เข้าสู่ระบบบทที่ 3 สมรสที่ไร้รัก
งานแต่งระหว่างแม่ทัพหลงกับคุณหนูหลี่ จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สมฐานะทหารองครักษ์เข้าแถวตลอดทาง ขุนนางฝ่ายนอก ขุนนางฝ่ายใน และชนชั้นสูงแห่งเมืองหลวงต่างมาร่วมเป็นสักขีพยาน
เจ้าบ่าวในชุดเกราะประดับพิธี เจ้าสาวในชุดมงคลสีแดงลายหงส์สะบัดปลายผ้าราวลอยบนอากาศ
ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีคำรัก มีเพียงพิธีที่ดำเนินไปอย่างไร้ที่ติ ราวการลงตราราชการที่ไม่มีผู้ใดกล้าทัดทาน
หลังพิธี ทั้งสองได้พบกันอีกครั้ง ณ ศาลาหลังหนึ่งที่ถูกจัดขึ้นชั่วคราวภายในจวนแม่ทัพ
เมื่อผู้คนทยอยจากไป เหลือเพียงเสียงลมยามราตรีพัดแผ่วเบา หลี่อินนั่งนิ่ง เงยหน้าขึ้นสบตาเขา ดวงตานิ่งสนิทดั่งผิวน้ำในคืนไร้จันทร์
“จากนี้ไป หากท่านจะรับอนุภรรยา…” นางเอ่ยเสียงราบเรียบ “หรือหากท่านโปรดบุตรสาวตระกูลใด ต้องการให้ส่งเกี้ยวไปรับเข้าจวน ท่านเพียงเอ่ยชื่อ”
นางหยุดชั่วครู่ ก่อนกล่าวต่อ “หน้าที่การจัดการงานแต่ง ข้าจะเป็นผู้รับผิดชอบเอง สมเกียรติ สมฐานะ ไม่มีผู้ใดติฉิน”
หลงอี้จงไม่กล่าวตอบในทันที เขาเพียงจ้องมองนาง เหมือนกำลังมองคนแปลกหน้า…หญิงสาวที่เคยวิ่งตามเขาในสวนดอกเหมยเมื่อหลายปีก่อน…หญิงสาวที่เคยส่งผ้าหอมปักมือให้เขา ยามเขาออกรบ
นางผู้นั้น…อยู่ที่ไหนแล้วกัน
“เจ้ายินยอมให้ข้ารับหญิงอื่นเข้าจวน โดยไม่มีแม้แต่คำถาม” เขาถาม
“ภรรยาเอกคือผู้ดูแลจวน มิใช่ผู้ครอบครองหัวใจสามี สามีภรรยาชนชั้นสูงที่แต่งกันเพราะความเหมาะสม เพราะผู้ใหญ่จัดการให้ ล้วนเป็นเช่นนี้ ข้าจึงไม่เห็นว่าคือเรื่องผิดแปลก” หลี่อินเอ่ยออกมาอย่างไม่ยี่หระ
“เจ้า…กลายเป็นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด…”
เขาถามเสียงแผ่ว น้ำเสียงเจือแววบางอย่างที่คล้ายเจ็บปวด แต่สำหรับหลี่อินแล้ว มันไม่ต่างอะไรจากเงาเสียงที่เคยล่อลวงนางให้หลงกลซ้ำแล้วซ้ำเล่า
นางเพียงแย้มยิ้มบาง ยิ้มที่ไม่แตะต้องหัวใจ นางจับน้ำเสียงเขาได้ทันทีหากไม่ได้ระลึกชาติ นางคงเผลอคิดว่าเขามีใจให้นางอยู่บ้าง
แต่เพราะนางรู้ดี…ว่าเขาเคยทำเช่นไรกับนางในชาติที่แล้ว และชาตินี้อีก
