แชร์

บทที่ 3

ผู้เขียน: มาแล้วก็อยู่ต่อเถอะ
หา? ถวายตัว?

สมองของเจียงหวนพลันระเบิดออกเป็นเสี่ยง ๆ ในขณะที่หันกลับไปก็สบเข้ากับสายตาที่เต็มไปด้วยความริษยาของอวี๋ผินเข้าพอดี

แค่ส่งบัวลอยถ้วยเดียวก็ถูกหาว่าแย่งชิงความโปรดปราน ประจบประแจงเบื้องสูงแล้ว หากถวายตัวกลับมา นางจะไม่ถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวการก่อความวุ่นวายในวังหลังหรอกหรือ?

“นายหญิงน้อย อย่ามัวชักช้าอยู่เลยพ่ะย่ะค่ะ ทางฝ่าบาททรงเร่งมาแล้ว!”

ขันทีน้อยเร่งเร้าอีกครั้ง เจียงหวนจึงลุกขึ้น เดินตามเขาออกไปข้างนอกทั้งที่ในสมองยังว่างเปล่า นางแค่อยากจะย้ายออกจากตำหนักจิ่นหวา ไปอยู่คนเดียวไกล ๆ ให้พ้นจากเรื่องวุ่นวาย ฝ่าบาทไม่ได้เหยียบย่างเข้ามาในวังหลังตั้งสามปีแล้ว เพียงเพราะบัวลอยถ้วยเดียวถึงกับเรียกนางถวายตัว มันจะไม่แปลกไปหน่อยหรือ?

พอเดินมาได้ครึ่งทาง เจียงหวนก็พลันนึกขึ้นได้

เดี๋ยวนะ นางยังไม่ได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า และการถวายตัวก็ไม่ได้ขึ้นเกี้ยวเฟิ่งหลวนชุนเอิน ฝ่าบาททรงเรียกสนมมาปรนนิบัติเป็นครั้งแรกง่าย ๆ แบบนี้เลยหรือ?

ระหว่างทาง ขันทีน้อยอธิบายว่า “นายหญิงน้อยอย่าได้คิดมากไปเลยนะพ่ะย่ะค่ะ คืนนี้อาจจะเร่งด่วนไปบ้าง แต่ท่านก็เป็นคนเดียวที่ได้รับความโปรดปรานมิใช่หรือ?”

“บ่าวขอเตือนท่านสักหน่อย ตอนนี้ฝ่าบาททรงอารมณ์ไม่ดีนัก ไม่ว่าท่านจะพูดหรือทำอะไรก็ระวังหน่อยนะพ่ะย่ะค่ะ”

ขันทีน้อยกลืนน้ำลาย มองร่างเล็ก ๆ ของเจียงหวนด้วยความเป็นห่วงเล็กน้อย คืนนี้ฝ่าบาททรงขัดพระประสงค์ของไทเฮาไม่ได้จริง ๆ หลังจากทอดพระเนตรป้ายชื่อในกรมวังฝ่ายในแล้ว สุดท้ายก็ทรงระบุชื่อเจียงเสวี่ยนซื่อแต่เพียงผู้เดียว

ต้องรู้ว่าก่อนหน้านี้อวี๋ผินเคยใช้เงินยัดใต้โต๊ะเพื่อถอดป้ายชื่อสีเขียวของเจียงหวนออกไปแล้ว แต่หลังจากคืนนี้ไป ไม่รู้ว่าเจียงหวนจะโด่งดังในชั่วข้ามคืน หรือจะถูกส่งไปที่ตำหนักเย็นกันแน่

อย่างไรเสีย ตอนนี้ฝ่าบาททรงไม่พอพระทัยอย่างยิ่งจริง ๆ ยามปกติพระองค์ก็อารมณ์ร้ายอยู่แล้ว ถึงแม้จะไม่ถึงขั้นทุบตีหรือสังหารข้ารับใช้ แต่เวลาพิโรธขึ้นมาก็มีการทุ่มข้าวของหรือใช้พระบาทถีบบ้างเป็นครั้งคราว

ร่างกายของเจียงเสวี่ยนซื่อผู้นี้ เกรงว่าจะทนแรงถีบของฝ่าบาทแม้เพียงครึ่งเดียวก็ไม่ไหว...

