แชร์

บทที่ 4

ผู้เขียน: มาแล้วก็อยู่ต่อเถอะ
บัดนี้ตำแหน่งฮองเฮาเว้นว่าง นอกจากจะต้องไปถวายพระพรไทเฮาที่ตำหนักบรรทมเดือนละครั้งแล้ว จะมีวันไหนบ้างที่เจียงหวนไม่ได้นอนตื่นสายจนตะวันโด่ง?

อ้อ ใช่แล้ว บางครั้งอวี๋ผินก็อยากจะแสดงอำนาจบาตรใหญ่ เรียกนางไปคุกเข่ารับฟังคำสั่งสอนแต่เช้าตรู่ เวลาเข้าว่าราชการนั้นเช้ามาก วันนี้เจียงหวนจึงต้องตื่นเช้ายิ่งกว่าเดิม

ตอนที่ปลุกฮั่วหลิน สายตาของเขาเย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง ประทับอยู่บนแท่นบรรทมมังกร ชุดบรรทมหลุดลุ่ย พระพักตร์อันคมคายแฝงความอ่อนล้า มีความรู้สึกเฉยเมยราวกับผู้ที่มองเห็นทุกอย่างบนโลกได้ทะลุปรุโปร่งแล้ว

[ฮ่า ๆ ต้องไปออกว่าราชการทั้งที่ท้องว่างอีกแล้ว เหตุใดเรายังไม่ตายอีกนะ?]

ขณะที่เจียงหวนกำลังผูกชุดคลุมมังกรให้ ก็ได้ยินเสียงในใจที่แทบจะสิ้นหวังของเขาระเบิดออกมา ตามธรรมเนียมของฮ่องเต้ทุกราชวงศ์ จะเสวยพระกระยาหารเช้าหลังจากว่าราชการเสร็จสิ้นแล้วเท่านั้น

ตื่นนอนตอนตีสี่ กว่าจะได้ทานมื้อเช้าก็ปาเข้าไปแปดเก้าโมงแล้ว

แค่คิดเจียงหวนก็รู้สึกว่าน่าสมเพชยิ่งนัก นางฉวยโอกาสตอนที่ฮั่วหลินเพิ่งจะบ้วนพระโอษฐ์เสร็จ แอบหยิบขนมดอกซิ่งบนโต๊ะในห้องโถงด้านนอกออกมา ใช้ผ้าเช็ดหน้าห่อไว้สองสามชิ้นแล้วซ่อนไว้ในมือ

นี่เป็นของที่นางตั้งใจจะแอบนำกลับตำหนักไปกินเป็นของว่าง เพราะถึงอย่างไรของว่างในตำหนักหย่างซินก็ย่อมดีกว่าของในตำหนักของนางอยู่แล้ว แต่เมื่อครู่เจียงหวนเห็นฮั่วหลินแอบเหลือบมองหลายครั้ง ทว่าติดที่หวังเต๋อกุ้ยยังคอยปรนนิบัติอยู่ข้าง ๆ จึงไม่กล้าลงมือ

“ฝ่าบาท สร้อยประคำราชสำนักนี่ดูเหมือนจะเบี้ยวไปหน่อยนะเพคะ”

เจียงหวนขยับเข้าไปด้านข้าง บัดบังสายตาของหวังเต๋อกุ้ย แล้วแอบยัดผ้าเช็ดหน้าที่ห่อขนมดอกซิ่งไว้ในฝ่าพระหัตถ์ของฮั่วหลิน

“ว่าราชการยืดยาวนัก ฝ่าบาททรงจำไว้ว่าต้องถนอมพระวรกายด้วยนะเพคะ”

คำพูดของเจียงหวนประโยคนี้ดูไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่เมื่อฮั่วหลินสัมผัสได้ถึงของว่างนุ่ม ๆ ในฝ่าพระหัตถ์ พระเนตรก็เบิกกว้างขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

[นี่คืออะไร? คงไม่ใช่ขนมดอกซิ่งหรอกกระมัง? เจียงเสวี่ยนซื่อเจ้า...ช่างถูกใจเรายิ่งนัก!]

[พวกขุนนางนั่นพูดมากที่สุด ฉวยโอกาสตอนที่พวกเขากำลังพล่ามเรื่องไร้สาระแอบกินสักสองคำ...เช้านี้ก็ไม่ต้องหิวจนขาอ่อนแล้ว!]

