แต่คำตอบที่ได้คือ... "ตรวจถั่วแดงขนมเหนียวฝีมือหงฟูเหริน (คุณนายแซ่หง หมายถึงหงหมิงจู) ไปหกชามขอรับ" ต้าโก่วตอบ หลี่ชิงเหลือบมองอาเฟยที่มีสีหน้าอิ่มถึงคอหอย แล้วหวังว่า...คงไม่ต้องให้ท่านหมอช่วยกดจุดไล่ลมอีกนะ! "อร่อยหรือไม่? อาเฟย" "อร่อยมากเลยเกอเกอ...ข้าได้ขอสูตรจากพี่สะใภ้ (หมายถึงหงหมิงจู) เอาไว้เรียบร้อยแล้วขอรับ" "อืมม์...ข้าอยากปรึกษาอะไรหน่อย" หลี่ชิงกล่าว แล้วเล่าเรื่องของหลี่ฉีให้อาเฟยฟัง ก่อนจะเสริมท้ายว่า "ข้าคิดจะพาฉีเอ๋อร์ (คำว่า'เอ๋อร์' ต่อท้าย เหมือนเรียกว่า 'หนู' หรือว่า 'ลูก') กลับเมืองหลวงด้วย เพื่อรักษาตัว" "แล้วเกอเกอจะบอกว่า ฉีเอ๋อร์เป็นใคร? มาจากไหน?" อาเฟยตั้งคำถาม หลี่ชิงก็ฉุกใจเห็นปัญหา "นอกเสียจากว่า...เกอเกอจะรับฉีเอ๋อร์เป็นบุตรบุญธรรม และว่าเก็บเด็กได้ระหว่างทาง" อาเฟยเสนอ หลี่ชิงพยักหน้า "ข้าเห็นด้วยกับความคิดของเจ้า" แล้วหันไปถามหลี่ไฉว่า "ท่านพ่อจะยอมยกฉีเอ๋อร์เป็นบุตรบุญธรรมของข้าหรือไม่?" "ข้ายินยอม...นับว่าเป็นบุญของเด็กยิ่งนัก" หลี่ไฉกล่าวด้วยสีหน้ายินดี สาวใช้นางหนึ่งที่เ
วันรุ่งขึ้น...ขบวนเดินทางของหลี่ชิงกับอาเฟยก็ออกเดินทางจากเมืองหลวง ไปยังหมู่บ้านที่ครอบครัวตระกูลหลี่ของหลี่ไฉพักอาศัยอยู่...เพื่อให้การเดินทางรวดเร็วจึงใช้ม้าและรถม้า...เดินทางอย่างเร่งรีบเจ็ดวันก็ถึงหมู่บ้านเป้าหมาย หลี่ไฉยินดียิ่งที่เห็นหลี่ชิงเดินทางมาเยี่ยมตามที่เขาขอร้อง จนน้ำตาไหลลงมาอาบแก้ม เอ่ยเสียงเครือเพราะความตื้นตันว่า "ไท่หวางเฟย ขอบพระคุณยิ่งนักที่เดินทางมาเยี่ยมท่านแม่..." หลี่ไฉกล่าวไม่ทันจบประโยคดี หลี่ชิงก็รีบเอ่ยขึ้นว่า "ท่านพ่อ ไม่ต้องมีพิธีรีตองอันใดมาก ข้าพาท่านหมอมาด้วย ให้ท่านหมอตรวจดูท่านย่าก่อนเถิดขอรับ" "ได้ ได้" หลี่ไฉพยักหน้ารัวๆ แล้วเดินนำหลี่ชิงกับท่านหมอไปยังห้องนอนของมารดา ท่านหมอทำการตรวจดูอาการของฟูเหรินผู้เฒ่าเสร็จ ก็กล่าวว่า "ฟูเหรินผู้เฒ่าร่างกายอ่อนแอตามอายุ ประกอบกับมีเรื่องไม่สบายใจ ทำให้เกิดเป็นโรคของผู้สูงวัย ร่างกายไร้เรี่ยวแรง เบื่อหน่ายอาหาร" "ใช่แล้วท่านหมอ...ท่านแม่เบื่ออาหาร ไม่ค่อยยอมกินอะไรมาเป็นเดือน ร่างกายผ่ายผอม" หลี่ไฉกล่าว "ข้าคงอยู่ได้อีกไม่นาน" ฟูเหรินผู้เฒ่ากล่าวเสียงแผ่วล้า "แต่ได้