ในตอนต้น เขาแสดงออกว่ารักนาง ทะนุถนอมราวแก้วตาดวงใจ แต่เมื่อสตรีนางนั้นปรากฏ…นางก็กลายเป็นเพียงเงาไร้ค่า เป็นอะไรสักอย่างสที่เขาพร้อมจะเขี่ยทิ้งโดยไม่ลังเล
“คงจะ…ตั้งแต่ชาติที่สามนี้เริ่มต้นขึ้นกระมัง”
เขาขมวดคิ้ว “อะไรนะ”
“ข้าหมายถึง… ตั้งแต่รู้ว่าต้องแต่งกับท่าน” นางกล่าวเสียงราบเรียบ ราวไม่สนใจคำถามเขาเลยแม้แต่น้อย
คำตอบนั้นทำให้หลงอี้จงนิ่งงันเขาไม่คิดว่านางจะตอบกลับอย่างเย็นชาเช่นนี้ ไม่อยากแต่งกับเขางั้นหรือ
แต่ไม่ทันได้ถามไถ่ หญิงสาวตรงหน้าก็ลุกขึ้น หลี่อินค้อมกายคำนับอย่างเหมาะสมในฐานะภรรยาเอกที่มีต่อสามี
“ท่านแม่ทัพ… ข้าขอตัวก่อนเจ้าค่ะ เรือนของข้าจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว”
ก่อนจะหมุนตัวจากไป นางหยุดเพียงครู่ เอ่ยทั้งที่ยังไม่หันกลับมา
“ขอเพียงอย่างเดียว…อย่าเหยียบย่างเข้ามา แม้แต่ก้าวเดียว ข้าหวังว่าท่าน…ยังจำเงื่อนไขก่อนแต่งได้”
ว่าจบ ร่างบางในชุดเจ้าสาวสีแดงก็เดินจากไปท่ามกลางความเงียบ ทิ้งไว้เพียงแม่ทัพหนุ่มผู้ยืนอยู่ท่ามกลางความสงัด เย็นชา… และว่างเปล่า กับคำถามมากมาย ระว่างที่เขาอยู่ชายแดน เมืองหลวงเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อินเอ๋อร์จึงเปลี่ยนไปเช่นนี้
ตอนพิเศษ 3 ผลลัพธ์แห่งการรอคอยยามสนธยา ลมเย็นพัดผ่านสวนด้านหลังเรือนใหญ่ หลงอวี้จงยืนพิงเสาไม้ หันมองหญิงสาวในชุดคลุมเรียบง่ายที่กำลังจัดช่อดอกไม้ลงแจกัน นัยน์ตาของเขาสะท้อนแสงอ่อนจากโคมไฟ และความรู้สึกบางอย่างที่เก็บซ่อนไว้ลึกเกินกว่าจะเอ่ยหลี่อินเดินเข้ามาเงียบ ๆ ก่อนหยุดยืนข้างเขา“คิดอะไรอยู่” นางถามเบา ๆเขาไม่ตอบในทันที แค่ทอดสายตาไปยังลานฝึกที่บุตรสาวกำลังลองดาบใหม่กับอาจารย์ และบุตรชายก็กำลังนั่งเขียนฎีกาเงียบ ๆ ไม่ไกลจากกันผ่านไปครู่ใหญ่…เขาจึงเอ่ย“ชาติที่หนึ่ง…” เขาเริ่ม“พวกเราแต่งงานกัน มีความสุขไม่นาน ก่อนที่ข้าจะถูกสั่งให้แต่งงานกับอดีตองค์หญิง”“ชาติที่สอง…” หลี่อินต่อคำเสียงแผ่ว “ข้าแต่งเป็นฮูหยินของท่านเพื่อที่จะได้อยู่นอกวังอย่างสงบ…แต่กลับต้องพัวพันการแย่งชิงอยู่ดี”หลงอวี้จงพยักหน้าช้า ๆ แววตาแดงเล็กน้อย แต่เขาก็ยังยืนนิ่ง ราวกับใจหนักแน่นยิ่งกว่าเดิม“ข้าคิด…ว่าเราถูกสวรรค์ลงโทษในสิ่งที่เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเคยทำผิดอะไรไว้”“แต่ชาติที่สามนี้…” หลี่อินพูดพลางมองลูกทั้งสอง “ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะเจ็บปวดเพียงใด พวกเขา…คือคำตอบที่ดีที่สุดจากฟ้าดิน”อวี้เหมยที่ลุกขึ้นปร