[ดีเหลือเกิน!]

น้ำเสียงที่พลันร่าเริงขึ้นของฮั่วหลิน ทำเอาเจียงหวนตกใจไปเหมือนกัน แค่ขนมดอกซิ่งไม่กี่ชิ้นก็ทำให้ฝ่าบาททรงดีพระทัยได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ

เด็กคนนี้ต้องเคยถูกปล่อยให้หิวโหยขนาดไหนกันนะ?

“เลื่อนขั้นให้เจียงเสวี่ยนซื่อเป็นฉางไจ้ พระราชทานราชทินนามว่าจวง สั่งให้กรมวังฝ่ายในจัดของรางวัลส่งไปเพิ่มด้วย”

ทันทีที่เจียงหวนชักมือกลับมา ข่าวดีก็หล่นลงมาบนหัว แม้ว่าการได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นจะไม่ใช่เรื่องดีสำหรับนางเสียทีเดียว แต่โชคดีที่ตำแหน่งฉางไจ้ก็ยังไม่นับว่าสูงมากนัก

ที่สำคัญคือมีของรางวัล! พอมีของรางวัล ชีวิตในวันข้างหน้าก็จะสุขสบายขึ้นแล้ว!

“ขอบพระทัยฝ่าบาท!”

เจียงหวนดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่ ขณะที่คุกเข่าลงขอบพระทัย มุมปากก็ยกยิ้มไม่หยุด เมื่อฮั่วหลินเสด็จไปว่าราชการ เจียงหวนจ้องมองแผ่นหลังของเขา แล้วได้ยินเสียงในหัวดังขึ้นอีกครั้ง

[ให้รางวัลไปแล้ว นางก็น่าจะรู้ตัวว่าต้องส่งของกินมาให้เราแล้วกระมัง?]

[หากไม่มีไหวพริบแม้แต่เรื่องแค่นี้ คืนนี้จะสั่งลดตำแหน่งนางกลับไปเหมือนเดิม]

เจียงหวนเบ้ปาก ในใจบ่นพึมพำว่าในหัวของฮ่องเต้พระองค์นี้มีแต่คำว่า “กิน” อยู่คำเดียว

“จวงฉางไจ้ ยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ ท่านเป็นสนมคนแรกที่ฝ่าบาททรงเรียกปรนนิบัติเลยนะพ่ะย่ะค่ะ!”

หวังเต๋อกุ้ยเป็นคนที่รู้จักวางตัว เมื่อเห็นว่าฮั่วหลินทอดพระเนตรเจียงหวนเป็นพิเศษ ถึงแม้พิธีแต่งตั้งจะยังไม่ทันจัด ก็รีบเปลี่ยนคำเรียกขานทันที แต่พอหันกลับไปมองจานเปล่าบนโต๊ะในห้องโถงด้านนอก หวังเต๋อกุ้ยก็ส่งเสียง “เอ๊ะ” ออกมาด้วยความสงสัย

“ขนมดอกซิ่งนี่เพิ่งจะยกเข้ามามิใช่หรือ เหตุใดจึงหมดแล้วเล่า?”

เจียงหวนเลียริมฝีปากอย่างกระอักกระอ่วน “อืม เมื่อครู่ข้าหิวเล็กน้อย ก็เลยหยิบมากินรองท้องเจ้าค่ะ”

แม้ว่าหวังเต๋อกุ้ยจะสงสัย แต่ก็เพียงยิ้มรับ

“จวงฉางไจ้เจริญอาหารดีจริง ๆ หากท่านชอบ บ่าวจะสั่งให้ห้องเครื่องส่งมาเพิ่มอีกหลาย ๆ จานเลย”

“เช่นนั้นก็รบกวนหวังกงกงแล้ว”

ตอนนี้แม้ว่านางจะยังไม่นับว่าเป็นสนมคนโปรด แต่อย่างน้อยก็ได้ชื่อว่าเป็นสนมคนแรกที่ได้ถวายตัว หัวหน้าขันทียังรีบเข้ามาประจบประแจง หากไม่รู้จักกาลเทศะ รอจนวันข้างหน้าฮั่วหลินหมดความสนใจในตัวนางแล้ว ก็คงไม่ได้รับการปฏิบัติที่ดีเช่นนี้อีก

