ยามรุ่งสางของวันที่สอง แสงสุริยาละมุนแผ่ซ่านผ่านลานฝึกเรือนตระกูลเซี่ย กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกเหมยลอยมากับสายลมเย็น หากแต่ในดวงหทัยของเซี่ยเหยียนอวี่กลับไร้ซึ่งความสงบ เขายืนนิ่งในชุดฝึกสีน้ำเงินเข้ม มือขวากำด้ามดาบไม้แน่น ดวงเนตรซึ่งเคยสดใสดุจประกายหยก บัดนี้กลับแน่วแน่เยือกเย็น ราวกับคมศาสตราที่เพิ่งลับใหม่จนแวววาว
อดีตชาติยังคงหลอกหลอนดุจเงาตามตัว ทุกครั้งที่เหยียนอวี่หลับตา ความทรงจำในชาติก่อนยังคงปรากฏชัด ทุกความรู้สึก ทุกสัมผัส ยังจารึกไว้จิตใจของเขาอย่างชัดเจน
ไม่มีวันลืม...
ภาพท้องพระโรงที่เคยโอ่อ่าดั่งสรวงสวรรค์บัดนี้กลายเป็นขุมนรกสำหรับเขาไปเสียแล้ว ไหนจะคำลวงของฉินลี่หรงที่ฉีกหัวใจเขาจนแหลกสลาย และดวงเนตรเย็นชาขององค์ชายจวิ้นอี่ล้วนเป็นเปลวไฟแค้นที่เผาผลาญความไร้เดียงสาของเขาให้กลายเป็นเถ้าถ่าน
เขาลืมตาตื่นขึ้นมาในยามที่รุ่งอรุณยังไม่ปรากฏพ้นขอบฟ้า มุ่งหน้าสู่ลานฝึกด้วยหัวใจที่เด็ดเดี่ยว เขาฟาดดาบใส่อากาศด้วยพลังแห่งปณิธาน ทุกจังหวะคือคำมั่น ทุกเสียงหวีดของลมคือบันทึกแห่งคำสาบาน
เสียงฝึกของเขาปลุกให้ลู่ชิงที่อยู่พักอยู่ใกล้ลานฝึกตื่นขึ้น แรกเริ่มนางแปลกใจเล็กน้อยที่ได้ยินเสียงประหลาดตั้งแต่ยังเช้ามืด พอออกมาดูจึงได้เห็นว่าเป็นนายน้อยของตระกูลที่กำลังฝึกฝนอย่างแน่วแน่ นางจึงรีบเข้าครัวไปตระเตรียมเครื่องดื่มเพื่อนำมาให้ดื่มระหว่างซ้อมทันที
“นายน้อย ท่านเริ่มฝึกแต่ฟ้ายังมืดอยู่เลยหรือเจ้าคะ?” เสียงของลู่ชิงดังขึ้นเบื้องหลัง สาวใช้ผู้จงรักภักดีถือถาดน้ำสมุนไพรเข้ามา ดวงตานางเต็มไปด้วยความห่วงหาเจือชื่นชม
เหยียนอวี่ลดดาบลงอย่างเงียบงัน สบตาด้วยแววตานิ่งลึกประหนึ่งบึงน้ำยามฤดูหนาว “หากกายใจมิกล้าแข็ง ข้าย่อมมิอาจปกป้องสิ่งใดได้เลย” เสียงนั้นเรียบเย็นยิ่งนัก จนลู่ชิงที่ได้ฟังรู้สึกสะท้านในอก
“เช่นนั้น ข้าจะจัดน้ำสมุนไพรให้ท่านทุกเช้าเจ้าค่ะ” นางก้มหน้า วางถาดลง แล้วถอยออกอย่างเงียบงัน
เหยียนอวี่มองตามหลังนางไป แววตาหนักแน่น ลู่ชิง... ในอดีตนางยอมลักลอบนำอาหารมาให้ยามเขาถูกเนรเทศ ทั้งที่รู้ว่าการกระทำนี้อาจต้องแลกด้วยชีวิต ความภักดีที่นางมีต่อเขาเช่นนี้กลับกลายเป็นเชือกที่รัดคอนางเองจนสิ้นชีวี
“ครานี้... ข้าจะไม่ให้ใครต้องตายเพราะข้าอีก” เขาพึมพำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เขาไม่อยากกลายเป็ฯสาเหตุให้ใครต้องมาตายอีก