“อืม เจ้าค่ะ ขอบคุณกงกงที่ชี้แนะ”

เจียงหวนก้าวเข้าสู่ตำหนักหย่างซิน ในหัวยังคงมึนงงไม่กระจ่างนัก

“ในเมื่อมาแล้ว ยังจะยืนบื้ออยู่ตรงนั้นทำไม?”

จนกระทั่งฮั่วหลินตรัสด้วยเสียงทุ้มต่ำ เจียงหวนจึงค่อย ๆ ก้าวเท้าอันหนักอึ้งเข้าไปข้างหน้า

[น่ารำคาญชะมัด! วัน ๆ เอาแต่จะให้เลือกป้ายชื่อ ๆ ข้ายังกินไม่อิ่มท้องเลย แล้วจะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนไปมีหลานให้ไทเฮา?]

[ชีวิตนี้คงได้แค่นี้แหละ ไม่เป็นบุรุษก็ช่างเถิด ข้าไม่มีแรงจะมีลูก เจียงเสวี่ยนซื่อคนนี้ทำบัวลอยให้เรา แกะปูให้เรา ก็ถือว่าเป็นคนดี]

[หรือว่าจะหาข้ออ้างให้อวี๋ผินมารับนางกลับไปดีกว่า เราไม่มีแรงจริง ๆ ต้องขอโทษเจ้าด้วย]

ยังไม่ทันจะได้ฟังจนจบ เจียงหวนก็ทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้นเสียงดัง “ตุบ” ดวงตาทั้งสองข้างเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ฝ่าบาท ท่านไม่อยากเรียกสนมมาปรนนิบัติ ก็ไม่ควรจะมาล้อหม่อมฉันเล่นแบบนี้สิเพคะ?

ตอนนี้อวี๋ผินก็มองนางเป็นหนามยอกอกอยู่แล้ว หากถูกอวี๋ผินรับตัวกลับไป เกรงว่าในอนาคตนางจะไม่มีเงินแม้แต่จะเข้าครัวเล็กไปทำอาหารกินแล้ว!

“ฝ่าบาทโปรดอภัยด้วยเพคะ วันนี้หม่อมฉันมาอย่างเร่งรีบ มิได้อาบน้ำแต่งตัว ไม่กล้าทำให้เบื้องพระพักตร์และพระกรรณต้องมัวหมอง มิสู้ให้หม่อมฉันนวดพระอังสาและบีบพระเพลา ปรนนิบัติให้ท่านพักผ่อนดีกว่านะเพคะ”

หัวใจดวงน้อยของเจียงหวนเต้นระรัวราวกับจะหลุดออกมา ความกล้าแทบจะมลายหายสิ้น นางรู้เพียงว่า คืนนี้หากกลับไปที่ตำหนักจิ่นหวาจริง ๆ คงไม่ได้จบแค่การคุกเข่าทั้งคืนแน่

เจียงหวนไม่ได้คิดจะถวายตัวจริง ๆ แต่ถึงอย่างนั้น แค่ได้มาคลุกคลีอยู่ในตำหนักฝ่าบาทหนึ่งคืน...

หากได้ชื่อว่าเป็นสนมคนแรกที่ได้ถวายตัว ชีวิตในวันข้างหน้าย่อมดีขึ้นอย่างแน่นอน!

[เจียงเสวี่ยนซื่อคนนี้ยังนับว่ารู้จักกาละเทศะ แต่เราหิวจนตาลายแล้ว ไม่อยากจะมาเสียเวลากับสตรีอีก รีบไล่ไปเสียดีกว่า]

เมื่อได้ยินเสียงในใจของฮั่วหลิน เจียงหวนก็กัดฟันหลับตาแน่น ควักปูสามตัวที่ซ่อนไว้ในแขนเสื้อมานานครึ่งชั่วยามออกมา

“วันนี้หม่อมฉันนำของบางอย่างกลับมาจากงานเลี้ยงในวัง ไม่ทราบว่าฝ่าบาทจะสนพระทัยหรือไม่เพคะ?”

เมื่อเจียงหวนเผยให้เห็นปูสามตัวนั้น ดวงพระเนตรของฮั่วหลินก็พลันสว่างวาบขึ้นมาอย่างเห็นได้ด้วยตาเปล่า

[ปู? เจียงเสวี่ยนซื่อเอาปูกลับมาด้วยหรือ? แถมยังแกะไว้แล้วด้วย?]