ตอนพิเศษ 2 บ้านที่มีรักเช้าวันหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิ ลมอ่อนพัดพาไอแดดอบอุ่นเข้ามาในลานเรือน หลังอาหารเช้า หลี่อินกำลังนั่งจัดสมุนไพรอยู่หน้าต่าง ส่วนหลงอวี้จงนั้นนั่งอ่านรายงานกองทัพด้วยสีหน้าจริงจังตามปกติอวี้เหอ เด็กชายวัยสิบปีกำลังง่วนกับการผูกผ้าโพกหัวที่ดูยังไงก็เบี้ยว“ท่านพ่อขอรับ มัดยังไงก็ไม่ตรง!”เขาบ่นอย่างหัวเสีย ขยี้ผมตัวเองจนยุ่งเหมือนรังนกหลงอวี้จงละสายตาจากเอกสาร มองลูกชายแล้วถอนหายใจ“มานี่ ข้าจะทำให้ดูอีกครั้ง…แต่พรุ่งนี้เจ้าต้องมัดเองให้ได้นะ จะไปสนามฝึกแบบหัวยุ่งไม่ได้ เดี๋ยวครูฝึกจะหัวเราะเอา”“แต่เขาก็หัวเราะอยู่ดีนี่นา…” อวี้เหอพึมพำเบา ๆ พลางเดินเข้าไปใกล้ขณะเดียวกัน อวี้เหมยบุตรสาวคนโตก็เดินผ่านเข้ามาในลาน สะพายตะกร้าผักไว้ด้านหลัง“ท่านแม่ ท่านพ่อ อวี้เหอแอบเอาขนมไปซ่อนไว้ใต้หมอนอีกแล้วเจ้าค่ะ” นางรายงานพลางยิ้มขัน ๆ“ข้าแค่…แค่ไม่อยากให้บ่าวเอาไปเก็บ!” เด็กชายรีบเถียงเสียงสูงหลี่อินไม่ได้ว่าอะไร แค่ยิ้มแล้วส่ายหน้าเบา ๆ“พอเถอะ เหลือไว้ให้มดเผื่อกินบ้างเถิดลูก…”หลงอวี้จงหัวเราะในลำคอ“แม่ของเจ้ากำลังจะเริ่มเทศน์เรื่อง ‘ของกินที่วางไว้ไม่ถูกที่คือความสูญเปล
ตอนพิเศษ 1 ของขวัญจากสวรรค์ในวัยห้าสิบหลี่อินมองเงาตนเองในกระจกทองเหลือง ดวงหน้าของหญิงวัยห้าสิบที่มีร่องรอยของการต่อสู้กับชีวิตและความเศร้ามากมาย แต่แววตานั้น…กลับเปล่งประกายอ่อนโยนอย่างที่ตนไม่เคยเห็นในตัวเองมาก่อนเสียงร้องจุ๊กจิ๊กจากเปลไม้ด้านหลังทำให้นางหันกลับไปพร้อมรอยยิ้มหลงอวี้จงเดินเข้ามาพร้อมขันน้ำอุ่นในมือ เขาก้มหน้ามองทารกน้อยที่นอนหลับสนิทในผ้าอ้อม แล้วนั่งลงข้างภรรยา“นางเหมือนเจ้านัก โดยเฉพาะเวลาขมวดคิ้ว” เขาพูดเบา ๆ กลัวจะรบกวนเจ้าตัวเล็กหลี่อินหัวเราะแผ่ว“ท่านไม่ใช่หรือที่บอกว่าลูกชายหน้าเหมือนข้าจนบ่าวแยกไม่ออกว่าลูกใคร