เมื่อสายตะวันเลื่อนคล้อย เขาย้ายมานั่งในห้องหนังสือ โต๊ะไม้จันทน์เบื้องหน้ารายล้อมด้วยตำรา กลยุทธ์การศึก ประวัติศาสตร์ราชวงศ์ คำสอนของขงจื๊อ ล้วนเปิดออกกางเต็มหน้า ดวงตาเขาอ่านทุกถ้อยคำด้วยสายตาคมลึกดั่งเหยี่ยวมองเหยื่อ
ในอดีตเขาไม่เคยสนใจแม้แต่จะแตะต้องตำราเหล่านี้ด้วยซ้ำ แต่ครานี้เขามิอาจเพิกเฉยต่อพวกมันได้ หากต้องการเอาชนะคนเจ้าเล่ห์อย่างฉินลี่หรง ก็ต้องเตรียมความรู้ประดับหัวเอาไว้สักหน่อย
“หากจะต่อกรกับฉินลี่หรง... ข้าจำต้องรู้จักเขาให้มากกว่าตัวเขาเองเสียอีก” เขาพึมพำ นิ้วเรียวเคาะเบา ๆ บนกระดาษ มุมปากคลี่ยิ้มเยือกเย็น
ก๊อก ๆ ๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้น เมื่อประตูเปิดออก เซี่ยจงบิดาของเขาก้าวเข้ามาด้วยท่วงท่าสง่างาม “เหยียนอวี่ เจ้าฝึกหนักเกินไปหรือไม่ พักเสียบ้างเถิด การเข้าวังใกล้เข้ามาแล้ว”
“วางใจเถิด ท่านพ่อ” เหยียนอวี่กล่าว เสียงเรียบนิ่งราวสายลมเย็น “ข้าเพียงเตรียมใจให้พร้อมรับมือทุกพายุที่กำลังจะมาถึง”
เซี่ยจงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงต่ำ “จงระวังให้มาก ตระกูลเรามีทั้งมิตรและศัตรู... ไม่ว่าจะภายในหรือภายนอก”
คำเตือนนั้นทำให้ดวงตาเหยียนอวี่หรี่ลงเล็กน้อย ความทรงจำจากชาติก่อนแจ่มชัดยิ่ง ตระกูลเซี่ยล่มสลายมิใช่เพราะภายนอก หากแต่เกิดจากรากเหง้าแห่งการทรยศภายในตระกูลของเขาเอง
เขาค้อมศีรษะช้า ๆ “ข้าจะจดจำคำของท่านพ่อเอาไว้”
ยามบ่ายคล้อย เหยียนอวี่มุ่งหน้าไปยังเรือนฝั่งตะวันตก ที่พำนักของ เซี่ยเว่ย และ เซี่ยเฉิน สองพี่น้องซึ่งภายนอกคือญาติร่วมตระกูล แต่ในอดีตกลับเป็นมือที่ซ่อนมีดเอาไว้ภายใต้แขนเสื้อ พวกเขาเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ตระกูลต้องล่มสลาย เหยียนอวี่ก้าวเข้าสู่ห้องโถงเล็กอย่างเงียบสงบ เยียบเย็นดุจเงาเมฆที่ค่อย ๆ บดบังแสงตะวัน
เซี่ยเว่ยเป็นขุนนางหนุ่มที่มีโฉมหน้าหล่อเหลา แต่แววตาคล้ายจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ ส่วนเซี่ยเฉินผู้น้องยังคงมีท่าทียโสเหมือนเคย ทั้งสองเงยหน้าขึ้นเมื่อเห็นร่างของเหยียนอวี่ปรากฏตัว แววตาแฝงความประหลาดใจ
“เหยียนอวี่ เจ้ามาทำอะไรที่นี่หรือ?” เซี่ยเว่ยเอ่ยถามด้วยเสียงเรียบ หากมุมปากยกขึ้นอย่างผู้เหนือกว่า “ได้ข่าวว่าเจ้ากำลังจะเข้าได้สู่ราชสำนัก ช่างเป็นเกียรติยิ่งนัก”
“ข้าเพียงมาทักทายญาติผู้พี่ก่อนออกเดินทาง” เหยียนอวี่กล่าวเสียงนุ่มนวล แต่เยือกเย็นอย่างแฝงนัยยะ “ทว่าข้าก็อดครุ่นคิดมิได้... หากตระกูลหนึ่งเต็มไปด้วยผู้แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน แล้วสิ่งใดเล่าที่จะยังประคับประคองมันไว้ได้”
