เวินอวี้จือทำได้เพียงรีบยันร่างกายช่วงล่างที่พิการของตนเองขึ้น และพยายามตะเกียกตะกายคลานออกไปนอกรถม้าเขาต้องกระโดดลงจากรถ!ต้องรีบกระโดดลงจากรถเดี๋ยวนี้!มิฉะนั้นเขาจะต้องร่วงหล่นลงไปพร้อมกับรถม้า!เมื่อเห็นว่าหน้าผาใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เวินอวี้จือก็ไม่สนใจสิ่งอื่นอีกต่อไป เขาพลิกตัวกลิ้งลงไปอย่างแรง“อ๊ากกก!”“โครม!”เบื้องล่างหน้าผานั้นมืดมิดและลึกล้ำ แต่ยังพอมองเห็นร่องรอยของการตกกระแทกอยู่แห่งหนึ่ง นั่นก็คือรถม้าที่เวินอวี้จือนั่งมา ในยามนี้ทั้งรถม้าและม้าต่างก็ตกกระแทกจนพังยับเยินส่วนเวินอวี้จือ ในยามนี้เขากำลังห้อยต่องแต่งอยู่ตรงขอบหน้าผา เหงื่อเย็นไหลออกมาจากหน้าผากไม่หยุด ทำให้ดวงตาทั้งสองข้างของเขาพร่ามัวในช่วงเวลาวิกฤตเมื่อครู่นี้ เวินอวี้จือได้กลิ้งตกลงมาจากรถม้า แต่เพราะอยู่ใกล้หน้าผามากเกินไป พอตกถึงพื้นและกลิ้งไปได้เพียงสองรอบ แล้วกลิ้งไปถึงขอบหน้าผาพอดีโชคดีที่เขาสามารถคว้าก้อนหินที่ยื่นออกมาได้ทันท่วงทีมิฉะนั้น ตอนนี้เขาคงจะเหมือนกับรถม้าที่อยู่ก้นเหว ถูกกระแทกจนร่างแหลกละเอียดไปแล้วแต่ถึงกระนั้น ในยามนี้เวินอวี้จือก็ยังไม่อาจผ่อนคลายได้เลยแม้แต่น้อยเพร
ในขณะเดียวกัน ณ อีกด้านหนึ่งหลังจากรถม้าของเวินอวี้จือออกจากเมืองจงซินแล้ว ก็มุ่งหน้าไปยังเมืองเซิ่งเสวี่ยอย่างรวดเร็วไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ตลอดเส้นทางเดิมทีเขายังคงคิดหาวิธีที่จะชิงดอกบัวกระดูกมังกรกลับคืนมาจากเวินซื่อ แต่ผ่านไปไม่นาน เขาก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา อย่างไรเสีย น้องสาวผู้นั้นของเขาจิตใจอำมหิต ลงมือเหี้ยมโหด ส่วนตัวเขาก็ลงมือกับนางครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อปกป้องน้องหก ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้นางโกรธแค้นอย่างยิ่งไปตั้งนานแล้วบัดนี้องครักษ์สองคนที่เขาพามาล้วนได้รับบาดเจ็บ ตัวเขาเองก็เคลื่อนไหวไม่สะดวก ในสถานการณ์เช่นนี้ นางเวินซื่อจะนั่งอยู่เฉยๆ ได้จริงหรือ?ยิ่งคิด ในใจของเวินอวี้จือก็ยิ่งรู้สึกไม่ดีก่อนหน้านี้ยังคิดหาวิธีชิงดอกบัวกระดูกมังกรกลับคืนมา แต่ตอนนี้เขาไม่กล้าคิดเรื่องนั้นอีกต่อไปแล้วเพราะเขาต้องรีบหนี รีบออกจากชางโจวกลับไปยังเมืองหลวง!รอจนกลับถึงเมืองหลวงแล้ว มีท่านพ่ออยู่ นางเวินซื่อจึงจะไม่กล้าลงมือ!เมื่อคิดเช่นนี้ เวินอวี้จือก็รีบเอ่ยปากเร่งองครักษ์ที่อยู่ด้านหน้าทันที “เร็วเข้า เร่งรถม้าให้เร็วกว่านี้อีก!”“ขอรับ คุณชาย!”องครักษ์สองคนที่อยู่ด
