คณะที่เลือกเรียน คือ คณะชีววิทยาศาสตร์ สาขาเคมี มันไม่ง่ายเลยใช่ไหม ที่ผ่านมาฉันมาถึงจุดนี้ได้ไม่ใช่ความฉลาดหรือไหวพริบดีอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยความอดทน และขยันหมั่นเพียรควบคู่ไปด้วย จำไว้ว่า คนเก่งสู้คนขยันไม่ได้ ถ้าหากอยากประสบความสำเร็จในเป้าหมายที่วางไว้ ต้องพยายามทำในเรื่องที่สนใจให้ดีที่สุด อย่าหยุดทำ อย่าหยุดพัฒนาตนเอง
สองเท้าย่างก้าวเข้าห้องเรียน ดวงตาของฉันเบิกโตขึ้นด้วยความตกตะลึง เมื่อพบว่า ห้องเรียนที่กว้างใหญ่ดั่งเช่นหอประชุมในไทย ณ ตอนนี้ มีเพียงนักศึกษาคนเดียว ที่นั่งอ่านหนังสือเล่มเล็ก ทว่าปกปิดหน้าตาเขาผู้นั้นจนมิด ฉันผู้ที่ชำนาญด้านภาษาจีนในระดับหนึ่ง ก็อยากจะแสดงฝีมือสักหน่อย เลยตรงดิ่งไปยังเขาผู้นั้นโดยไม่คิด หวังว่าจะได้มิตรภาพดีๆ กลับมา " สวัสดีค่ะ " "......" "สวัสดีค่ะ!" น้ำเสียงที่ดังฟังชัดของฉันใช้ได้ผล เมื่อเขาปิดหนังสือลง เผยให้เห็นใบหน้าที่หล่อเหลากว่าผู้ชายทั้งหมดที่ฉันเคยพบเจอ ใบหน้าเรียว ผิวขาวสะอาด ริมฝีปากหนาได้รูป เทพบุตรลงมาเกิดชัดๆ ดวงตาคมเข้ม แต่เย็นชา มองมายังฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า "ฉันชื่อ..." "ไม่ได้ถาม และที่สำคัญไม่ได้ต้องการเป็นเพื่อนใหม่ " เขาหลุบตาลงอ่านหนังสือตามเดิม โดยทิ้งฉันไว้ให้ยืนหน้าชาอยู่ตรงนั้น 'หว้า...ปากร้าย ไร้มารยาท แถมนิสัยเสียอีก ช่างต้องข้ามกับหน้าตาจริงๆ' "กำลังต่อว่า ผมอยู่ในใจเหรอไง?"เขาพูดขึ้นอย่างหน้าตาเฉย ราวกับอ่านใจเธอได้ "เอ๊ะ..ปะ..ปะเปล่าคะ ใครจะกล้า..." "ดี!" ยิ้มแห้งๆ ปรากฏบนใบหน้าของฉัน จึงตัดสินใจไปนั่งหน้าสุด เพื่อให้ห่างไกลจากสายคนใจร้าย ที่เธอให้อับอายต่อตัวเองในวันแรกของการเรียน ทั้งที่ตนไม่เคยรวบรวมความกล้าเข้าหาผู้ชายมาก่อน เหตุผลที่เธอยังซิงอยู่ตอนนี้ เพราะความขี้อายของตน และนั่นคือจุดอ่อนที่ซ่อนไว้ไม่ให้ใครรู้ การเรียนในคาบแรกวันนี้ราบรื่นผ่านไปด้วยดี เพียงอาจารย์นั้นดันมอบงานวิจัยแบบกลุ่มที่ต้องทำร่วมกันกับเพื่อน แต่ทว่าปัญหาใหญ่มันอยู่ที่เธอไม่มีกลุ่มให้ร่วมด้วย คงเป็นเพราะเธอคือ นักศึกษาต่างชาติเพียงคนเดียวในสาขา ทั้งที่สื่อสารได้เป็นอย่างดี แต่พวกเขากลับเลือกชนชาติเดียวกัน เสียงถอนหายใจ หนแล้ว หนเหล่า สร้างความหงุดหงิดใจต่อใครบางคน ที่แอบมองเธอตลอดทั้งคาบเรียน "สวัสดี ฉันเจียอี" เสียงใสๆ ของหญิงสาว หน้าหมวย ดูน่ารัก ผมดำประบ่า สมเป็นสาวจีน มาพร้อมรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร ทำให้เธอใจชื้นขึ้นมาบ้าง จึงเผยยิ้มกว้างตอบกลับอย่างเป็นมิตรเช่นเดียวกัน "สวัสดี ฉันมิริน" "ชื่อเพราะมาก ชอบจัง" "ขอบคุณนะ" "ใช่สิ! กลุ่มเรายังขาดสมาชิก เธอมาร่วมกลุ่มวิจัยกับเราดีไหม?" "จริงเหรอ...