เซี่ยเฉินหัวเราะเสียงต่ำ “เจ้าช่างพูดได้เยี่ยมยิ่งนัก สำหรับผู้ที่ได้ทุกอย่างเพียงเพราะหน้าตา”
เหยียนอวี่เพียงยิ้มบาง รอยยิ้มไร้ความเยาะเย้ย หากแต่เยือกเย็นพอจะทำให้หัวใจผู้มองสั่นสะท้าน “ข้าหวังเพียงว่า... ทุกผู้ในตระกูล จะยังภักดีต่อสายเลือดตนเอง เพราะหากมิใช่ เช่นนั้นข้าย่อมไม่อาจนิ่งเฉยได้อีก”
คำกล่าวนั้นคล้ายเสียงกลองศึกที่กระทบใจ เซี่ยเว่ยและเซี่ยเฉินต่างนิ่งงัน สายตาแปรเปลี่ยนเป็นระแวดระวัง เหยียนอวี่ไม่กล่าวสิ่งใดต่อ เขาหันหลังเดินจากไป ทิ้งเพียงเงาเยือกเย็นและคำเตือนที่ยังสะท้อนอยู่ในห้องโถง
ยามราตรีมาถึง เงาแห่งจันทร์สาดแสงนวลผ่านบานหน้าต่าง เซี่ยเหยียนอวี่กลับมาสู่ห้องของตน จุดตะเกียงน้ำมันเบา ๆ แสงวาบอ่อนสะท้อนเงาเขาบนผนัง เขาคลี่ม้วนกระดาษเก่าซึ่งพบบังเอิญจากห้องเก็บของ ลายมือซึ่งเขาคุ้นตา แม้มิได้เอื้อนเอ่ยนาม ก็ชัดเจนว่าเป็นของผู้ใด
“ฉินลี่หรง...” เขากระซิบด้วยเสียงราบเรียบ หากแต่ดวงเนตรทอประกายแค้น กำกระดาษแน่นจนปลายนิ้วซีดจาง
จดหมายนั้นมิใช่เพียงหลักฐาน แต่คือเบาะแสแห่งหายนะที่กำลังใกล้เข้ามา มันกล่าวถึงการสมคบคิด การเกลี้ยกล่อมขุนนาง และผู้สมรู้ร่วมคิดจาก “ตระกูลเซี่ย” ถึงแม้ไม่มีชื่อปรากฏ แต่ข้อความแฝงไว้ด้วยความทะเยอทะยาน นั่นคือการต้องการกำจัดอุปสรรคหนึ่งเพื่อเปิดทางสู่อำนาจของราชสำนักที่พวกเขาคาดหวังเอาไว้
และอุปสรรคที่ว่า ก็คือตัวเขาเอง...
เหยียนอวี่นั่งนิ่งเนิ่นนาน ปล่อยให้เปลวตะเกียงเต้นระริกสะท้อนในดวงตา เขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะถอนใจอย่างช้า ๆ
“ข้าจะไม่ยอมถูกหักหลังอีก” เขาเอ่ยเสียงแน่น “ไม่ว่าเจ้าจะซ่อนแผนไว้ลึกเพียงใดฉินลี่หรง ข้าจะขุดรากเจ้าให้สิ้น”
เขาลุกขึ้นยืน เดินออกสู่ระเบียง ท้องฟ้าคืนนี้เต็มไปด้วยดาวพร่างพราย ดวงจันทร์กลมโตแขวนอยู่กลางนภา ดุจดวงเนตรแห่งสวรรค์ที่จับจ้องทุกชะตาชีวิต
“ข้าสาบานต่อฟ้าดิน...” เสียงของเขาดังแผ่วหากแน่วแน่ “จะไม่มีวันให้ใครเหยียบย่ำข้าได้อีก ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นศัตรู หรือ... ผู้ที่ข้าเคยรัก”
เมื่อคำมั่นนั้นหลุดลอย ท้องฟ้ายามค่ำคืนดูราวจะนิ่งสงบลง กลีบดอกเหมยปลิวร่วงสู่พื้นอย่างแผ่วเบา เงียบงัน ดุจสัญญาณแห่งจุดเริ่มต้นใหม่ของบุรุษผู้หวนคืนจากความตาย พร้อมหัวใจที่กล้าแกร่งดุจหินผา