ตอนขากลับตำหนักวันนี้ เจียงหวนได้นั่งเกี้ยวกลับมา ระหว่างทางที่ผ่านตำหนักอื่น ๆ สายตาแต่ละคู่ที่มองมานั้น ราวกับอยากจะถลกหนังนางออกมาทั้งเป็น

ตอนนี้เวลายังเช้าอยู่ แต่ข่าวที่เจียงหวนได้เลื่อนขั้นเป็นฉางไจ้ก็ได้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งวังแล้ว เข้าวังมาสามปี คนพวกนั้นมองเจียงหวนเป็นคนที่อ่อนแอรังแกได้ง่ายมาตลอดสามปี กดขี่ข่มเหงมาตลอดสามปี

พวกนางแต่ละคนพยายามทุกวิถีทางเพื่อแย่งชิงความโปรดปราน แต่ใครจะคิดว่าคนที่ได้ปีนขึ้นเตียงฮ่องเต้ในท้ายที่สุด กลับเป็นเจียงหวนที่พวกนางดูแคลนมากที่สุด!

เพียงแค่คืนเดียวก็ได้เลื่อนตำแหน่ง แถมยังมีราชทินนามอีกด้วย หากปล่อยให้นางได้ปรากฏตัวต่อหน้าฝ่าบาทอีกสักสองสามครั้ง จะไม่ยิ่งไปกันใหญ่หรือ?

ณ ตำหนักจิ่นหวา

อวี๋ผินถูกเจียกุ้ยเฟยเรียกไปตำหนิตั้งแต่เช้าตรู่ เนื้อหาก็ไม่พ้นเรื่องที่นางปกครองคนในตำหนักไม่เข้มงวด ปล่อยให้แม้แต่สนมเสวี่ยนซื่อเล็ก ๆ กล้าไปทำตัวโดดเด่นต่อหน้าฝ่าบาทได้

ตอนนี้อวี๋ผินนั่งหน้าตาบึ้งตึงอยู่ในตำหนัก รอคอยเจียงหวนที่กลับมาจากการถวายตัว

เจียกุ้ยเฟยมีรับสั่งแล้ว ให้นาง “สั่งสอน” เจียงหวนให้ดี!

“ฉางไจ้สกุลเจียง ถวายพระพรอวี๋ผินเพคะ”

นี่เป็นการถวายตัวครั้งแรกของเจียงหวน ตามกฎแล้วเมื่อกลับมาถึงตำหนักต้องรีบมาคารวะนายหญิงของตำหนักทันที ตอนนี้เจียงหวนคุกเข่าอยู่บนพื้น เผชิญหน้ากับสายตาเหมือนจะฆ่าคนของอวี๋ผินแล้ว รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

นางได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว อย่างไรเสียนางก็เป็นสนมที่ได้รับความโปรดปรานคนหนึ่ง อวี๋ผินคงไม่คิดจะเล่นงานนางอีกใช่หรือไม่?

“ดีจริง ๆ เจียงหวน ข้าไม่ทันได้สังเกตเลยว่า เจ้าจะมีมารยาจิ้งจอกยั่วยวนเช่นนี้ด้วย!”

เมื่อคืนนางกำลังลงโทษเจียงหวนอยู่ดี ๆ ฝ่าบาทก็มีรับสั่งเรียกตัวนางไปถวายตัว ความแค้นนี้ยังไม่ทันจางหาย ตอนเช้าก็มาถูกเจียกุ้ยเฟยตำหนิอีก

ความอัดอั้นตันใจทั้งหมดนี้ แน่นอนว่าต้องให้เจียงหวนเป็นผู้รับไป!

“อวี๋ผินกล่าวเกินไปแล้ว หม่อมฉันมิกล้าเพคะ”

เจียงหวนก้มหน้าต่ำ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง นางรู้สึกว่าตำแหน่งที่ได้เลื่อนมานี้ มันเหมือนไม่ได้เลื่อนอย่างไรก็ไม่รู้

“ชุ่ยอิง ไปทำให้จวงฉางไจ้รู้สำนึกเสียบ้างว่า อะไรเรียกว่ากฎระเบียบ!”