“แค่ฆ่าคนคนเดียวหรือ? ต้องการให้ข้าฆ่าเพิ่มอีกสักหลายๆ คนหรือไม่?”เมื่อได้ยินว่าเงื่อนไขคือการฆ่าคนแบบนี้ ฟ่านจุ้ยกลับถอนหายใจอย่างโล่งอก กระทั่งกลับมามีท่าทีไม่เอาจริงเอาจังเช่นเดิม น้ำเสียงผ่อนคลายและเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ เพราะสำหรับเขาแล้ว การฆ่าคนเป็นเรื่องที่ง่ายที่สุดแต่ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่า เขายังโล่งใจเร็วเกินไปรอยยิ้มที่มุมปากของเวินซื่อแฝงไว้ด้วยความหมายลึกซึ้งเล็กน้อย “ไม่ต้องฆ่าเพิ่ม ขอแค่เจ้าสามารถฆ่าคนผู้นี้ที่มาถึงชางโจวได้ ข้าไม่เพียงแต่จะไว้ชีวิตเจ้า แต่ยังจะพาเจ้ากลับเมืองหลวง ให้เจ้าได้ไปพบหน้าบิดาผู้แสนดีของเจ้าด้วย”“มีเรื่องดีๆ เช่นนี้ด้วยหรือ? ถ้าเช่นนั้นก็บอกมาเถิด คนที่ต้องการให้ข้าฆ่าคือใคร?”ฟ่านจุ้ยเลิกคิ้วเล็กน้อย จากนั้นถามต่อท่าทีของเขาดูเหมือนยังไม่ตระหนักถึงความร้ายแรงของสถานการณ์จนกระทั่งได้ยินประโยคถัดไปของเวินซื่อ สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน…“ข้าต้องการให้เจ้าไปฆ่า...เวินอวี้จือ”ขณะที่ชื่อนั้นหลุดออกมาจากปากของเวินซื่อทีละคำๆ ฟ่านจุ้ยถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะ“ท่านว่าใครนะ?!”เขาคิดว่าตัวเองหูฝาดไป จึงได้ถามย้ำอีกครั้ง
ดังนั้นนางจึงตัดสินใจที่จะจัดการที่นี่ ส่ง “พี่สี่ผู้แสนดี” ของนางไปสู่สุคติ ณ ที่ชางโจวแห่งนี้หลังจากออกจากค่ายของกองทัพธงดำ เวินซื่อก็ไม่ได้ออกตามล่าเวินอวี้จือในทันทีทางนั้นมีแมลงพิษที่นางให้อวิ่นซิงจัดเตรียมไว้อยู่ ไม่ว่าเวินอวี้จือจะหนีไปที่ใด นางก็รู้ทั้งหมด ดังนั้นนางจึงไม่กังวลแต่นางต้องการจะใช้โอกาสที่หาได้ยากนี้ เพื่อทดสอบใครบางคนในไม่ช้า เวินซื่อก็มาถึงจวนเจ้าเมืองเป่ยเฉินหยวนยังคงอยู่ที่นี่ คอยจัดการปัญหาภัยพิบัติต่างๆ ในชางโจวอย่างหามรุ่งหามค่ำ แต่คราวนี้นางไม่ได้มาเพื่อพบเขา แต่มาเพื่อพบฟ่านจุ้ยนับตั้งแต่ครั้งก่อนที่ได้รู้จากปากของฟ่านจุ้ยว่าเขาน่าจะเป็นบุตรนอกสมรสของเวินเฉวียนเซิ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่นางมาพบเขา“พี่หญิง ท่านมาแล้วหรือ?”ฟ่านจุ้ยอยู่ในห้องลับที่มืดมิดไร้แสงสว่าง ได้ยินเสียงเปิดประตูจากด้านนอกและเสียงฝีเท้าที่ก้าวเข้ามาดูเหมือนเขาจะเดาได้ว่าใครมาดังนั้นทันทีที่เวินซื่อก้าวเข้ามาในห้องลับ เขาก็หรี่ตาเล็กน้อยมองไปยังเงาร่างที่ย้อนแสงนั้น ยกยิ้มมุมปาก แล้วเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างร่าเริง“อย่าเรียกข้าว่าพี่หญิง”เวินซื่อเอ่ยด้วยน้ำเส