แสงจันทร์สาดทอผ่านหน้าต่างฉลุของตำหนักหย่งชิง สะท้อนเงาร่างเซี่ยเหยียนอวี่ซึ่งนั่งนิ่งหน้าตู้กระจก มือเรียวปรับมงกุฎหยกบนเรือนผม ดวงหน้างามสง่าดุจหยกสลักฉายแววครุ่นคิดลึกล้ำ เหมือนบึงน้ำกลางคืนที่ไร้ผิวนิ่ง เขานึกถึงภาพขององค์ชายจวิ้นอี่ที่พบในสวนหย่อมของวังหลวงก่อนหน้านี้ คำพูดของท่านอ๋องที่ฟังดูเหมือนจะเจือปนกลิ่นของอดีต และสายตาที่คล้ายมองเห็นเขาลึกเกินไปกว่าคนที่เพิ่งจะได้เจอหน้ากันก๊อก ๆ ๆเสียงเคาะประตูแผ่วเบาดังขึ้น“นายน้อย ข้ามีจดหมายจากตำหนักหลงอวิ๋นเจ้าค่ะ” เสี่ยวหลานกล่าว พลางยื่นม้วนกระดาษที่ผนึกด้วยตราส่วนพระองค์เหยียนอวี่คลี่ผนึกอย่างสงบ ตัวอักษรหมึกดำเรียบง่าย... แต่ถ้อยคำมีน้ำหนัก“พบกันคืนนี้ เพื่อดื่มชาร่วมสนทนา”จากจวิ้นอี่ ไม่มีคำอธิบายเพิ่มเติม มีเพียงเงาแห่งความเงียบที่แฝงความหมายเอาไว้ภายใต้จดหมายนั้น“บอกผู้ส่งสารว่าข้าจะไป และเจ้าช่วยเตรียมชุดให้ข้าด้วย... ขอเรียบง่าย แต่สง่างาม”ยามค่ำคืน ตำหนักหลงอวิ๋นยืนเงียบสงบอยู่ท่ามกลางตำหนักอีกหลายองค์ในราชสำนัก โคมแดงแขวนเรียงรายดุจดวงดาว แสงจันทร์ทาบผ่านเงาต้นหลิว กลิ่นกำยานลอยเจืออากาศ บรรยากาศราวกับภาพฝันที่แฝง
แสงแดดยามเช้าทาบผ่านม่านไหมของตำหนักหย่งชิง เงารำไรสะท้อนบนพื้นไม้ขัดเงาดั่งเงาใจ เซี่ยเหยียนอวี่ยืนหน้าตู้กระจกโบราณ มือเรียวปรับมงกุฎหยกบนเรือนผมที่ถักอย่างบรรจง ชุดผ้าไหมขาวปักลายบัวเงินขับใบหน้าเขาให้ยิ่งงดงามดุจหยกสลัก ทว่าสิ่งที่เด่นที่สุดมิใช่โฉมภายนอก หากแต่เป็นดวงเนตรที่แฝงไว้ด้วยไฟในเงานิ่งวันนี้ เขาตัดสินใจสวมหน้ากากอันใหม่แล้ว หน้ากากแห่งการแสดงตามแผนที่เขาได้วางเอาไว้ มันจะทำให้เขาดูเปราะบาง และอ่อนไหว เพื่อลวงสายตาคนทั้งวังให้เผยความจริงภายในใจที่มีต่อเขาออกมาให้หมด“นายน้อย ท่านพร้อมหรือยังเจ้าคะ?” เสียงเสี่ยวหลานดังขึ้น พร้อมกลิ่นชาดอกมะลิในถาดไม้แกะสลักเหยียนอวี่หันมาด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนกว่าปกติ ท่าทีดูอ่อนแรงกว่าในทุกวัน เขาเอื้อมมือไปหยิบชามะลิในถาดขึ้นมาจิบพลางกระแอมเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยพูดต่อ “ขอบใจเสี่ยวหลาน... แต่วันนี้ข้ารู้สึกอ่อนเพลียเล็กน้อย ขอพักอีกสักหน่อยแล้วค่อยไป”เสี่ยวหลานนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนตอบ “รับทราบเจ้าค่ะ! นายน้อยพักผ่อนต่ออีกสักหน่อย ข้าจะดูแลท่านให้ดีที่สุดเจ้าค่ะ” แม้คำพูดฟังอ่อนหวาน แต่ในแววตามีความอยากรู้บางอย่างแวบผ่านเขาเพียงยิ้มจางก่อนใช้เว
