หลังจากผ่านไปกว่าสิบวัน หงลี่ก็เริ่มดีขึ้น นางทำใจได้แล้ว เพราะถึงทำใจไม่ได้นางก็ทำอะไรไม่ได้ ครอบครัวที่ถูกเนรเทศไปก็ยังดีกว่าถูกประหาร นางได้คิดก็เพราะมีนางกำนัลวัยกลางคนที่นำอาภรณ์และข้าวของมาให้กับนางได้เตือนสตินางเช่นนี้ ใช่ อย่างน้อยพวกเขาก็ยังไม่ตาย แค่เพียงย้ายถิ่นฐานไปอยู่แคว้นอื่น หากมีวาสนาภายหน้าอาจจะได้พบกัน ส่วนนางบัดนี้มาอยู่ในวังหลวง ไม่ได้ทำการงานอะไร เพียงนั่งทอดถอนหายใจทิ้งไปไว้ๆ
นางมาอยู่ที่นี่ได้เพียงสองวันก็มีสาวใช้นางหนึ่งมาแนะนำตัวกับนาง ว่ามีชื่อว่าฟางเอ๋อ ได้รับมอบหมายให้มาเป็นนางกำนัลประจำตัวของพระสนม แม้นางจะเป็นสนมขั้นต่ำสุด แต่ก็ยังมีคนรับใช้ และเมื่ออยู่ๆ ไปก็ได้รับความรู้จากนางกำนัลที่มารับใช้ว่านางคือพระสนมขั้นเฟย ที่เป็นชั้นต่ำสุดในบรรดาพระสนม และพระสนมทุกคนในวังหลวงก็ใช่ว่าจะได้ถวายตัวให้แก่ฮ่องเต้ บางคนก็ไม่เคยได้พบหน้าพระองค์เลยด้วยซ้ำ ฟางเอ๋อยกตัวอย่างฮ่องเต้รัชกาลที่ผ่านมาให้ฟัง
ส่วนฮ่องเต้องค์ใหม่พระองค์นี้ เพิ่งจะรับนางสนม และพระชายาเข้ามาเป็นชุดแรก ส่วนฮองเฮายังไม่ได้สถานปนาเพราะพระองค์เพิ่งขึ้นครองราชย์ หงลี่นั่งรับฟังการบอกเล่าของนางกำนัลคนใหม่ของตนเองไปตามแกน นางไม่ได้สนใจเรื่องฮ่องเต้พระองค์เลยนี้สักนิด แต่นางเฝ้าแต่สงสัยว่าบิดาไปทำสิ่งใดให้เป็นที่ขัดเคืองพระทัยของพระองค์กันแน่ ถึงได้รับโทษหนักหนาปานนั้นทั้งครอบครัว
และในบางเวลาความคิดคำนึงของนางก็หวนไปถึงอดีตคนรักซ่งหลี่หมิง ว่าป่านนี้เขาจะเป็นเช่นไรบ้าง เขาจะรับรู้ข่าวบ้างหรือไม่ว่าบัดนี้ครอบครัวของนางไม่ได้อยู่ที่หนิงโจวอีกแล้ว เพราะครอบครัวทั้งหมดถูกเนรเทศส่วนตัวของนางถูกจับตัวขึ้นรถม้ามายังเมืองหลวง
และบัดนี้กลายมาเป็นพระสนมของฮ่องเต้ แต่ถึงแม้หลี่หมิงจะรู้ข่าวนี้เข้า เขาก็คงจะสะใจกระมังที่ครอบครัวนางต้องเผชิญเคราะห์กรรมและมีอันต้องพลัดพรากจากกันเช่นนี้
ส่วนนางสตรีแพศยาที่เขาใช้เรียกนั้น ก็มานั่งจับเจ่าอยู่ในวังหลวงอย่างไม่รู้ชะตากรรมตัวเองว่าต่อไปจะเป็นเช่นไร นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางไม่ถูกเนรเทศไปพร้อมกับครอบครัวแต่กลับถูกจับตัวมาไว้ในวังหลวงแห่งนี้