ได้สิ ยินดีมากเลย" มิริมยิ้มร่าอย่างมีความหวัง "นั่งไง สมาชิกกลุ่มเรา หล่อใช่ไหม?" "......" แต่ต้องหยุดยิ้มลง เมื่อมองไปยังสองชายหนุ่มร่วมกลุ่มเดียวกัน ชายหนุ่มที่นั่งตรงมุมห้องชูมือยิ้มทักทายตน แต่อีกคนกลับเป็นคนที่เธอพยายามจะไม่ยุ่งเกี่ยวด้วย แม้แต่น้อย "สวัสดี ฉันเฉิง ส่วนเจ้านี่ ไช่อิงเหวิน เป็นเพื่อสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก ฉลาด และไหวพริบดีมาก หากมีเขาอยู่...งานนี้วิจัยหายห่วง" "เวอร์น้า..." "อ๋อ..ค่ะ" ฉันทำได้เพียงตอบอย่างจำใจ ทั้งที่เขาเอาแต่นั่งอ่านหนังสือ "อย่าใส่ใจเลย เขาเป็นแบบนี้ตั้งแต่เกิดแล้ว แต่หมอนี่เก่งจริงๆ นะ " ชายหนุ่มกอดคอเพื่อนชายที่เติบโตด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก "อยากตายใช่ไหม?" "ดุเกิ้น!!" เจียอีอมยิ้มด้วยความคุ้นชิน "มีอะไรให้ช่วยบอกได้ตลอดเวลาเลยนะ ขอวีแชทหน่อยสิ ไว้ติดต่อเรื่องงานกัน" "ได้สิ!" "ไม่ต้อง!! นายว่างมากเหรอไง" ไช่อิงเหวินทักท้วงด้วยท่าทางเย็นชา เขาเลิกคิ้วสูงขึ้น เพ่งมองเพื่อนสนิทที่ท่าทีเปลี่ยน ชายหนุ่มเหลือบมองมิรินด้วยแววตาขุนเคืองใจ 'เอ๊ะ!! โกรธอะไรของเขา" มิรินเมินหน้าหนีด้วยความเอือมระอา เพราะเธอไม่เข้าใจว่าทำไมคนเย็นชาอย่างเขา ถึงยังมีเพื่อนได้ หากเป็นเธอคงหลีกหนีให้ไกบ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับคนแบบนี้เด็กขาด บทสนทนาได้เริ่มพูดคุยเพื่อวางแผนกันถึงเรื่องการค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับงานวิจัยที่จะทำขึ้นร่วมกัน "ตกลงกันว่าเราจะแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งค้นคว้าหาข้อมูล อีกกลุ่มหนึ่ง พิมพ์ข้อมูล และทำรูปเล่มส่งอาจารย์ ดีไหม?" เจียอีเอ่ยขึ้น "ดี! งั้นฉันกับมิรินมาค้นคว้าหาข้อมูลด้วยกัน จะได้สนิทกันมากกว่านี้ด้วย! แถมอาสาพาเธอเที่ยวไต้หวันด้วยดีไหม?" เขายื่นมือเข้าหาเธอเพื่อกระชับมิตรไมตรี อันที่จริงเฉิงแอบสนใจเธอมากอยู่เหมือนกัน เลยถือโอกาสนี้ทำความรู้จักกันให้มากยิ่งขึ้น "ไม่ได้!!" เสียงเข้มเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ พร้อมใช้หนังสือตีมือของเขาอย่างจงใจ "......" มิรินมองเขาด้วยความไม่เข้าใจ มีเพียงแววตาที่เย็นชา อยากนักที่เธอจะอ่านใจชายคนนี้ได้ "เธอเป็นคนไทยไม่ใช่ใครไต้หวันอย่างเรา มีอะไรมากมายที่ต้องเรียนรู้ และทำความคุ้นเคยอีกเยอะ ส่วนเฉิง นายยังขาดความรอบคอบจนเคยชิน อาจทำเสียงานได้ ส่วนเจียอี เธอจริงจังกับงานวิจัยไม่มากพอ เพราะเมัวแต่สังสรรค์ ขืนปล่อยไว้อาจทิ้งภาระงานที่หนักอึ้งให้เธอได้ " น้ำเสียงที่ดูจริงจังของเขา ทำเอาทุกคนหันหน้าหนีด้วยความเขินอาย เพราะสิ่งที่เขาพูดล้วนเป็นความจริงทุกอย่าง เป็นเพื่อนเติบโตกันมาด้วยกัน เรียนที่เดียวตั้งแต่ประถม เรียนผ่านมาถึงมหาวิทยาลัยได้ก็เพราะอาศัย มันสมอง และสองมือ ของไช่อิงเหวินผู้นี้ 'เอ๊ะ!เป็นครั้งแรกเลยที่ได้ยินเขาพูดมากขนาดนี้ แถมมีเหตุผลซะด้วย เหมือนเขาจะเป็นห่วงเรา หรืองานกันแน่' เธอทำได้เพียงแค่คิดในใจเท่านั้น "แล้วจะให้เธอ..." เจียอีมองหน้าชายเบื้องหน้าตน ด้วยความสงสัยใคร่รู้ "ฉันดูแลเธอเอง ค้นคว้าหาข้อมูล พิมพ์งาน วิเคราะห์ และจัดทำรูปเล่ม ส่วนพวกนายช่วยเท่าที่ตนเองถนัดเหมือนที่เคยเป็นมา " น้ำเสียงเรียบเฉยทำให้ทุกคนตกตะลึง "ฮ๊ะ!! " เสียงอุทานของทั้งคู่พร้อมกันจนน่าประหลาดใจ "ฉันฉลาด รอบคอบ มีความรับผิดชอบสูง แค่นี้พอไหม เลิกประชุม!! " เขาลุกขึ้นยืนพร้อมสะพายกระเป๋าข้างใบใหญ่ ดูคุ้นตาเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน "เธอนะ!....ตามฉันมา" น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นเมื่อพบว่าเธอยังนั่งเหม่อลอย เหมือนคิดอะไรไปไกลแสนไกล "เอ๊ะ!ดะ...ได้" มิรินเรียกสติตนกลับมาลุกขึ้นเดินตามเขาไปอย่างง่ายดาย คนตัวสูงเช่นเขาก้าวเท้ายาว เดินไวกว่าเธอเสียอีก ระยะทางที่เดินมาด้วยกันไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย เป็นครั้งแรกที่ มองรอบๆ แล้วผ่อนคลายความกังวลลงบ้าง บรรยากาศดีเหลือเกิน สายลมที่พัดอ่อนๆ แม้จะแอบหนาวสักนิด คล้ายบรรยากาศทางภาคเหนือของไทย แต่แตกต่างตรงที่มีต้นเหมย ฮวาพร้อมดอกบานสะพรั่งเต็มต้น ทั้งสองข้างทาง เสียงสายน้ำใสที่ไหลริน มองเห็นสิ่งมีชีวิตใต้น้ำได้อย่างชัดเจน มันสวยงามถึงเพียงนี้ ณ ตอนนี้มีเพียงเธอและเขาเดินอยู่ด้วยกัน แววตาสวยมองแผ่นหลังกว้างของเขา ที่ไม่แม้แต่จะพินหลังมามองตนเลยสักนิด "เชอะ! จะสนใจเขาทำไม ว้าวสวยจัง" ผีเสื้อตัวน้อยแสนสวยบินวนรอบตัวเธอ มิรินเผยยิ้มออกมาอย่างลืมตัว รอยยิ้มร่าเริงบวกกับใบหน้าสวย จะรู้ไหมว่า ใครบางคนเริ่มวันไหวเข้าแล้ว "ทำไมถึงมาเรียนที่นี่ มันไกลบ้าน เป็นผู้หญิงตัวคนเดียว ไม่กลัวหรือไง?" "ก็แค่ อยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง" "ไร้สาระ โง่เหรอไง?" "ไม่ได้โง่ แค่ชอบ นายไม่เคยชอบอะไรบ้างเหรอ..