แต่คนที่ตะโกนลั่นบ้านตอนรู้ว่าตัวเองจะมีลูกตอนอายุห้าสิบ…ก็ท่าน” หลี่อินหันไปยิ้มเย้าหลงอวี้จงหน้าแดง ไม่กล้าสบตาภรรยา “ข้าแค่ตกใจ…ก็ใครบ้างจะคิดว่าจะมีลูกในวัยนี้ ข้ายังไม่หายตกใจเลย เจ้าคิดดูสิ ข้าเคยสู้ศึก เคยฆ่าคน เคยวางแผนโค่นล้มตระกูลกบฏ เคยเกือบตายเพราะยาพิษ… แต่กลับมาหวั่นไหวเพราะเสียงเด็กร้องกลางดึก”“นั่นเพราะพวกเขาคือสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่อ่อนแอที่สุด แต่กลับจับหัวใจข้าไว้แน่นที่สุด”หลงอวี้จงยกมือลูบผมลูกชายที่นอนหลับอยู่ในอ้อมแขนของเ
บทที่ 56 ไม่จำเป็นต้องอธิบายอีกแล้วยามเย็นวันหนึ่ง ขณะที่แสงอาทิตย์โรยลงบนปลายไม้หลี่อินเดินกลับจากตลาด มือหนึ่งหิ้วตะกร้า อีกมือแนบจดหมายในแขนเสื้อกระดาษเพียงแผ่นเดียวไม่ใช่หนังสือหย่าไม่ใช่คำอธิบายแต่เป็นจดหมายจากคนที่เคยเป็นแผลในอดีตซูเจินเนื้อความไม่ยาว มีเพียงไม่กี่บรรทัดว่า นางแต่งงานแล้วกับขุนนางที่เคยเป็นคนที่หลงอวี้จงฝากฝังนางเอาไว้ชีวิตไม่ได้ดีนัก แต่ก็ไม่ได้แย่ส่วนแม่ทัพหลง…นางไม่อยากกล่าวถึงอีกหลี่อินพับจดหมายนั้นเก็บลงลิ้นชักไม้ไม่พูดถึงให้หลงอวี้จงรู้เพราะไม่มีความจำเป็นอีกต่อไปแล้วไม่มีเหตุผลที่ต้องรื้อฟื้น ไม่มีสิ่งใดต้องแข่งขันไม่มีความคาใจ ไม่มี ถ้าหาก…“วันนี้ในตลาดมีสาลี่หวาน พ่อค้าให้มาตั้งหลายลูก”นางเอ่ยขึ้นขณะช่วยเขาล้างถ้วยที่อ่างน้ำเล็กหลังเรือน“เจ้าเคยชอบกินตอนเป็นเด็ก” เขาพูดเรียบ ๆ ขณะตักน้ำรินให้“ข้าเกิดที่เมืองหลวง ท่านอยู่ชายแดน พวกเราไม่เคยได้กินด้วยกันตอนเป็นเด็กเสียหน่อย สับสนกับความทรงจำชาติไหนของท่าน”นางตอบพร้อมรอยยิ้มจาง ๆรอยยิ้มที่ไม่มีอดีตผูกพันแต่มีความอ่อนโยนที่เลือกจะอยู่กับ ปัจจุบันเมื่อค่ำลงแสงโคมในเรือนเล็ก ๆ ริบหรี่เช่นเคย กล
บทที่ 55 เพื่อนคู่คิดกลางฤดูใบไม้ผลิดอกเหมยที่บานผิดฤดูโปรยกลีบลงบนระเบียงไม้ของบ้านหลังเล็กหลี่อินนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ใต้ชายคาในมือลูบผ้าปักลายมังกรที่ยังเย็บไม่เสร็จ กลิ่นชาอ่อน ๆ ลอยจากกาน้ำข้างกายเสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้น ก่อนจะมีเงาร่างหนึ่งนั่งลงอีกฟากของโต๊ะหลงอวี้จงไม่พูดอะไร