ไท่หวางเฟยหลี่ชิงกำลังนั่งกินอาหารมื้อเย็นอยู่กับไท่ชินอ๋องและท่านหญิงหาน...มื้อนี้อาเฟยกับท่านอ๋องสี่ก็มาร่วมโต๊ะด้วย เพราะอาเฟยนำเสนอวิธีการเก็บภาษีแบบใหม่ที่คนยากจนจะไม่เดือดร้อนเพราะเน้นเก็บจากรายได้ "หมายความว่าพวกขุนนางก็ต้องเสียภาษีด้วยหรือ?" ไท่ชินอ๋องถามพลางคีบเป๋าฮื้อน้ำแดงใส่ชามของหลี่ชิง "ขอรับ" อาเฟยตอบ "เพราะเบี้ยหวัดที่พวกเขาได้ก็เป็นรายได้ประเภทหนึ่งขอรับ" "ข้าว่า...พวกขุนนางจะต้องไม่เห็นด้วยกับเจ้าอย่างแน่นอน" ท่านอ๋องสี่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง "แล้วเบี้ยหวัดก็ได้มาจากภาษี...แล้วมันจะไม่เป็นการเก็บภาษีซ้ำซ้อนหรอกหรือ?" "ข้าเห็นด้วยกับน้องสี่" ไท่ชินอ๋องกล่าว "เรื่องนี้ถ้าประกาศออกไป เหล่าขุนนางต้องคัดค้านแน่ ๆ" "แต่ว่า...วิธีเก็บภาษีที่ข้านำเสนอนี้ยุติธรรมอย่างยิ่งนะขอรับ" อาเฟยเอ่ย สีหน้าเจื่อน ๆ "ใช่" ไท่ชินอ๋องคีบกุ้งใส่ในชามของไท่หวางเฟย "ข้ากับชิงชิงเคยช่วยกันวิเคราะห์แล้ว หากทำได้จะเป็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวง...แต่นั่นหมายความว่าต้องทำได้เสียก่อน ซึ่งถ้าเจ้าลงมือทำจากพวกชนชั้นสูงก่อน พวกเขาที่อยู่ ๆ ก็ต้องมาสูญเสียผลปร
จินหมงกับลั่วซวงได้บุตรคนแรกเป็นหญิง ได้นามว่า 'ลั่วซือ' พอลั่วซวงคลอดได้เจ็ดวัน...อาเฟยก็ชวนหลี่ชิงไปเยี่ยม ลั่วซวงลุกจากเตียงนอนมาคุกเข่ารอต้อนรับอยู่ก่อน พออาเฟยกับหลี่ชิงเดินเข้ามาในห้องที่นางพัก นางก็น้อมคำนับพลางเอ่ยว่า "คารวะไท่หวางเฟย คารวะพระชายา เจ้าค่ะ" "ไม่ต้องมากพิธี" ไท่หวางเฟยหลี่ชิงเอ่ยเสียงนุ่มนวล "เชิญนั่งสนทนากันเถิดลั่วฟูเหริน (คุณนายแซ่ลั่ว)" (ฟูเหริน...ถ้าคนนอกเรียก หมายถึง'คุณนาย' แต่ถ้าสามีเรียกภรรยา หมายถึง'คุณภรรยา') "ลุกขึ้นเถิดพี่ซวง" พระชายาอาเฟยเข้าไปประคองนางให้ลุกขึ้นมานั่งที่โต๊ะน้ำชา แล้วอาเฟยกับหลี่ชิงก็นั่งลงล้อมโต๊ะเดียวกัน ลั่วซวงรินน้ำชาให้หลี่ชิงและอาเฟย "ขอบพระคุณเจ้าค่ะที่มาเยี่ยม" "ไม่เพียงมาเยี่ยม ยังมารับขวัญหลานสาวด้วย"อาเฟยยิ้มพลางยกชาขึ้นดื่มอึกหนึ่ง แล้วใช้ตะเกียบเงินคีบขนมเข้าปากชิ้นหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า "นี่มันขนมสี่ดรุณีนี่นา" "ใช่แล้วเจ้าค่ะพระชายา...ข้าน้อยชอบขนมนี้มากเลยเจ้าค่ะ" "เป็นสูตรของท่านแม่ ข้าเองก็ชอบมากๆ" ว่าแล้วก็จะคีบชิ้นที่สอง แต่มือที่