ยามรุ่งสาง หมอกบางคลอเคลียเหนือสวนหย่อมของตำหนักหย่งชิง กลิ่นดอกบัวลอยอบอวลในอากาศ เซี่ยเหยียนอวี่ยืนอยู่กลางลานฝึก ร่างในชุดขาวเคลื่อนไหวดุจสายน้ำ ดาบไม้ในมือเหวี่ยงพริ้วด้วยพลังสงบแต่มั่นคง ทุกกระบวนท่าแฝงความรู้สึกคั่งค้าง ไม่ว่าจะเป็นความระแวงต่อเครื่องรางหยกของฉินลี่หรง หรือสายตาเยือกเย็นขององค์ชายจวิ้นอี่ และคำนินทาที่แทรกซึมกระจายไปทั่ววังกำลังเริ่มก่อคลื่นพายุใหญ่เขาวางดาบลงหลังผ่านระยะเวลาฝึกซ้อมมาช่วงหนึ่ง หยาดเหงื่อผุดขึ้นตามร่างกายจนเปียกท่วม แต่สายลมยามเช้าพัดแผ่วเบาผ่านมา นำพาให้ความเหน็ดเหนื่อยและความว้าวุ่นในจิตใจให้คลี่คลายลงบ้างเล็กน้อย เขาชายตามองเงาของตนบนพื้นหินก่อนจะพึมพำกับตัวเองเมื่อความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของเขาระหว่างนั้น “สนามรบนี้ ไม่ใช่สำหรับผู้ที่ไร้เกราะใจ”“นายน้อย ท่านฝึกหนักยิ่งนัก” เสียงอ่อนโยนของเสี่ยวหลานดังก่อนจะยื่นถาดน้ำสมุนไพรพร้อมรอยยิ้มสุภาพเกินจริงเหยียนอวี่รับถ้วยชามาอย่างเรียบเฉย สายตาลอบมองใบหน้าของสาวใช้เพียงครู่หนึ่งก่อนจะหันไปทางอื่น “ขอบใจ เสี่ยวหลาน” น้ำเสียงของเขาฟังดูนุ่มนวล หากแต่เยือกเย็นยิ่งแสงตะวันยามสายเคลื่อนผ่าน เหยียนอ
แสงแดดยามสายส่องลอดบานหน้าต่างตำหนักหย่งชิง กลิ่นชาดอกมะลิอบอวลคลุ้ง เซี่ยเหยียนอวี่นั่งสงบอยู่หน้าโต๊ะไม้จันทน์แดงในห้องตำรา พู่กันเปื้อนหมึกในมือเป็นดั่งโลหิตที่กำลังไหลลื่นลงบนแผ่นกระดาษ ตัวอักษรที่ปรากฏขึ้นแต่ละตัวงดงาม เฉียบคม และเปี่ยมไปด้วยพลัง ราวสลักจากความทรงจำและคำสาบานในห้วงลึกแห่งหัวใจเขายกถ้วยขึ้นจิบช้า ๆ ดวงตาหวานลึกลอบระแวดระวัง แม้บรรยากาศดูเงียบสงบ ทว่าในความเงียบนั้น พายุที่กำลังก่อตัวในม่านหมอกเริ่มครุกรุ่นขึ้นตั้งแต่วันที่เขาเห็นฉินลี่หรงพกหยกแปลกตาไว้ติดตัว เขาเฝ้าตามหามาตลอดว่ามันคือหยกอะไร จะว่าเป็นตราประดับยศก็หาใช่ไม่ เพราะไม่ปรากฏลายประทับของตราประจำตระกูลบนหยกนั้น ด้วยสัญชาตญาณบางอย่างทำให้เขาตั้งข้อสงสัยว่านั่นไม่ใช่เพียงเครื่องประดับหยกธรรมดาทั่วไป อักขระโบราณที่สลักเอาไว้บนนั้นมันบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าหยกนี้มีหน้าที่พิเศษของมันเขาตามหาตำราที่บันทึกเกี่ยวกับเรื่องราวของหยกเอาไว้ แต่ก็ยังไม่เจอเล่มไหนที่เล่าถึงหยกของฉินลี่หรง จนกระทั่งเช้าวันนี้ที่อยู่ ๆ เขาก็ดันเจอม้วนตำราเล่มหนึ่งตกอยู่หลังชั้นวางตำราท้ายห้อง เขาหยิบขึ้นมาดูด้วยความสงสัย ก่อนจะพบว่าภ