อวี๋ผินกัดฟันสั่งการลงไป ก็เห็นชุ่ยอิงเดินเข้ามาพลางบิดข้อมือไปมา เจียงหวนพลันตัวสั่นราวกับลูกนก

แม้ว่านางจะเพิ่งทะลุมิติเข้ามาในนิยายได้เพียงสามเดือน แต่ในหัวก็ได้รับความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมมาไม่น้อย เมื่อก่อนเวลาที่อวี๋ผินอารมณ์ไม่ดี ก็จะเรียกให้ชุ่ยอิงมาทุบตีนางเพื่อระบายอารมณ์

หลังจากที่เจียงหวนมาอยู่ที่นี่ ก็สงบเสงี่ยมเจียมตัวมาตลอด แม้จะถูกตัดค่าใช้จ่ายและถูกสั่งให้คุกเข่าบ้างเป็นครั้งคราว แต่เรื่องถูกทุบตีนั้น นางยังไม่เคยได้รับความอัปยศเช่นนี้มาก่อน ยังไม่ทันที่ชุ่ยอิงจะเข้ามาใกล้ เสี่ยวเจาก็กางแขนออก ปกป้องเจียงหวนไว้ราวกับแม่ไก่ปกป้องลูกเจี๊ยบ

“อวี๋ผินโปรดไตร่ตรองให้ดีนะเพคะ อีกสักครู่จวงฉางไจ้ของพวกเรายังต้องนำเครื่องเสวยไปถวายฝ่าบาท ถึงตอนนั้นหากฝ่าบาททอดพระเนตรเห็นเข้า เกรงว่าจะอธิบายได้ยากนะเพคะ!”

เหงื่อเย็น ๆ ไหลซึมบนหน้าผากของเจียงหวน นางเข้าใจดีว่าเสี่ยวเจาทำไปเพราะเจตนาดีต้องการปกป้องนาง

เมื่อครู่ระหว่างทางกลับตำหนัก เจียงหวนได้เปรยกับเสี่ยวเจาว่าวันนี้ต้องเตรียมของเสวยให้ฝ่าบาทเพิ่มสักหน่อย นางคงจะจำเข้าหัวไปแล้ว

แต่คำพูดของเด็กโง่คนนี้พอพูดออกมาแล้ว เหตุใดฟังดูเหมือนการข่มขู่เช่นนี้นะ?

เป็นไปตามคาด วินาทีต่อมาอวี๋ผินก็ลุกขึ้นยืนกัดฟันกรอด “เจ้ากล้าข่มขู่ข้าหรือ? แค่ได้ถวายตัวครั้งเดียวก็ทำให้เจ้าได้ใจถึงเพียงนี้ คิดจะไปทำตัวโดดเด่นต่อหน้าฝ่าบาทอีกแล้วหรือ?”

อวี๋ผินมองซ้ายมองขวา สุดท้ายก็ผลักชุ่ยอิงออกไป แล้วใช้ปลอกเล็บยาวทั้งสองของตัวเอง ตบลงไปที่หน้า “เพียะ ๆ ” สองฉาด

แก้มของเจียงหวนแดงก่ำขึ้นมาทันที

“จวงฉางไจ้ ในเมื่อได้รับความโปรดปรานแล้วก็จงอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเสียบ้าง สภาพเช่นนี้ เจ้ายังจะกล้าไปปรากฏตัวต่อหน้าฝ่าบาทอีกหรือ? เรื่องในวันนี้ เป็นรับสั่งของเจียกุ้ยเฟย ต่อให้เจ้าจะเอาของกินไปส่งให้ฮ่องเต้ เจ้าก็ต้องอดทนไว้!”

“ถ่ายทอดคำสั่งลงไป หากไม่ได้รับอนุญาตจากข้า ห้ามเจียงหวนก้าวออกจากตำหนักจิ่นหวาแม้แต่ก้าวเดียว!”