คุณชายจินหมงถูกขันทีนำมาพบบิดามารดา ที่ห้องหนึ่ง ซึ่งจัดตกแต่งเอาไว้อย่างสวยหรู เมื่ออำมาตย์จินเหยาและฟูเหรินอยู่กับบุตรชายตามลำพัง พวกเขาก็ถามบุตรชายว่า "อาหมง...เจ้าเห็นว่าคุณหนูลั่วซวงเป็นอย่างไรบ้าง?" "งดงามและเป็นกุลสตรีที่เพียบพร้อมขอรับ" จินหมงตอบบิดา "ถ้าพ่อกับแม่จะให้เจ้าแต่งเข้าตระกูลลั่ว...เจ้าจะยินยอมหรือไม่?" ท่านหญิงฮุ่ยหลีถาม "ยินยอมขอรับ" จินหมงรับคำเสียงไม่ดังนัก ไม่ใช่ว่าเขาลังเลหรือไม่มั่นใจ แต่เป็นเพราะเขาเขินจัดจนหน้าแดงคอแดงใบหูแดง อำมาตย์จินเหยาและภรรยายิ้มอย่างเอ็นดูบุตรชาย "แต่พระชายาอาเฟยมีข้อแม้สองข้อที่เจ้าจะต้องรับปากก่อน หนึ่งคือเจ้าจะต้องมีภรรยาแค่คนเดียว สองคือเจ้าจะต้องช่วยพระชายาดูแลกิจการของตระกูลหวง" "ข้ารับปากขอรับ" จินหมงตอบอย่างเขินอาย ที่อีกห้องหนึ่งในหอสุราหวงหลงซึ่งตกแต่งไว้อย่างหรูหราสวยงาม...ลั่วซวงยืนอย่างสงบเสงี่ยมอยู่ต่อหน้าไท่ชินอ๋องที่นั่งเคียงคู่ไท่หวางเฟยบนเก้าอี้ยาวที่ตั้งอยู่ตรงกลาง ท่านอ๋องสี่นั่งบนเก้าอี้ไม้ฝังมุกข้างๆ ไท่ชินอ๋อง ส่วนพระชายาอาเฟยนั่งอยู่ข้างไท่
"ไม่เป็นไรขอรับท่านแม่" อาเฟยเคี้ยวขนมแล้วกลืนก่อนจะเอ่ยตอบ "ขนมของข้า...ข้าต้องปกป้องด้วยตัวของข้าเองขอรับ" "เอ้อ..." ท่านหญิงหานเลยไปไม่เป็น "ขนมของท่านแม่อร่อยมาก...มีสี่สีสี่ไส้สี่กลิ่น สมควรจะตั้งชื่อที่ไพเราะเหมาะสม" อาเฟยเอ่ยด้วยสีหน้าครุ่นคิด "ชื่อสี่ยอดขุนพล" ท่านอ๋องสี่เอ่ยแทรกขึ้นทันทีที่อาเฟยเพิ่งเอ่ยขาดคำเพื่อเว้นจังหวะพูด "เป็นชื่อที่ไร้รสนิยม (ห่วย) สิ้นดี" อาเฟยเหน็บแหนมสามี "แล้วต้องชื่อว่าอะไรจึงจะมีรสนิยมดี?" ท่านอ๋องสี่ถามพระชายา พร้อมกับนั่งลงข้างๆ แล้วฉวยถ้วยน้ำชาของอาเฟยที่ขันทีคนหนึ่งเข้ามารินเติมให้ไปดื่มโดยไม่สนใจถ้วยน้ำชาของตนเองที่ขันทีอีกคนนำมาเพิ่มให้และรินน้ำชาเรียบร้อยวางไว้ที่ตรงหน้า อาเฟยทำสีหน้าเบื่อหน่าย ก่อนจะตอบว่า "ขนมที่ทั้งสวยงามทั้งหอมหวานนุ่มละมุนเช่นนี้ เปรียบได้กับกุลสตรีสะคราญโฉมสี่นาง จึงสมควรจะได้ชื่อว่า...สี่ดรุณี...ต่างหาก เกอเกอว่าใช่หรือไม่?" หลี่ชิงที่อยู่ๆ ก็ถูกถามขึ้น ทั้งๆ ที่กำลังดูท่านอ๋องสี่กับอาเฟยแย่งขนมกันราวเด็กน้อยเพลินๆ ก็ขานรับอย่างไม่ทันคิดอะไรมากว่า "ใช่แล้ว"