หลังจากนางกำนัลเสร็จงานประจำวันของตนเอง และออกไปจากตำหนักหลังน้อยของนายหญิงของตนแล้วก็เดินไปพักผ่อนในห้องพักด้านหลังที่เป็นห้องพักของนางกำนัลรับใช้ ส่วนในเรือนหลังเล็กหรือเรียกกันว่าตำหนักฉางโหรวแห่งนี้ ก็มีเพียงพระสนมหยูพำนักอยู่เพียงผู้เดียว
อยู่ๆ ก็มีร่างหนาในอาภรณ์สีเข้มร่างหนึ่ง ปรากฏขึ้นที่หน้าประตูตำหนัก เขาผลักบานประตูตรงหน้าเรือน ออกช้าๆ แล้วก้าวเข้าไปในเรือนแล้วปิดประตูลง
แต่ด้านหน้าเรือนนั้นยังมีร่างอีกสองสามร่างปรากฏขึ้น พวกเขาคือขันทีประจำพระองค์ที่ตามเสด็จฮ่องเต้มาที่นี่ โดยที่ไม่ได้บอกผู้ใดทั้งสิ้น เดิมทีจะเสด็จมาเพียงลำพัง แต่ขันทีคนสนิทไม่ยินยอมด้วยความเป็นห่วง จึงได้ตามเสด็จมาและเฝ้ารออยู่ด้านนอก
ร่างหนาล่ำสันที่สวมเพียงเสื้อคลุมเนื้อมันลื่นสวมสบายสีเข้ม ต่างจากวันอื่นๆ ที่พระภูษาฉลองพระองค์เป็นสีทองแต่วันนี้ไม่ต้องการเปิดเผยตัวแก่สตรีนางนั้น ที่ในคราวแรกไม่คิดว่าจะมาพบหน้านาง คิดว่าจะให้นางเข้ามาอยู่ในตำแหน่งสนมขึ้นต่ำที่สุด
ทั้งที่ในคราแรกจะส่งไปที่แผนกซักล้างให้ทำงานรับใช้ผู้อื่นเสียให้เข็ด แต่ด้วยความรักที่ยังหลงเหลืออยู่ในส่วนลึกของหัวใจ กลับทนเห็นนางลำบากไม่ได้ จึงได้ตัดสินใจเปลี่ยนคำสั่งเสียใหม่ให้นางไปเป็นสนม
ขณะนั้นหยูหงลี่หรือบัดนี้มีฐานะเป็นพระสนมหยู กำลังยอดทอดถอนใจอยู่ที่ริมหน้าต่างบานหนึ่ง ที่อยู่ด้านหลังฉากกั้นที่เวลานางจะอาบน้ำหรือเปลี่ยนอาภรณ์ฟางเอ๋อนางกำนัลน้อยก็จะปิดหน้าต่างบานนี้เอาไว้ แต่บัดนี้หงลี่เปิดมันออกกว้างเพื่อยืนจ้องมองดวงจันทร์กลมโตที่ใสกระจ่าง พลางส่งใจไปถึงคนผู้หนี่งที่นางซุกซ่อนเอาไว้ในซอกหลืบของหัวใจ
แต่แล้วอยู่ๆ ก็มีมือหนาข้างหนึ่งโอบกอดนางจากทางด้านหลัง ทำให้หงลี่ตกใจมาก รีบพลิกกายหันไปมองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของนางอย่างแนบชิด และแล้วดวงตากลมโตของหงลี่ก็เบิกกว้าง หลี่หมิงชายที่กำลังอยู่ในความคิดคำนึงของนาง เขามาที่นี่ได้อย่างไรกัน
“ หลี่หมิง ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร ที่นี่คือวังหลวง ท่าน….เข้ามาได้อย่างไรกัน แล้วรู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี่ ” หงลี่เมื่อจ้องมองใบหน้าหล่อคมคายของคนตรงหน้าจนแน่ใจแล้ว นางก็ถามออกไปรัวเร็ว เพราะตกใจและแปลกใจที่ได้พบเขาที่ในตำหนักของตนเองที่อยู่ในวังหลังแถมยังตั้งอยู่ปลายแถวสุดแนวของเหล่าตำหนักน้อยใหญ่ที่เรียงรายอยู่มากมายนัก