เพียงนั่งเงียบอยู่ข้างกัน ราวกับการมีอยู่ของเขานั้น ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรอีกแล้วเวลาผ่านไปเนิ่นนาน จนกระทั่งนางพูดขึ้น“ยังคิดอยู่หรือ ว่าชาติหน้าจะเกิดใหม่จริง ๆ”เขาเงยหน้าขึ้นแววตานั้นยังคงเป็นดวงตาเดิมที่มองนางในทุกชาติ หากแต่ในตอนนี้ มันนิ่ง สงบ และอ่อนโยนอย่างไม่เคยเป็น“ข้าไม่รู้” เขาตอบตรง “แต่ข้าจำได้ว่าเคยลั่นวาจาไว้…”เขาหยุดเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่นอย่างคนที่ไม่ต้องการคำสัญญาอีก“หากชาติหน้ามีอยู่จริง…ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ใด อยู่ในฐานะใดข้าจะมองเพียงเจ้าผู้เดียว”หลี่อินนิ่งเงียบไปนานลมหายใจของนางหนักแน่นขึ้นเล็กน้อย มือที่จับเข็มปักเริ่มสั่นเล็กน้อย“…ท่านจะไม่เหนื่อยหรือ เพียงได้มอง ไม่ได้ขอครอง” เขาตอบเบา ๆ “ข้าไม่เคยเหนื่อย”แสงตะวันเช้าสาดเข้ามาในเรือนอย่างนุ่ม
บทที่ 54 ใกล้กันจนผมเริ่มมีสีดอกเลาเสียงด้ายขูดผ่านผืนผ้าเบา ๆแสงอ่อนในยามเช้าเริ่มลอดผ่านบานหน้าต่างไม้ไอเย็นของต้นฤดูใบไม้ผลิแตะผิวแก้มนางอย่างแผ่วเบาหลี่อินยกมือรวบเส้นผมขึ้นอย่างเคยชิน แต่ในจังหวะนั้นเอง ด้านหลังพลันมีเงาร่างหนึ่งยื่นมือมาช่วยเก็บปิ่นปักผมที่ตกลงพื้น“ข้าทำให้ตก…” เขาว่าเบา ๆเสียงนั้นไม่ดังนัก แต่ใกล้มาก ใกล้จนกลิ่นจากชุดคลุมสีหม่นของเขาแตะปลายจมูกนางมือของเขายื่นมาช้า ๆ อย่างลังเลก่อนจะรวบเส้นผมนางขึ้น แล้วใช้ปิ่นปักให้อย่างเบาแรงนางไม่พูดเพียงแต่รู้สึกได้ว่า มือคู่นั้น…เริ่มหยาบขึ้นกว่าที่จำได้เพราะฝึกทำอาหารเองบ่อยขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาหลี่อินยืนนิ่งและนั่นทำให้เขากล้าก้มลงกระซิบเบา ๆ“เจ้าเห็นไหม…”“เห็นอะไร” นางเอ่ยถามเสียงแผ่วเขาชี้ไปยังข้างขมับตนเอง“ผมข้าเริ่มมีสีขาวปนอยู่หนึ่งเส้น” เขาหัวเราะในลำคอเบา ๆ “เจ้าคงจะบอกว่าไม่แปลก…แต่รู้หรือไม่ว่ามันเป็นเส้นแรกที่ข้าอยู่ข้าง…เจ้า” เสียงเขาแผ่วเบา“แต่มันเพิ่งเริ่มกลายเป็นสีดอกเลา…ก็ในวันที่เราอยู่ใกล้กันมากที่สุด”หลี่อินเงียบ…ความรู้สึกอุ่นแปลก ๆ ค่อย ๆ ไหลซึมขึ้นกลางอกเงาร่างเขายังยืนอยู่ข้างหลัง