[ยังต้องถามอีกหรือ? คุกเข่าโง่ ๆ อยู่ตรงนั้นทำไม ไม่รีบยื่นมาให้เรา หรือจะรอให้เราเดินไปหยิบเอง?]

เจียงหวนฟังแล้วปวดหัวตุบ ๆ ฝ่าบาท พระองค์ไม่ได้ตรัสอะไรออกมาเลย หม่อมฉันจะไปรู้ได้อย่างไรว่าทรงต้องการหรือไม่?

ยามปกติพระองค์ก็ทรงเงียบแบบนี้ ข้ารับใช้คนไหนจะไปเดาพระทัยถูกกันเล่า?

เจียงหวนยื่นปูทั้งสามตัวให้ มองดูฮั่วหลินเสวยอย่างเชื่องช้า ท่วงท่าสง่างาม มีเพียงเสียงในหัวเท่านั้นที่กำลังโหวกเหวกโวยวาย

[ปูมีฤทธิ์เย็นแล้วจะทำไม? เราจะกิน เราจะกินให้หมดในคราวเดียว ให้หวังเต๋อกุ้ยมันโมโหตายไปเลย!]

[น่าเสียดาย มีปูแค่สามตัวเอง ท้องยังไม่อิ่มเลย แต่ก็ดีกว่าเมื่อครู่มากแล้ว]

[ทั้งวังมีคนตั้งมากมาย มีแค่เจียงเสวี่ยนซื่อคนเดียวที่รู้จักหาของกินมาป้อนเรา ไว้วันหลังจะสั่งตัดหัวให้หมด!]

นี่เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ที่เจียงหวนได้ยินฮั่วหลินคิดจะสั่งตัดหัวคนในวัง แม้จะรู้ว่าฮั่วหลินอาจจะแค่พูดระบายอารมณ์ แต่เจียงหวนก็ยังอดที่จะกลัวไม่ได้อยู่ดี

อย่างไรเสียนี่ก็คือฮ่องเต้ ส่วนนางเป็นเพียงสนมเสวี่ยนซื่อตำแหน่งปลายแถวที่ต่ำต้อยสุด ๆ ไม่มีบิดาเป็นแม่ทัพคอยหนุนหลัง หากปรนนิบัติไม่ดีพอ อย่าว่าแต่จะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเลย แค่รักษาชีวิตรอดก็ยากแล้ว

ตอนนี้ฮั่วหลินเสวยเสร็จแล้ว กระดองปูถูกโยนทิ้งไว้ข้าง ๆ แล้ววางพระหัตถ์ทั้งสองข้างไว้บนพระชานุ

[เจียงเสวี่ยนซื่อตาบอดหรือไร ไม่รู้จักเช็ดมือให้เราบ้างหรือ? เดี๋ยวจะไล่นางออกไปเลย!]

หัวใจดวงน้อยของเจียงหวนเต้นไม่เป็นจังหวะ นางอุตส่าห์ซ่อนปูมาตั้งนาน ตัวเองยังไม่ได้กินสักคำ ทั้งหมดให้ฝ่าบาทเสวยไปแล้ว เหตุใดพระองค์ถึงได้พลิกหน้ามือเป็นหลังมือ คิดจะไล่นางไปอีกเล่า?

เจียงหวนรีบยกอ่างน้ำเข้ามา ปรนนิบัติฮั่วหลินล้างพระหัตถ์ แล้วใช้ผ้าเช็ดจนแห้งสะอาดหมดจด จึงจะกล้าเงยหน้าขึ้นด้วยความหวาดกลัว

“เช่นนั้นให้หม่อมฉันปรนนิบัติฝ่าบาทเข้าบรรทม แล้วหม่อมฉันจะไปพักที่ตั่งเล็กในห้องโถงด้านนอกนะเพคะ?”

ก่อนที่ฮั่วหลินจะได้เอ่ยปากไล่นาง เจียงหวนก็ชิงเสนอทางออกขึ้นมาก่อน

[เจียงเสวี่ยนซื่อไม่อยากถวายตัว? หรือว่านางมีคนรักในวังอยู่แล้ว?]