เวินซื่อพูดว่าจะปลูกก็ลงมือปลูกทันทีหลังจากที่นางได้ทำพิธีขอพรให้กับประชาชนเมืองจงซินอีกครั้ง และชำระล้างเมืองทั้งเมืองด้วยพลังวิญญาณแล้ว พอกลับมาถึงกระโจม นางก็หยิบดอกบัวกระดูกมังกรเข้าไปในมิติของหยกด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อยนางบุกเบิกพื้นที่ในแปลงสมุนไพรขึ้นใหม่ผืนหนึ่ง ใช้น้ำทิพย์แช่รากของดอกบัวกระดูกมังกร เพื่อปลุกให้รากของมันตื่นตัว ก่อนจะลงมือปลูกอย่างระมัดระวังเมื่อทำทุกอย่างเสร็จสิ้น เวินซื่อก็มองดูแปลงสมุนไพรของตนด้วยความพึงพอใจอย่างยิ่งเมื่อมีมิติในหยก ดอกบัวกระดูกมังกรก็จะไม่ใช่สมุนไพรที่หายสาบสูญอีกต่อไปแต่นางไม่ได้ปลูกดอกบัวกระดูกมังกรเพื่อเวินอวี้จือดอกบัวกระดูกมังกรต้นนี้อาจเป็นต้นเดียวที่หลงเหลืออยู่บนโลกใบนี้ เมื่อมาอยู่ในมือนาง ก็เท่ากับว่านางกุมความหวังเดียวของเวินอวี้จือเอาไว้และนางไม่มีวันช่วยให้เขาได้สมหวังอย่างเด็ดขาดไม่ว่าจะเพื่อตัวนางในชาติก่อนที่ถูกทรมานในเงื้อมมือของเวินอวี้จือ ใบหน้าถูกทำลายจนเสียโฉม ชื่อเสียงป่นปี้ หรือเพื่อตัวนางในชาตินี้ที่ถูกเวินอวี้จือลอบวางยาและใช้พิษครั้งแล้วครั้งเล่า นางจะไม่ยอมเดินซ้ำรอยเดิมอีกหลังจากออกจากมิติในหยก
“เจ้าได้รับบาดเจ็บมากมายขนาดนั้น ไม่เจ็บสิแปลก ถ้าไม่เจ็บก็คงตายไปแล้วจริงๆ”เหวินปาฟางที่เพิ่งได้สติเบิกตากว้างขึ้นทันที “จริงด้วย! ข้ายังเจ็บอยู่ ข้ายังไม่ตาย ข้ายังไม่ตาย ซี้ด!”เพราะตื่นเต้นเกินไป เหวินปาฟางจึงเผลอไปดึงบาดแผลบนตัวเข้าจนได้“เอาละ นอนนิ่งๆ อย่าขยับ บาดแผลทั่วร่างของเจ้านี่ ใช้ยาดีๆ ของข้าไปไม่น้อยเลยนะ”เวินซื่อเอ่ยขึ้นพลางเก็บกล่องยาที่เพิ่งนำออกมาจากมิติของตนเอง พลางเอ่ยถามว่า “ตอนนี้บอกได้หรือยังว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่? เจ้าเป็นใคร ชื่ออะไร มาจากไหน เหตุใดจึงต้องตามหาข้า? แล้วก็สมุนไพรต้นนี้ เจ้าแย่งมาจากพวกที่ไล่ฆ่าเจ้าก่อนหน้านี้จริงๆ หรือ?”“มิใช่ขอรับ!”เหวินปาฟางรีบอธิบาย “ท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์โปรดพิจารณา ข้าน้อยมีนามว่าเหวินปาฟาง เป็นคนจากเมืองเซิ่งเสวี่ย ดอกบัวกระดูกมังกรนี้มิได้แย่งชิงมาจากคนเหล่านั้น แต่เป็นพวกเขาที่ต้องการจะแย่งชิงไปจากข้าน้อยต่างหาก!”“ไม่สิ หากจะพูดให้ถูกแล้ว คนที่พบดอกบัวกระดูกมังกรนี้เป็นคนแรกจริงๆ แล้วก็มิใช่ข้าน้อย แต่เป็นเด็กๆ กลุ่มหนึ่งในเมืองเซิ่งเสวี่ยซึ่งมีบุญคุณต่อข้าน้อย...”เหวินปาฟางเล่าเรื่องทั้งหมดให้เวินซื่อฟัง ตั