ทำตัวเย็นชาอยู่ได้" "เย็นชา..." "ใช่! ว่าแต่เราจะไปไหนกัน" "ไม่บอก!" "เอ๊ะ! " แม้จะแอบสงสัยว่าเขาจะพาเธอไปที่ใด แต่กลับถูกดึงดูดความสนใจ ด้วยดอกเหมยฮวา ยังคงร่วงรวยไปตามแรงลม ปลิวไสวไปทั่ว ช่างงดงามอะไรถึงเพียงนี้ เหมือนกำลังเดินอยู่ในเทพนิยายเรื่องหนึ่งที่เคยเปิดอ่าน เพียงแต่ในบทนั้น เธอเดินเคียงคู่กับคนรักอย่างโรแมนติก แค่คิดแก้มกลมก็แดงก่ำราวกับมะเขือเทศอย่างไม่รู้ตัว มิรินคงลืมไปแล้วว่ารอยยิ้มของเธอสวยงามเพียงใด จนเดินนำหน้าเขาผู้นั้น หากเธอลองสังเกตสักนิด จะเห็นได้ว่าใครคนหนึ่งเผยยิ้มกว้างถึงตา พร้อมแววตาเปล่งประกายเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขล้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะแผนการที่ตนวางไว้สำเร็จไปอีกก้าวหนึ่งแล้ว 🌿บันทึกรักฤดูใบไม้ผลิ 🌿 ความหวั่นไหวอย่างแปลกประหลาด เกิดขึ้นกับผมเป็นครั้งแรก ตรงทางเข้ามหาวิทยาลัย เสียงดังของหัวใจที่เต้นเร็วผิดปกติ มันแทบจะทะลุออกมาเสียให้ได้ ส่งผลกระทบให้ผมปั่นจักรยานต่อไม่ไหว ทำใจอยู่นาน กว่ารวบรวมกำลังได้ แม้จะขับผ่านเธอไปแล้ว แต่ใครจะรู้ว่ามือเจ้ากรรมยังคงสั่นเครือ คนอะไรน่ารักถึงเพียงนี้ แถมเรียนสาขาเดียวกัน ผมถือว่า สวรรค์เป็นใจให้ผมได้เจอเธอ.. เป็นครั้งแรกที่ผมชื่นชอบฤดูใบไม้ผลิขึ้นมา ผมที่ยาวสลวยพลิ้วไปตามแรงลม เพียงรอยยิ้มสดใสของเธอก็อิทธิพลต่อใจของผมเสียแล้ว ณ ช่วงเวลานี้พร้อมทำทุกอย่างเพื่อจะเธอ...มันคือ ความรักใช่ไหม? แล้วผมจะทำอย่างไรให้รับรู้ได้? ไช่อิงเหวินนับจากวันนั้น เฉิงไม่เคยปรากฏตัวในคาบเรียนอีกเลย แม้ว่า ไช่อิงเหวิน เจียอี และมิริน จะวีแชทหาเขาก็ไร้ซึ่งการตอบกลับมา ทุกอย่างมืดแปดด้าน เพราะพวกเขากังวลว่า เฉิงจะคิดทำร้ายตนเอง ตลอดชีวิตของเฉิง หากตนได้หมายปองหญิงสาวแล้ว ไม่เคยผิดหวังเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่ครั้งนี้เขาจริงจังกับมิรินถึงขั้นวาดฝันเรื่องแต่งงานไว้ล่วงหน้า แม้จะดูเหมือนเป็นคนเจ้าชู้ แต่ไช่อิงเหวินรู้ดีว่าเพื่อนตนไร้เดียงสากว่าภาพลักษณ์ ถึงจะคบหาหญิงสาวมากมายแต่ก็ไม่เคยล่วงเกินพวกเธอเลย ไช่อิงเหวิน และมิริน ยืนอยู่หน้าห้องหมายเลข 609 ที่เต็มไปด้วยกล่องพัสดุมากมายวางไว้ บ่งบอกว่าห้องนี้ไร้ผู้อาศัยมานานแล้ว 'ก๊อก ก๊อก ก๊อก'"เฉิง เฉิง นายอยู่หรือเปล่า ฉันไช่อิงเหวิน เปิดประตูหน่อย""ดูจากของพวกนี้แล้ว เขาไม่อยู่ที่นี่นานแล้วค่ะ" มิรินกุมมือเขาไว้เพื่อปลอบโยน ทำให้ไช่อิงเหวิน คลายความกังวลเล็กน้อย "ยังมีอีกที่หนึ่ง ผมว่าเฉิงน่าจะอยู่ที่นั่น!" แววตาดูจริงจังของไช่อิงเหวิน ทำให้มิรินพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย แม้ภายในใจจะแอบคิดว่าตนเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เฉิงเป็นแบบนี้ เมื่อนึกย้อนไปก่อนหน้านั้น เฉิงยิ้มร่าพร้อมดอกไม้ช่อใหญ่
กริ๊ง กริ๊ง เสียงออดหน้าห้องดังขึ้น ผู้เป็นแม่รีบวางมือจากโต๊ะอาหาร มุ่งตรงไปเปิดประตูด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ชุดสวย ลายดอกไม้สีชมพู ที่แม่เคยซื้อเก็บไว้ แถมยังพกติดตัวไปทุกที่ ราวกับเป็นของสำคัญที่ขาดไม่ได้ ในที่สุดก็ได้สวมใส่ดั่งใจหวัง"สวัสดีค่ะ ฉันเฟยหรง แม่ไช่อิงเหวิน ขอโทษที่ให้รอนานนะคะ" น้ำเสียงนุ่มนวลกล่าวทักทายสตรีเบื้องหน้าตน ที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน "ไม่เลยค่ะ คุณสวยจังเลย" แม่ฉันยิ่งปลื้มใจในความสวยเป็นธรรมชาติของเธอ "คุณก็สวยมากค่ะ" เธอตอบแก้เขิน ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ราวกับเป็นเด็กสาว"เชิญคะๆ เราเตรียมอาหารดีๆ ไว้ต้อนรับคุณโดยเฉพาะ""เอ๊ะ! ขอบคุณมาก ฉันเองก็เตรียมราเม็งรสเด็ดของร้านมาให้ลองทานด้วยเหมือนกัน " เธอยิ้มสวยวางกล่องราเม็งร้อนๆ ที่ห่อหุ้มด้วยผ้าสีสันสดใสลงบนโต๊ะอาหารอย่างประณีต ไช่อิงเหวินดึงเก้าอี้ออกเพื่อให้แม่นั่งใกล้ตน เฟยหรงเหลือบมองลูกชายด้วยความรู้สึกปลื้มใจ บทสนทนาเริ่มขึ้น ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเรียบง่าย ค่ำคืนนี้มีเพียงเสียงหัวเราะของพวกเขาดังก้องไปทั่ว ไช่อิงเหวินจ้องมองมิรินยิ้มแก้มปริ อย่างสุขสมใจปรารถนา แต่แววตาเขาดูกังวลขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะก