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 191

    “สกปรกแล้ว” น้ำเสียงพลันแหบแห้งการเคลื่อนไหวของอายีน่าถึงกับหยุดชะงักไปในทันที ราวกับถูกน้ำร้อนลวกมือ ก่อนจะรีบชักมือกลับมาทันควัน แก้มทั้งสองข้างพลันแดงก่ำขึ้นมาโดยมิอาจควบคุมได้“ก็แค่อาภรณ์ชุดหนึ่งเท่านั้น...”อายีน่าเบือนหน้าหนี ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว ทว่า หัวใจกลับเต้นรัวราวกับเสียงกลองที่ดังกระทบแก้วหูฮั่วอวิ๋นสิงเพียงส่งหัวเราะออกมาเบา ๆ หากแต่เขาเคลื่อนตัวไปโดนบาดแผลเข้าทำเอาเจ็บเสียจนสะดุ้งเฮือกออกมา“จิ๊ ๆ... เจ้าหน้าแดงหรือ?”“ใคร... ผู้ใดหน้าแดงกัน เป็นเพราะแดดส่องลงมาต่างหาก!”ท่าทางของอายีน่าคล้ายกับลูกแมวถูกเหยียบหางก็ปาน พลางลุกขึ้นมาด้วยความเร็วไว ก่อนจะกรูถอยหลังไปสองก้าว“เจ้า... เจ้าใส่ยาเอาเองเถิด ข้าไปล่ะ”อายีน่าพลันหยิบตลับยายัดใส่เข้าไปในมือของฮั่วอวิ๋นสิง ก่อนจะพาสาวใช้อีกสองคนวิ่งหนีไปอย่างสุดชีวิตยามที่นั่งรถม้ากลับวังหลวงนั้น หัวใจของอายีน่าที่เต้นระรัวก็คล้ายกับว่าจะค่อย ๆ สงบลงม่านรถม้าที่กั้นเสียงความวุ่นวายจากภายนอกเอาไว้นั้น หลงเหลือเอาไว้แต่เพียงเสียงลมหายใจของอายีน่าที่หอบหืด พร้อมทั้งกลิ่นคาวเลือดที่ติดอยู่บนแขนเสื้อนา

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 190

    ฮั่วอวิ๋นสิงส่งเสียงร้องในลำคอ รอยแผลอาบเลือดพลันปรากฏบนขมับเลือดสีแดงสดทะลักออกมา ไหลอาบไปตามแนวแก้มราวกับห้วงเวลาได้หยุดนิ่งลง ณ วินาทีนี้ เสียงคำรามด่าทอมากมายเงียบหายไปทันทีผู้ติดตามสองคนของฮั่วอวิ๋นสิงรีบชักกระบี่ออกมาทันที พวกเขายืนคุ้มกันอยู่ด้านหน้าฮั่วอวิ๋นสิง พร้อมกับตะโกนเสียงกร้าว“พวกอันธพาลสามหาว ท่านนี้คือเซียวเหยาอ๋องของต้าเหลียงเรา พวกเจ้ากล้าทำร้ายท่านอ๋อง ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่?”เหล่าผู้ลี้ภัยตื่นตะลึงเมื่อได้ยินว่าฮั่วอวิ๋นสิงเป็นท่านอ๋อง พวกเขาเริ่มร่นถอยกลับไป ชายฉกรรจ์ที่เป็นผู้นำตกใจจนหน้าซีด รีบคุกเข่าลงไปทันทีแต่ทว่า อายีน่าไม่มีเวลาสนใจเรื่องเหล่านี้โลกทั้งใบของนางราวกับเหลือเพียงแผ่นหลังของคนที่ยืนบังอยู่ตรงหน้านาง และเลือดสีแดงสดที่ไหลอาบขมับเขาเท่านั้นเลือดสีแดงสดนั่น ช่างบาดตานางเหลือเกินหัวใจของอายีน่าราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นบีบรัดไว้แน่น รู้สึกปวดแปลบไปหมด“ฮั่วอวิ๋นสิง!”เสียงของนางทั้งสั่นเทาและแตกตื่นโดยที่แม้แต่นางก็ยังไม่รู้ตัว นางยกแขนเสื้อของตนขึ้นปิดมาแผลที่ขมับของเขาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย“ท่านเป็นเช่นไรบ้าง? เจ็บห