แสงจันทร์โปรยปรายเหนือสวนหลวง เงาสนโบราณทอดยาวลงบนพื้นหิน ดอกเหมยขาวร่วงพลิ้วตามลมราวหิมะในฤดูใบไม้ผลิ เซี่ยเหยียนอวี่ยืนนิ่งใต้ศาลาริมสระบัว มือบางแตะขอบระเบียงหิน ดวงเนตรจ้องลึกลงในเงาน้ำที่ไหวระลอก ความว้าวุ่นจากวันก่อนยังหลงเหลืออยู่ฉินลี่หรงและเครื่องรางหยกนั้น... ท่านอ๋องจวิ้นอี่ในงานเลี้ยง... และสายตานับร้อยที่รอให้เขาพลาดพลั้งวังหลวงคือเขาวงกตแห่งเล่ห์กล ทุกย่างก้าวต้องรอบคอบ ทุกคำพูดต้องชั่งน้ำหนัก เขานึกถึงชาติก่อน วันที่เดินสวนนี้ด้วยหัวใจเปี่ยมรัก เพียงหวังพบท่านอ๋องจวิ้นอี่เพียงครู่เดียว...ทว่าเหตุการณ์นั้นกลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของเพลิงที่เผาผลาญทำลายทุกสิ่งในชีวิตของเขาจนสิ้น“ข้าจะไม่ยอมให้ท่านครอบครองหัวใจข้าอีก” เขากระซิบกับเงาน้ำ“ผู้ใดกันที่เจ้าเอ่ยถึง?” เสียงทุ้มนุ่มดังจากเงาไม้ เหยียนอวี่สะดุ้ง หันกลับมาพบองค์ชายจวิ้นอี่ในชุดที่ดูเบาสบายกว่าในงานเลี้ยงยืนอยู่ตรงหน้า เงาใต้ต้นสนทาบลงบนดวงหน้าคมคาย รอยยิ้มบางปรากฏที่มุมปาก แตกต่างจากความเย่อหยิ่งในท้องพระโรง หากแฝงไว้ด้วยบางอย่างลึกซึ้ง“ฝ่าบาท... ข้าเพียงพูดกับตนเอง” เหยียนอวี่ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบราวกับน้ำนิ่
ยามเช้าแห่งวังหลวงอาบด้วยแสงแดดอ่อนละมุน ทาบทอลงบนตำหนักทองและหอคอยลอยท่ามกลางกลุ่มหมอกประหนึ่งภาพวาดจากสรวงสวรรค์ กลิ่นกำยานเจือจางลอยแทรกกับเสียงระฆังจากหอสูง เซี่ยเหยียนอวี่ก้าวลงจากเกี้ยว มือบางแตะขอบเบา ๆ ดวงหน้าเรียบสงบ หากแฝงแววคมลึกไว้ในดวงตานั้นนี่คือวันแรกที่เขาก้าวเข้าสู่ราชสำนักอีกครั้ง หลังจากผ่านพิธีการคัดเลือกคู่หมั้นเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่ตอนนี้เขายังคงอยู่ในฐานะว่าที่คู่หมั้นแห่งองค์ชายจวิ้นอี่เท่านั้น และการเข้าสู่วังหลวงครั้งนี้ก็มิใช่เพื่อความรัก แต่เพื่อทวงชะตาที่เคยพ่ายแพ้กลับคืนมาเท่านั้นหลี่กงกง ขันทีชราก้าวนำทาง สองข้างทางมีองครักษ์ยืนเรียงราย ดวงตาของเหยียนอวี่นิ่งสงบราวรูปสลัก ทว่าแฝงแรงกดดันที่อัดแน่นทุกย่างก้าว ราวกับวังหลวงทั้งวังกำลังจับจ้องเขาตำหนักหย่งชิงที่พักชั่วคราวต้อนรับเขาด้วยพิธีรีตองครบครัน ทว่าเบื้องหลังรอยยิ้มและเสียงก้มคารวะ ไม่ได้ทำให้เหยียนอวี่รู้สึกปลอดภัยนัก เขารู้ดีว่าในตำหนักแห่งนี้เต็มไปด้วยสายลับของฉินลี่หรงที่ซ่อนตัวเอาไว้เสี่ยวหลาน สาวใช้ผู้นำกลุ่มเดินเข้ามาหลังจากที่เขาเข้ามานั่งพักในห้องโถงของตำหนัก ก่อนจะเอ่ยวาจาสุภาพด้วยแววต