ความเงียบนั้นหนาวสะท้านไปทั้งตัว คนทั้งคู่นั่งคุกเข่าอย่างสงบนิ่ง ต่อหน้าก้องภพ และหลิน ที่จ้องดูคนทั้งคู่ด้วยความรู้สึกมากมายที่อยากจะพรรณนาออกมาเป็นคำพูดได้ โดยเฉพาะก้องภพที่รู้สึกผิดหวังกับลูกสาว แม้ว่าการคบหาดูใจกันนั้นเป็นเรื่องธรรมดาของหนุ่มสาวสมัยนี้ แต่สำหรับตนผู้ที่กังวลใจว่าผู้ชายแปลกหน้าคนนี้ ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าของเขาเป็นอย่างไร ถึงเข้ามาในชีวิตลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของตนเองได้ หรือว่ามีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง หากเป็นเช่นนั้น ผู้นำครอบครัวเช่นเขา ไม่มีทางให้เกิดเหตุร้ายขึ้นกับลูกๆ เป็นแน่ "นาย..." เสียงทุ้มใหญ่ทำให้ชายหนุ่มขยับตัวเล็กอย่างนอบน้อมถ่อมตน"ชื่อไช่อิงเหวิน ครับ" ความสงบนิ่งอย่างใจเย็นของชายหนุ่ม ทำให้ผู้เป็นพ่อลังเลเล็กน้อย "ตามฉันมา""พ่อค่ะ!""เงียบ..คุยกับแม่ไป เรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างลูกผู้ชาย" สีหน้าและท่าทางที่จริงจังของพ่อ มิรินส่งแววตาเว้าวอนให้พ่อเมตตาไช่อิงเหวิน สักนิด"แม่ไม่ติดขัดอะไรหรอกนะ! แค่ความหล่อเหลาของเขาก็ชนะใจแม่แล้ว อิอิ""แม่!!" มิรินโอบกอดแม่อย่างสุขใจ คลายความกังวลลงไปอีกขั้นหนึ่ง หลินเองก็เบื่อการปั้นหน้าเมื่ออยู่ต่อหน้าสามี เธอยิ้
ไช่อิงเหวินมีแผนว่าจะพาฉันนั่งกระเช้าคริสทัลชมวิวไร่ชาที่เมาคง เราทั้งคู่เดินทางด้วยรถไฟใช้เวลานานมากจนพลบค่ำ กว่าจะถึงที่หมาย จึงต้องหาที่พักเพื่อค้างคืนกันเสียก่อน เพื่อภารกิจในวันใหม่อีกครั้ง ทุกอย่างเหมือนฝัน ฉันแทบจะเป็นเจ้าหญิงของเขา ทุกเรื่องราวของฉันอยู่ในสายตาเขาตลอดเวลา ช่างมีความสุขเหลือเกิน กริ๊ง...กริ๊ง...กริ๊งเสียงนาฬิกาปลุกมือถือดังขึ้น ตอนเจ็ดโมงเช้า พบว่าไช่อิงเหวินนั่งอ่านหนังสือตรงระเบียงห้องพักสีหน้าที่ดูจริงจัง มาพร้อมความหล่อเหลาสงบสุขุมราวกับสายน้ำ ดูมีเสน่ห์มากมายจนฉันแอบสงสัยไม่ได้ว่า เขาคนนี้คือ ผู้ชายของฉันจริงๆ "มองแบบนี้.. ผมขึ้นเตียงอีกครั้งดีไหม" แม้น้ำเสียงจะดูเรียบเฉย แต่นัยน์ตาที่เปล่งประกายฉายความต้องการ ทำเอาฉันเก็บทรงไม่อยู่จนได้ "เอ๊ะ! สายแล้ว"ฉันรีบลุกจากที่นอน อาบน้ำ และจัดธุระส่วนตัวเหมือนที่เคยทำ จะว่าไปตั้งแต่ครั้งนั้นเขาก็ไม่เคยล่วงเกินฉันอีกเลย คงเป็นเพราะเหนื่อยล้าจากการทำงานวิจัย อย่างน้อยไช่อิงเหวินก็ค่อยสนับสนุนฉันในเรื่องที่ฉันต้องการ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเรามุ่งตรงไปตามเส้นทางที่มีผู้คนพลุกพล่าน เพราะเป็นตลาดนัดในไทเป รวบร