นางแทบไม่เชื่อสายตาว่าจะได้พบใบหน้าหล่อคมคายของเขาอีกครั้ง
“ ทำไม ตกใจมากหรือที่ได้พบหน้าข้าอีกครั้ง แต่ที่ข้ามาหาเจ้าที่นี่ก็ไม่ได้คิดอะไรกับเจ้าหรอกนะ แค่อยากจะมาดูหน้าสตรีที่เคยคิดว่าตนเองสูงส่งหนักหนา ทั้งที่ชาติกำเนิดก็แค่เพียงบุตรีของขุนนางบ้านนอกผู้หนึ่งเท่านั้น และบัดนี้เป็นเช่นไรเล่า เจ้าก็เหลือเพียงตัวคนเดียว แถมยังต้องเข้ามาอยู่ในวังหลวงแห่งนี้ ด้วยฐานะที่ต่ำต้อยที่สุดในวังหลังของฮ่องเต้ ”
หลี่หมิงเอ่ยขึ้นขณะที่จ้องมองใบหน้าหวานของสตรีตรงหน้า
“ ข้าตกใจที่เห็นท่านใช่ แต่ข้าไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น แม้บัดนี้ข้าจะถูกนำเข้ามาอยู่ในวังหลวง แต่ก็ยังมีฐานะเป็นถึงพระสนมของฮ่องเต้ แม้จะอยูในลำดับชั้นอะไรก็ยังสูงส่งกว่าท่านที่เป็นแค่ช่างไม้บ้านนอกก็แล้วกัน ” หงลี่เชิดหน้าขึ้น นางเมินมองไปทางอื่นเพื่อจะไม่ต้องเห็นหน้าของเขาที่พอพบหน้ากันก็ใช้วาจาเสียดแทงนางทันที
“ เป็นเพียงสนมปลายแถว แต่ก็ยังอดจะเย่อหยิ่งตามนิสัยเดิมไม่ได้ แต่เสียใจด้วยนะ ฮ่องเต้ยกเจ้าให้เป็นนางบำเรอของข้าแล้ว ข้ากับฮ่องเต้เป็นสหายกัน แม้ข้าจะเป็นช่างไม้ต่ำต้อย แต่ก็ได้รับพระราชทานนางบำเรอเช่นเจ้าให้มาปรนนิบัติข้า คืนนี้ทำหน้าที่ของเจ้าให้ดีก็แล้วกัน ”
หลี่หมิงกระซิบเสียงแหบห้าวใกล้กับใบหูเล็กของสตรีที่สูงเพียงไหล่ขอเขาที่บัดนี้เมินหน้าไปทางอื่นที่ไม่มีเขาอยู่ นางยังคงเย่อหยิ่งผยองเช่นเดิม ขนาดตกต่ำถึงเพียงนี้ยังไม่วายดูแคลนเขา
แต่คนที่นางดูแคลนคนนี้แหละ จะเป็นผัวของนาง และนางจะต้องปรนนิบัติเขาดังเช่นนางบำเรอที่ต่ำต้อย ไม่มีสถานะใดมากไปกว่านี้ จนกว่าเขาจะเบื่อหน่าย แล้วจึงจะเฉดหัวนางให้ตามครอบครัวของนางไป แค่ตอนนี้เขาแค่ยังไม่เบื่อนางจึงคิดอยากจะให้นางมาเป็นของเล่นคลายเหงาของเขา พอชิมรสนางจนเบื่อหน่ายแล้ว นางก็คงหนีไม่พ้นสภาพเดียวกับบิดามารดาของนาง
ร่างล่ำสันของหลี่หมิงกดตัวของสตรีร่างบางที่ตัวเล็กกว่าเขาลงนอนบนพื้น สตรีอย่างนางบนพื้นที่ไหน บนผืนหญ้าที่ไหนก็คงจะย่อมได้ ไม่ต้องนอนบนฟูกนอนชั้นดี ไม่ต้องเข้าพิธีวิวาห์ นางก็พร้อมจะทอดกาย แยกขาให้กับใครก็ได้แล้วกระมัง