เสียงในใจประโยคนี้ เกือบจะทำให้เจียงหวนเป็นลมล้มพับไปตรงนั้น ถวายตัวก็ไม่ได้ ไม่ถวายตัวก็ไม่ได้

ฝ่าบาท หากจะทรงสังหารกันก็โปรดบอกมาตรง ๆ เถิดเพคะ!

“วันนี้ฝ่าบาททรงเหนื่อยล้าจากราชกิจ ในงานเลี้ยงก็ทรงดื่มไปไม่น้อย หม่อมฉันฐานะต้อยต่ำ ไม่กล้ารบกวนพระวรกายอันศักดิ์สิทธิ์เพคะ”

เจียงหวนรู้สึกว่าตัวเองช่างต่ำต้อยเสียเหลือเกิน ยิ่งกว่าตอนเป็นทาสแรงงานในชาติที่แล้วอีก อย่างไรเสีย ถ้าทำพลาดในวังหลวง นั่นหมายถึงเสียชีวิตจริง ๆ

ภายใต้สายพระเนตรอันร้อนแรงของฮั่วหลิน เจียงหวนกัดฟันฝืนทนอยู่นาน กว่าจะได้ยินเขาเอ่ยออกมา

“เช่นนั้นก็ไปพักที่ห้องโถงด้านนอกเถิด เรื่องในคืนนี้ ห้ามนำไปพูดกับคนนอก”

เจียงหวนถอนหายใจอย่างโล่งอก รีบคุกเข่าขอบพระทัยทันที

“ฝ่าบาททรงวางพระทัยได้ หม่อมฉันจะไม่แพร่งพรายแม้แต่ครึ่งคำเพคะ!”

ได้ยินเสียงในใจของฮั่วหลินมานานขนาดนี้ มีหรือที่เจียงหวนจะไม่รู้ว่าในใจของเขากังวลเรื่องอะไร?

ก็แค่ไม่อยากให้ไทเฮาทรงทราบว่า สนมที่เขาเรียกมาถวายตัว สุดท้ายกลับไปนอนอยู่ที่ห้องโถงด้านนอก แต่ทันทีที่หันหลังเดินจากไป เจียงหวนก็ได้ยินเสียงพึมพำในหัวอีกครั้ง

[วันนี้กินปูไปตั้งสามตัวรวด ถ้าหวังเต๋อกุ้ยรู้เข้า ทางไทเฮาคงได้บ่นอีกยาว]

[ดูท่าเจียงเสวี่ยนซื่อก็ไม่น่าจะเป็นคนปากสว่าง หากนางกล้าพูดจาเหลวไหล เราจะเย็บปิดปากนางเสียเลย!]

เหงื่อเย็น ๆ ผุดขึ้นบนหน้าผากของเจียงหวน

อ้อ ที่แท้ฝ่าบาทกังวลว่าเรื่องที่ทรงเสวยปูจะไปถึงพระกรรณไทเฮานี่เอง...

นอนที่ห้องโถงด้านนอก เจียงหวนนอนหลับไม่สนิทเลย ตลอดทั้งคืนเสียงในหัวของเจียงหวนก็ไม่เคยหยุดลง

เดี๋ยวก็ร้องว่า “หิว” เดี๋ยวก็ว่า “พวกผู้หญิงในวังหลังนี่น่ารำคาญเสียจริง ถ้าตายพร้อมกันหมดได้ก็ดี” แล้วก็ “พวกขุนนางนั่นถ้าไม่ทำให้เราโมโหจะตายหรือไร? วัน ๆ เอาแต่ร้องว่าราษฎรทุกข์ยากลำบาก เราเองก็กินไม่อิ่มเหมือนกันนะ!”

ถูกรบกวนเช่นนี้ทั้งคืน เจียงหวนก็ลุกขึ้นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง ขอบตาคล้ำยิ่งกว่าหมีแพนด้าเสียอีก ก่อนที่เหล่านางกำนัลขันทีที่อยู่ด้านนอกจะเข้ามาปรนนิบัติอาบน้ำ เจียงหวนก็เข้าไปในตำหนักเพื่อปรนนิบัติให้ฮั่วหลินตื่นบรรทม

“ฝ่าบาท ได้เวลาแล้วเพคะ ถึงเวลาต้องไปว่าราชการแล้ว”