มือหนาเชยคางของหญิงสาวให้เงยขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ไช่อิงเหวินบรรจงจูบ วาบหวานให้มิรินก่อนจะค่อยๆ เลื่อนมือต่ำลงมาปลดกระดุมเสื้อของเธอออกเผยให้เห็นผิวขาวเนียน และชุดชั้นในสีขาวลายลูกไม้ ชายหนุ่มบรรจงถอดมันออกอย่างเบามือเล่นเอามิรินใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย"อย่าเอาแต่จ้องสิ"ไช่อิงเหวินได้สติกลับมาอีกครั้ง แขนแกร่งดันให้หญิงสาวนอนราบไปกับโซฟานุ่ม ร่างสูงโน้มหน้ามาพรมจูบทั่วหน้าอกอันอวบอิ่ม ของหญิงสาวพร้อมกับค่อยๆ ลากลิ้นร้อนไปทั่วยอดเนินอกสีชมพูของเธอจนมันเปียกชุ่มไปด้วยน้ำลายสีใสของเขา ริมฝีปากนั้นทั้งขบเม้ม และดูดดึงมันจนเกิดเป็นรอยแดง ดูภายนอกอาจจะรู้สึกเจ็บแทนแต่ทว่ามิรินกลับครางออกมาเบาๆ ในลำคอ"อ๊าา..อืม" เสียงครางอันไพเราะที่เผลอออกมา ทำให้ชายหนุ่มยิ้มอย่างพึงพอใจมือหนาเลื่อนลงมาถอดกระโปรงของมิรินออกซึ่งเธอก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการขยับตัวให้ถอดออกอย่างง่ายดาย ณ ตอนนี้ร่างกายของหญิงสาวก็เปลือยเปล่าไร้สิ่งใดปกปิดความงดงามที่ซ่อนไว้อีกต่อไป ไช่อิงเหวิน จึงไม่รีรอที่จะถอดเสื้อผ้าทั้งหมดของตัวเองออกเช่นกัน นัยน์ตาของหญิงสาวกวาดสายตามองตั้งแต่ใบหน้าหล่อ
วันเวลาผ่านไปครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกอย่างเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ไม่มีอะไรยั่งยืน แม้กระทั้งดอกเหมยฮวาที่ร่วงโรยจนหมดต้น มีพียงกิ่งก้านให้ดูต่างหน้า ยืนอย่างมั่นคง เพื่อรอใบและดอกเบ่งบานงดงามอีกครั้ง เหมือนเขาที่ยังหาข้ออ้างไปรับไปส่งมิรินเหมือนทุกครั้ง มีบ้างครั้งที่มีของติดไม้ติดมือมาให้เธอ มีเพียงหญิงสาวที่เข้าใจว่าทุกอย่างที่เขาทำให้เธอ เป็นหน้าที่ของเพื่อนที่ดีต่อกันเท่านั้น เกิดขึ้นได้อย่างไรนะเหรอ คงเป็นครั้งนั้นเมื่อไช่อิงเหวินไม่รู้ที่อยู่ห้องพักของเธอ เพียงเพราะไม่ยอมปลุกให้ตื่น ตรงกันข้ามกับวนรถจักรยายคู่ใจจนรุ่งสาง เพียงเพื่อให้เธอได้นอนหลับสบาย แม้ตนจะเหนื่อยล้าเพียงใดก็ตาม "เย้! สุดท้ายก็เสร็จเรียบร้อย" เจียอีเอนกายพิงเก้าอี้อย่างผ่อนคลาย"ต้องฉลองสักหน่อย" เฉินยิ้มกว้างอย่างสุขใจ ดวงตามองมิรินอย่างอ่อนโยน แม้ตนจะรู้ว่าไช่อิงเหวินคิดอย่างไรกับมิริน แต่เขาก็อยากลงสนามนั้นดูสักตั้ง เพราะมิรินยังไม่ได้เป็นอะไรกับไช่อิงเหวิน เขายังคงมีสิทธิ์ ก่อนจะปิดภาคเรียนลง "ไช่อิงเหวิน เราไปสูดอากาศกันหน่อยไหม!" "อืม.." แม้รู้ว่าเฉิงต้องการอะไรจากเขา ชายหนุ่มมองหน้าหญิงสาวเพียงหวังให้เธอ