หลังจากที่บทรักที่เร่าร้อนและดุเดือดจบลง ม่านของเตียงสี่เสาก็หล่นลงมาคลุมเตียงหลังใหญ่เอาไว้เพราะแรงโยกขย่มที่รุนแรงของฮ่องเต้หนุ่ม ด้านหลังม่านแสนบางเบานั้นเมื่อมองเข้าไปด้านในก็เห็นร่างสองร่างที่นอนโอบกอดกันภายใต้ผ้าผวยผืนบางเบาที่ใช้ห่มคลุมเรือนร่างเปลือยเปล่าของทั้งสองเอาไว้ หงลี่ซุุกกายเข้าไปในอกแกร่งแสนอุ่นที่นางคุ้นเคย มือบางลูบไล้ไปจนทั่วหน้าอกแกร่งของเขา หลี่หมิงสามีของข้า แม้ท่านจะเกลียดข้าชิงชังข้ามากเพียงใด แต่ข้ารักท่าน มีเพียงท่านในหัวใจเท่านั้น ท่านรู้หรือไม่ นางกระซิบบอกเขาแต่เพียงในใจ ขณะที่ชายร่างหนาที่นางลูบไล้นั้นหลับตานิ่ง นางคิดว่าเขาคงหลับไปแล้วเพราะบทรักที่ดุเดือดและร้อนแรงเหลือเกินของทั้งคู่“ อย่าลูบไล้ข้า มิเช่นนั้น เจ้าจะต้องรับมือกับลูกชายของข้าอีกครั้ง เจ้าพร้อมหรือไม่ ”เขาบอกกับนางทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่ หงลี่รีบกระซิบบอกเขาว่า “ ไม่เพคะ หม่อมฉันไม่ไหวแล้ว ”แล้วนางก็เลิกลูบไล้เขา แล้วนอนซุุกในอกเขาแต่โดยดี หงลี่หลับไปพร้อมกับรอยยิ้มสมใจ บัดนี้นางคือสนมหรืออีกนัยหนึี่งคือภรรยาของเขา ไม่มีผู้ใดมาขัดขวางความรักระหว่างนางกับเขาได้อีกแล้ว นางคิ
มือบางของนางเสยเข้าที่เส้นผมของฮ่องเต้หนุ่มอย่างไม่เกรงกลัวอีกต่อไป แต่เขาก็มิได้ว่าอะไรนางสักคำปล่อยให้นิ้วน้อยๆ ของนางเสยเข้าไปในเส้นผมดกหนาของเขา แล้วโน้มศีรษะของเขาลงมาจนชิดอกอวบใหญ่ที่แอ่นระแน้ขึ้นหาเขา เสียงดูดจ๊วบจ๊าบดังขึ้นอย่างหยาบคาย ฮ่องเต้หนุ่มไม่ได้สนใจสิ่งใดนอกจากเต้าอวบคู่หวานตรงหน้า เขาสลับเชยชมมันไปมาทั้งสองข้าง ดูดดื่มมันดังเช่นทารกกระหายนมมารดากระนั้น ส่วนสตรีร่างบางแต่เมื่อยามเปลือยเปล่าเรือนร่างกลับอวบอิ่มงดงามยิ่งนัก นางร้องครวญครางปานจะขาดใจ เมื่อถูกทั้งดูดทั้งไล้เลียสลับกันไปทั้งสองข้าง เมื่อดูดเต้าหวานของสตรีบนตักจนพอใจแล้ว เขาก็เงยหน้าขึ้นสบตาที่เต็มไปด้วยไฟสวาทของสนมตัวน้อยของเขา และแล้วใบหน้าของทั้งสองก็เลื่อนเข้าหากัน แล้วจูบที่ดูดดื่มและเร่าร้อนเหมือนหิวกระหายในกันและกันเหลือแสนก็เริ่มต้นขึ้น จูบนั้นยาวนานเหลือเกิน นานจนหงลี่แทบจะขาดใจ ฮ่องเต้หนุ่มจึงยอมปล่อยนาง ขณะที่มือหนาของเขาก็สอดเข้าไปใต้กระโปรงที่บัดนี้เลิกขึ้นมาอยู่ที่เอวคอดของนาง ส่วนด้านล่างนั้นเปลือยเปล่า ชั้นในตัวน้อยที่ผูกปมเอาไว้ที่สะโพกทั้งสองข้างนั้นไม่ทราบว่าหายไปที่ใดแล้