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 191

    “สกปรกแล้ว” น้ำเสียงพลันแหบแห้งการเคลื่อนไหวของอายีน่าถึงกับหยุดชะงักไปในทันที ราวกับถูกน้ำร้อนลวกมือ ก่อนจะรีบชักมือกลับมาทันควัน แก้มทั้งสองข้างพลันแดงก่ำขึ้นมาโดยมิอาจควบคุมได้“ก็แค่อาภรณ์ชุดหนึ่งเท่านั้น...”อายีน่าเบือนหน้าหนี ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว ทว่า หัวใจกลับเต้นรัวราวกับเสียงกลองที่ดังกระทบแก้วหูฮั่วอวิ๋นสิงเพียงส่งหัวเราะออกมาเบา ๆ หากแต่เขาเคลื่อนตัวไปโดนบาดแผลเข้าทำเอาเจ็บเสียจนสะดุ้งเฮือกออกมา“จิ๊ ๆ... เจ้าหน้าแดงหรือ?”“ใคร... ผู้ใดหน้าแดงกัน เป็นเพราะแดดส่องลงมาต่างหาก!”ท่าทางของอายีน่าคล้ายกับลูกแมวถูกเหยียบหางก็ปาน พลางลุกขึ้นมาด้วยความเร็วไว ก่อนจะกรูถอยหลังไปสองก้าว“เจ้า... เจ้าใส่ยาเอาเองเถิด ข้าไปล่ะ”อายีน่าพลันหยิบตลับยายัดใส่เข้าไปในมือของฮั่วอวิ๋นสิง ก่อนจะพาสาวใช้อีกสองคนวิ่งหนีไปอย่างสุดชีวิตยามที่นั่งรถม้ากลับวังหลวงนั้น หัวใจของอายีน่าที่เต้นระรัวก็คล้ายกับว่าจะค่อย ๆ สงบลงม่านรถม้าที่กั้นเสียงความวุ่นวายจากภายนอกเอาไว้นั้น หลงเหลือเอาไว้แต่เพียงเสียงลมหายใจของอายีน่าที่หอบหืด พร้อมทั้งกลิ่นคาวเลือดที่ติดอยู่บนแขนเสื้อนา

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 190

    ฮั่วอวิ๋นสิงส่งเสียงร้องในลำคอ รอยแผลอาบเลือดพลันปรากฏบนขมับเลือดสีแดงสดทะลักออกมา ไหลอาบไปตามแนวแก้มราวกับห้วงเวลาได้หยุดนิ่งลง ณ วินาทีนี้ เสียงคำรามด่าทอมากมายเงียบหายไปทันทีผู้ติดตามสองคนของฮั่วอวิ๋นสิงรีบชักกระบี่ออกมาทันที พวกเขายืนคุ้มกันอยู่ด้านหน้าฮั่วอวิ๋นสิง พร้อมกับตะโกนเสียงกร้าว“พวกอันธพาลสามหาว ท่านนี้คือเซียวเหยาอ๋องของต้าเหลียงเรา พวกเจ้ากล้าทำร้ายท่านอ๋อง ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่?”เหล่าผู้ลี้ภัยตื่นตะลึงเมื่อได้ยินว่าฮั่วอวิ๋นสิงเป็นท่านอ๋อง พวกเขาเริ่มร่นถอยกลับไป ชายฉกรรจ์ที่เป็นผู้นำตกใจจนหน้าซีด รีบคุกเข่าลงไปทันทีแต่ทว่า อายีน่าไม่มีเวลาสนใจเรื่องเหล่านี้โลกทั้งใบของนางราวกับเหลือเพียงแผ่นหลังของคนที่ยืนบังอยู่ตรงหน้านาง และเลือดสีแดงสดที่ไหลอาบขมับเขาเท่านั้นเลือดสีแดงสดนั่น ช่างบาดตานางเหลือเกินหัวใจของอายีน่าราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นบีบรัดไว้แน่น รู้สึกปวดแปลบไปหมด“ฮั่วอวิ๋นสิง!”เสียงของนางทั้งสั่นเทาและแตกตื่นโดยที่แม้แต่นางก็ยังไม่รู้ตัว นางยกแขนเสื้อของตนขึ้นปิดมาแผลที่ขมับของเขาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย“ท่านเป็นเช่นไรบ้าง? เจ็บห

