะไม่ยอมปล่อยมือนางอีก................................พิธีบูชากระบี่เทพ เริ่มขึ้นตั้งแต่ยามเหม่าเหล่าขุนนาง
หนิงอวี่ยังคงทำหน้าที่เน่ยเหรินผู้ต่ำต้อยได้ดีเช่นทุกวัน พอนานวันเข้านางกำนัลคนอื่น ๆ ต่างเบื่อหน่ายที่จะกลั่นแกล้งนาง ด้วยนางไม่คิดตอบโต้ เป็นเหมือนแม่น้ำที่โยนสิ่งใดลงไปก็ได้แต่จมหาย การใช้ชีวิตในหอซักของหนิงอวี่จึงง่ายขึ้น “เน่ยเหรินหนิงอวี่ ฝ่าบาทเรียกพบที่ห้องทรงอักษร”ฝางกงกง ขันทีข้างกายฮ่องเต้ตามหานางด้วยท่าทีรีบร้อน หนิงอวี่ที่กำลังง่วนอยู่กับการซักอาภรณ์ของเหล่าราชวงศ์ เริ่มมีสีหน้ากังวล ‘เหตุใดจู่ ๆ ฮ่องเต้ถึงเรียกพบนางได้’ ถึงจะหวาดกลัว แต่หนิงอวี่ก็ยอมเดินตามฝางกงกงอย่างว่าง่าย “หม่อมฉันเว่ยหนิงอวี่ถวายพระพรฝ่าบาท” หนิงอวี่ ยอบกายถวายพระพรตามธรรมเนียม พลางสายตานางกลับมองเห็นองค์ชายเฟยหยางที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะอักษร นางรู้ได้ทันทีว่าต้องเกี่ยวข้องกับบทความที่นางเขียนแน่ “เจ้าเป็นคนเขียนบทพรรณนาความงามให้องค์ชายเฟยหยางใช่หรือไม่” ฮ่องเต้ตรัสถามโดยไม่แสดงอาการใด ๆ “เพคะ” หนิงอวี่ไม่คิดปิดบัง ด้วยฮ่องเต้ต้องซักถามองค์ชายเฟยหยางอย่างแน่ชัดแล้ว “เจ้าไปเรียนรู้การกล่าวพรรณนาเ
ถงอู่ที่มองเห็นแววตาเจ็บปวดของหลี่หยาง เขาเองไม่เข้าใจความคิดของผู้เป็นนาย “องค์ชายจะไม่บอกความจริงกับนางหรือพ่ะย่ะค่ะ” “นางอยู่ห่างจากข้า จึงจะปลอดภัย” หลี่หยางยังคงมองไปยังจุดที่นางจากไป แม้บัดนี้จะมองไม่เห็นนางแล้วก็ตาม “เหตุใดองค์ชายถึงทำเช่นนั้น” ถงอู่ยังคงไม่เข้าใจหากห่วงใยทำไมไม่เก็บไว้ข้างกาย “การชิงตำแหน่งรัชทายาท ต้องมีผู้ไม่หวังดีก่อความวุ่นวายแน่ หากนางยังอยู่ข้างข้าคนเหล่านั้นต้องใช้นางเป็นเครื่องต่อรอง เช่นนั้นนางจะตกอยู่ในอันตราย โดยข้าเองไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นมีกำลังมากเพียงใดจึงไม่กล้าดึงนางเข้ามาเสี่ยง” หลี่หยางที่แม้ไม่พอใจที่นางอยู่ใกล้ชิดกับไป๋มู่เฉิน แต่นั่นก็ใช่ว่าเขาจะโกรธจนขาดสติไม่รับฟังเหตุผลใด ๆ “เจ้าไปสืบมา เหตุการณ์ที่อุทยานเป็นฝีมือใคร” หลี่หยางเชื่อคำพูดของหนิงอวี่ตั้งแต่แรก หากแต่นั่นคือข้ออ้างที่ดีที่จะทำให้ผู้คนคิดว่าเขาทอดทิ้งนางแล้วจริง ๆ………………….หนิงอวี่กลับมายังหอซัก ภายใต้ความประหลาดใจของเน่ยเหรินที่อยู่ตรงนั้น หากแต่นางไม่สนสายตาของผู้ใด
ราชสำนักซู่หนานบัดนี้เกิดความโกลาหลไม่น้อย ด้วยเรื่องน่าอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในวันที่องค์ชายหลี่หยางดื่มยาถอนพิษหนิงเซี่ย ทำให้ฝนที่ไม่เคยตกลงผืนแผ่นดินแคว้นซู่หนานมานานถึงห้าปี กลับมาตกหนักอย่างไม่มีเค้าลางมาก่อน ขุนนางจึงแตกออกเป็นสองฝ่ายคือฝ่ายองค์รัชทายาท และฝ่ายที่ต้องการให้แต่งตั้งองค์ชายหลี่หยางขึ้นเป็นรัชทายาทแทน ด้วยเป็นองค์ชายองค์โตและเป็นผู้นำสายฝนคืนสู่แคว้นอีกครั้ง “เช่นนั้นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า พิธีบูชากระบี่เทพหากองค์ชายหลี่หยางสามารถครองกระบี่เทพได้ ข้าจะยกตำแหน่งรัชทายาทให้กับเขา” ฮ่องเต้ฉินหนานประกาศกลางท้องพระโรง ทำให้เหล่าขุนนางหยุดโต้แย้งกันลงได้..........................ข่าวแต่งตั้งรัชทายาทใหม่แพร่ไปยังหมู่นางกำนัลอย่างรวดเร็ว หลายคนต่างคาดหวังว่าหลี่หยางจะสามารถครองกระบี่เทพได้ ราษฎรจะได้หลุดพ้นจากความทุกข์ยาก ด้วยบัดนี้แคว้นซู่หนานแห้งแล้ง ราษฎรอดอยาก หากไม่มีกระบี่เทพคอยปกป้องเกรงว่าแคว้นซู่หนานจะล่มสลายไปนานแล้ว ความกดดันนี้ส่งผลต่อสภาพจิตใจของหลี่หยางไม่น้อย ด้วยเขาเองไม่ได้คิดอยากจะเป็นรัชทายาท ไม่ได้อยากครองกระบี่เทพเขาเพียงอ