ระหว่างนี้เขาก็ยกสุราขึ้นดื่มอวยพรเป็นระยะ เวลาที่เหล่าชายาของเขากล่าวอวยพระพระมารดา รวมถึงเหล่าขุนนางทั้งหลายที่พากันยกจอกสุราดื่มอวยพร และพากันทะยอยมอบของขวัญบรรณการกันเป็นระยะ รวมถึงเหล่าภรรยาใหม่ๆทั้งหลายของเขาที่พากันถวายของขวัญแก่พระมารดาของเขาเพื่อเอาอกเอาใจกันเป็นระยะ บางนางมาจากครอบครัวที่ร่ำรวยของขวัญก็ย่อมจะล้ำค่าราคาแพงและแปลกตา ไทเฮาขอบคุณเหล่าสะใภ้และขุนนางที่เข้าถวายของขวัญแก่พระนางส่วนสนมปลายแถวเช่นหงลี่จะมีอะไรไปถวายว่าที่แม่สามีกันเล่า ได้แต่เฝ้ามองคนอื่นๆ มอบของขวัญ และเฝ้ามองการแสดงตรงหน้าที่สลับกันมาให้ความบันเทิงในหลากหลายรูปแบบเท่านั้นเมื่องานเลี้ยงใกล้จะเลิกรา ก็มีการถวายพระพรกันอีกครั้งและก็กล่าวปิดงานโดยไทเฮาและฮ่องเต้ที่ขอบใจเหล่าบรรดาราชวงศ์และขุนนางน้อยใหญ่ที่มาเข้าร่วมถวายพระพรองค์ไทเฮา และเหล่าแขกที่มาร่วมงานก็เริ่มทะยอยกันออกไปจากท้องพระโรง ส่วนฮ่องเต้และฮองเฮาเสด็จลงจากที่ประทับทางด้านข้าง และก็หายลับเข้าไปทางห้องด้านหลังเป็นอันว่าเสด็จกลับแล้ว พระชายาและสนมน้อยใหญ่ก็พากันลุกขึ้นแล้วก็ทะยอยกลับเช่นกัน รวมถึงเหล่าขุนนางด้วย ส่วนหงลี่ก็เม
ช่วงสายวันต่อมา ฟางเอ๋อเข้ามาแสดงความยินดีกับพระสนมหยูนายหญิงของตนเอง เพราะนางดีใจเหลือเกินที่ฮ่องเต้เสด็จมาหาพระสนมที่ตำหนักนี้และอยู่ค้างคืนจนกระทั่งเช้าจึงได้กลับไป นับว่าเป็นข่าวดีนัก ที่พระสนมที่เกือบจะปลายแถวเช่นนายหญิงของตนได้รับใช้องค์ฮ่องเต้ในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้ ขนาดพระชายาที่รับการแต่งตั้งถึงสามนางยังไม่มีผู้ใดได้รับโอกาสในการถวายการรับใช้ดังเช่นนายหญิงของตนเลย“ บ่าวยินดีกับพระสนมจริงๆนะเพคะ ที่ท่านได้มีโอกาสปรนนิบัติฮ่องเต้แล้ว และรวดเร็วกว่าสตรีใดในวังหลังแห่งนี้เลยนะเพคะ หม่อมฉันทราบในตอนแรกแทบจะไม่เชื่อเลยว่าพระสนมจะได้ปรนนิบัติองค์ฮ่องเต้ได้รวดเร็วปานนี้ บ่าวได้ยินว่าขนาดพระชายาสามพระองค์นั่นยังไม่ได้มีโอกาสรับใช้ฮ่องเต้เลยนะเพคะ ”ฟางเอ๋อนางกำนัลน้อยกล่าวอย่างยินดีในบุญวาสนาของนายหญิงตนเอง ขณะที่นางกำลังปรนนิบัตินายหญิงหลังจากอาบน้ำแล้ว ก็หวีผมยาวสลวยให้และกำลังติดเครื่องประดับผมที่มีขันทีนำมามอบให้เมื่อวานนี้ ใบหน้าของหงลี่เปลี่ยนสีไปทันที ใครบอกว่าฮ่องเต้เสด็จมาที่ตำหนักของนางกัน ชายคนเมื่อคืนที่เคี่ยวกรำนางแทบจะทั้งคืนกว่าจะยอมปล่อยให้นางนอนหลับ แ