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 189

    “โอ๊ย” ขอทานน้อยล้มลงไปบนพื้น ถ้วยเก่าๆ ในมือกลิ้งไปอีกทางอายีน่ายันกิ่งไม้ด้านข้างโดยสัญชาตญาณ จึงค่อยหยัดยืนได้อย่างมั่นคงเหตุการณ์นี้มิได้เอิกเกริกมากนัก ทว่ากลับเสียงดังมากพอที่จะทำให้กลุ่มคนหน้าวัดแตกตื่นฮั่วอวิ๋นสิงเงยหน้ามองมา สายตาคมปราบ เขามองเห็นเงาร่างอันคุ้นเคยที่อยู่หลังต้นไม้ใหญ่ได้ในพริบตาสายตาสองคู่สบประสานกันอายีน่ามีสีหน้าแตกตื่นลนลาน ฮั่วอวิ๋นสิงตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด ไม่นานดวงตาดอกท้อก็มีรอยยิ้มเบ่งบานขึ้นมาเขาตักข้าวต้มให้ผู้ลี้ภัยที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะวางตะหลิวและเดินตรงมาทางอายีน่า“โอ้ นี่มิใช่…”ฮั่วอวิ๋นสิงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า จงใจลากเสียงยาวๆ สายตามองวนเวียนอยู่ที่การแต่งกายด้วยอาภรณ์ธรรมดาของอายีน่าหนึ่งรอบ“คุณหนูน้อยจากตระกูลใดกัน หลงทางมาหรือ?”อายีน่ารู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว นางฝืนทำเป็นเชิดคางขึ้น“ขะ… ข้าออกมาเดินเล่น มิได้หรือ? กลับเป็นท่านอ๋อง ไม่อยู่ท่องกลอนวาดรูปฟังดนตรีอยู่ในจวน วิ่งมาทำตัวเป็นพ่อครัวอยู่หน้าวัดร้างเช่นนี้ หาดูได้ยากยิ่ง”ฮั่วอวิ๋นสิงไม่โกรธ กลับยิ้มอย่างใจกว้าง“ข้าออกท่องเที่ยวไปทั่วทุกหนแห่ง จะออกมาสำรวจความเป็นอ

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 188

    พยับเมฆจากเหตุสงครามทางทิศใต้มิพียงแต่แผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งราชสำนัก แต่ยังค่อยๆ ลุกลามไปถึงเมืองหลวงด้วยข่าวที่พ่ายสงครามโบยบินไปสู่ครัวเรือนของราษฎรราวกับติดปีก ปลุกปั่นจิตใจผู้คนให้อกสั่นขวัญหายสิ่งที่ตามมาก็คือ มีผู้ลี้ภัยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ คนเหล่านั้นสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง พาคนในครอบครัวมาด้วย พวกเขาหลบหนีมาจากอำเภอข้างเคียงที่ถูกเพลิงสงครามแผดเผา บ้างก็มารวมตัวกันที่นอกเมืองหลวง บ้างก็รวมตัวอยู่ในวัดร้างที่ตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงประตูเมืองอายีน่าถูกขังไว้ในเมืองหลวง เส้นทางกลับแคว้นถูกตัดขาดเพราะเพลิงสงคราม ข่าวสารจากทางราชวงศ์โม่เป่ยก็น้อยลงทุกวัน เนื้อความในจดหมายล้วนบอกให้นางลี้ภัยและรออย่างสบายใจอยู่ที่นี่ไปก่อนชีวิตในวังแม้สุขสบายไร้กังวล ทว่าก็ไม่ต่างจากกรงทองคำที่ชวนให้รู้สึกหงุดหงิดใจครั้นยามบ่ายคล้อยของวันนี้ผ่านไป ในที่สุดนางก็ทนไม่ไหว เปลี่ยนไปใส่อาภรณ์รัดรูปสีพื้นที่ไม่สะดุดตา พาหญิงรับใช้โม่เป่ยที่แต่งกายแบบเดียวกันออกจากวังไปด้วยสองคน ตั้งใจว่าจะออกไปสูดอากาศที่ตลาดทัศนียภาพนอกเมืองแตกต่างจากในเมืองซึ่งเป็นระเบียบเรียบร้อยค่อนข้างมากถนนหนทางสกปรกไม่เป็นร

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 187

    “พระสนมโปรดระงับโทสะ บ่าวสืบรู้มาเช่นนี้จริงๆ นะเพคะ เมื่อคืนการหารือในห้องทรงพระอักษรถึงดึกดื่น มีเพียงแม่ทัพหลินและฝ่าบาท ฝ่าบาทมิได้สั่งให้ผู้ใดอยู่ปรนนิบัติจริงๆ เพคะ”“มิได้สั่งให้ผู้ใดอยู่ปรนนิบัติ?” เจียกุ้ยเฟยเอ่ยย้ำคำพูดนี้ด้วยน้ำเสียงรอดไรฟัน แฝงไว้ด้วยแววเย้ยหยันและไม่เชื่อ “เช่นนั้นเกิดอะไรขึ้นกับฝ่าบาทในท้องพระโรงช่วงเช้า?”หลานเวยตกใจจนวิญญาณแทบออกจากร่าง นางก้มหัวต่ำกว่าเดิม“บ่าวยังสืบรู้มาอีกว่าวันนี้ตอนที่ฟ้ายังไม่ทันสว่าง ท่านผู้นั้นจากตำหนักเว่ยยางได้ถือกล่องอาหารไปรอที่หน้าห้องทรงพระอักษรด้วยตนเอง รอจนกระทั่งแม่ทัพหลินกลับไป”แววตาของเจียกุ้ยเฟยแปรเปลี่ยนเป็นมืดมนน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม ราวกับเข็มอาบยาพิษเสียงของหลานเวยสั่นจนแทบพูดไม่เป็นคำ “นางมิได้เข้าไป เป็นหวังกงกงถือกล่องอาหารเข้าไป จากนั้น… จากนั้นฝ่าบาทก็ทรงเสวยมื้อเช้า ยามประชุมช่วงเช้าในท้องพระโรงจึงได้… จึงได้…”นางมิกล้าพูดคำนั้นออกมาจริงๆ“จึงได้อารมณ์เบิกบานยิ่งนัก! ใช่หรือไม่?”เสียงของเจียกุ้ยเฟยแหลมจนแหบแห้ง นางลุกพรวดขึ้นยืน เล็บมือที่ทาน้ำยาทาเล็บสีแดงสดกำขอบโต๊ะเครื่องแป้งไว้แน่น กระดูกข้อต่

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 186

    การประชุมช่วงเช้าจบลงอย่างมีประสิทธิภาพ ท่ามกลางความสงบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเหล่าขุนนางเดินเรียงแถวออกจากท้องพระโรง ใบหน้าแสดงออกถึงความโชคดีราวกับเพิ่งรอดพ้นจากความตายมาได้ ขณะเดียวก็ยังมีความสงสัยที่มิอาจไขข้อข้องใจได้พวกเขากระซิบกระซาบกันถึงเรื่องสีหน้าท่าทางที่แตกต่างจากเดิมของฝ่าบาทในวันนี้ฮั่วหลินมิได้สนใจเสียงกระซิบกระซาบของเหล่าขุนนาง เขาก้าวเท้าออกจากตำหนักจินหลวน เตรียมจะกลับไปสะสางราชกิจที่คั่งค้างในห้องทรงพระอักษรต่อ ทว่าเสียงที่แฝงไว้ด้วยความยียวนอย่างชัดเจนเสียงหนึ่งกลับดังมาจากด้านหลัง“แหม วันนี้พระพักตร์ฝ่าบาทมีสง่าราศีอย่างมากเชียวนะ หรือว่าทรงได้ยาวิเศษใดมาถนอมพระวรกายงั้นหรือพะย่ะค่ะ?”ผู้พูดก็คือฮั่วอวิ๋นสิง เขาแต่งกายด้วยชุดราชการประจำตำแหน่งชินอ๋อง[1] มือโบกพัดพับกระดูกหยกไปมา พลางจ้องพิจารณาฮั่วหลินตั้งแต่หัวจรดเท้า รอยยิ้มเย้าแหย่ฮั่วหลินได้ยินเช่นนั้นฝีเท้าก็ชะงักหยุด ตวัดแววตาเย็นชามองไปที่เขา“เสด็จอาว่างมากหรือ?” น้ำเสียงไม่สูง แต่กลับแสดงถึงบารมีของฮ่องเต้ไว้อย่างชัดเจน ซึ่งสามารถทำให้ขุนนางที่ยังเดินไปได้ไม่ไกลมากนักต่างก็หดคอ และรีบเร่งฝีเท

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status