หลี่หมิงดึงรั้งอาภรณ์ของสตรีใต้ร่างจนแทบจะหลุดลุ่ย เขาฉีกตูโต้วผืนบางของนางออกจนขาดเป็นทาง แล้วแหวกกระโปรงผ้าเนื้อบางเบาของนางออก เลิกมันขึ้นไปจนสูง เปิดเปลือยเนินเนื้ออวบใหญ่ที่คุ้นตาให้แก่เขา หลี่หมิงถอดกางเกงของตนเองอย่างรวดเร็ว แล้วจับเจ้าลูกชายของเขาถูไถเนินเนื้อของนางไปมา แต่ไม่ยอมสอดเข้าไป เพียงถูไถมันไปมาเพียงเท่านั้น ส่วนสตรีใต้ร่างก็ดิ้นรนขัดขืนไม่สมยอมเขาดังเช่นที่เคยผ่านมา “ ปล่อยข้านะ ปล่อยข้า เจ้าคนชั่ว เจ้าคนเลวอย่าทำอะไรข้านะ ไม่อย่างนั้นข้าจะร้องให้คนช่วย ออกไปจากเรือนของข้านะ ” นางกรีดร้อง แต่ก็ไม่กล้าเสียงดังจนเกินไปเพราะเกรงจะมีคนได้ยิน แล้วหลี่หมิงจะเดือดร้อน นางแค่ต้องการให้เขาโกรธและเลิกมายุ่งเกี่ยวกับนางแต่หลี่หมิงไม่สนใจเสียงข่มขู่นั้น เขากลับก้มลงดูดอกอวบใหญ่ที่สั่นไหวอยู่ใต้ร่าง เขาขบกัดผลอิงเถาของนางอย่างแรง สลับกับไล้เลียมันไปมา หงลี่พยายามดิ้นรนไม่ยอมให้เขากระทำตามใจ แต่ยิ่งดิ้นยิ่งถูกดูด เขาดูดเต้าหวานของนางจนแทบจะเข้าไปในปากทั้งเต้า ดูดอย่างแรง ดูดสลับกับไล้เลียชิมรสของมัน ดูดจนสตรีใต้ร่างเลิกดิ้นรนหนี แต่เปลีี่ยนไปเป็นดิ้นพล
หลังจากผ่านไปกว่าสิบวัน หงลี่ก็เริ่มดีขึ้น นางทำใจได้แล้ว เพราะถึงทำใจไม่ได้นางก็ทำอะไรไม่ได้ ครอบครัวที่ถูกเนรเทศไปก็ยังดีกว่าถูกประหาร นางได้คิดก็เพราะมีนางกำนัลวัยกลางคนที่นำอาภรณ์และข้าวของมาให้กับนางได้เตือนสตินางเช่นนี้ ใช่ อย่างน้อยพวกเขาก็ยังไม่ตาย แค่เพียงย้ายถิ่นฐานไปอยู่แคว้นอื่น หากมีวาสนาภายหน้าอาจจะได้พบกัน ส่วนนางบัดนี้มาอยู่ในวังหลวง ไม่ได้ทำการงานอะไร เพียงนั่งทอดถอนหายใจทิ้งไปไว้ๆ นางมาอยู่ที่นี่ได้เพียงสองวันก็มีสาวใช้นางหนึ่งมาแนะนำตัวกับนาง ว่ามีชื่อว่าฟางเอ๋อ ได้รับมอบหมายให้มาเป็นนางกำนัลประจำตัวของพระสนม แม้นางจะเป็นสนมขั้นต่ำสุด แต่ก็ยังมีคนรับใช้ และเมื่ออยู่ๆ ไปก็ได้รับความรู้จากนางกำนัลที่มารับใช้ว่านางคือพระสนมขั้นเฟย ที่เป็นชั้นต่ำสุดในบรรดาพระสนม และพระสนมทุกคนในวังหลวงก็ใช่ว่าจะได้ถวายตัวให้แก่ฮ่องเต้ บางคนก็ไม่เคยได้พบหน้าพระองค์เลยด้วยซ้ำ ฟางเอ๋อยกตัวอย่างฮ่องเต้รัชกาลที่ผ่านมาให้ฟังส่วนฮ่องเต้องค์ใหม่พระองค์นี้ เพิ่งจะรับนางสนม และพระชายาเข้ามาเป็นชุดแรก ส่วนฮองเฮายังไม่ได้สถานปนาเพราะพระองค์เพิ่งขึ้นครองราชย์ หงลี่นั่งรับฟังก