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 189

    “โอ๊ย” ขอทานน้อยล้มลงไปบนพื้น ถ้วยเก่าๆ ในมือกลิ้งไปอีกทางอายีน่ายันกิ่งไม้ด้านข้างโดยสัญชาตญาณ จึงค่อยหยัดยืนได้อย่างมั่นคงเหตุการณ์นี้มิได้เอิกเกริกมากนัก ทว่ากลับเสียงดังมากพอที่จะทำให้กลุ่มคนหน้าวัดแตกตื่นฮั่วอวิ๋นสิงเงยหน้ามองมา สายตาคมปราบ เขามองเห็นเงาร่างอันคุ้นเคยที่อยู่หลังต้นไม้ใหญ่ได้ในพริบตาสายตาสองคู่สบประสานกันอายีน่ามีสีหน้าแตกตื่นลนลาน ฮั่วอวิ๋นสิงตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด ไม่นานดวงตาดอกท้อก็มีรอยยิ้มเบ่งบานขึ้นมาเขาตักข้าวต้มให้ผู้ลี้ภัยที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะวางตะหลิวและเดินตรงมาทางอายีน่า“โอ้ นี่มิใช่…”ฮั่วอวิ๋นสิงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า จงใจลากเสียงยาวๆ สายตามองวนเวียนอยู่ที่การแต่งกายด้วยอาภรณ์ธรรมดาของอายีน่าหนึ่งรอบ“คุณหนูน้อยจากตระกูลใดกัน หลงทางมาหรือ?”อายีน่ารู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว นางฝืนทำเป็นเชิดคางขึ้น“ขะ… ข้าออกมาเดินเล่น มิได้หรือ? กลับเป็นท่านอ๋อง ไม่อยู่ท่องกลอนวาดรูปฟังดนตรีอยู่ในจวน วิ่งมาทำตัวเป็นพ่อครัวอยู่หน้าวัดร้างเช่นนี้ หาดูได้ยากยิ่ง”ฮั่วอวิ๋นสิงไม่โกรธ กลับยิ้มอย่างใจกว้าง“ข้าออกท่องเที่ยวไปทั่วทุกหนแห่ง จะออกมาสำรวจความเป็นอ

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 188

    พยับเมฆจากเหตุสงครามทางทิศใต้มิพียงแต่แผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งราชสำนัก แต่ยังค่อยๆ ลุกลามไปถึงเมืองหลวงด้วยข่าวที่พ่ายสงครามโบยบินไปสู่ครัวเรือนของราษฎรราวกับติดปีก ปลุกปั่นจิตใจผู้คนให้อกสั่นขวัญหายสิ่งที่ตามมาก็คือ มีผู้ลี้ภัยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ คนเหล่านั้นสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง พาคนในครอบครัวมาด้วย พวกเขาหลบหนีมาจากอำเภอข้างเคียงที่ถูกเพลิงสงครามแผดเผา บ้างก็มารวมตัวกันที่นอกเมืองหลวง บ้างก็รวมตัวอยู่ในวัดร้างที่ตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงประตูเมืองอายีน่าถูกขังไว้ในเมืองหลวง เส้นทางกลับแคว้นถูกตัดขาดเพราะเพลิงสงคราม ข่าวสารจากทางราชวงศ์โม่เป่ยก็น้อยลงทุกวัน เนื้อความในจดหมายล้วนบอกให้นางลี้ภัยและรออย่างสบายใจอยู่ที่นี่ไปก่อนชีวิตในวังแม้สุขสบายไร้กังวล ทว่าก็ไม่ต่างจากกรงทองคำที่ชวนให้รู้สึกหงุดหงิดใจครั้นยามบ่ายคล้อยของวันนี้ผ่านไป ในที่สุดนางก็ทนไม่ไหว เปลี่ยนไปใส่อาภรณ์รัดรูปสีพื้นที่ไม่สะดุดตา พาหญิงรับใช้โม่เป่ยที่แต่งกายแบบเดียวกันออกจากวังไปด้วยสองคน ตั้งใจว่าจะออกไปสูดอากาศที่ตลาดทัศนียภาพนอกเมืองแตกต่างจากในเมืองซึ่งเป็นระเบียบเรียบร้อยค่อนข้างมากถนนหนทางสกปรกไม่เป็นร

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 187

    “พระสนมโปรดระงับโทสะ บ่าวสืบรู้มาเช่นนี้จริงๆ นะเพคะ เมื่อคืนการหารือในห้องทรงพระอักษรถึงดึกดื่น มีเพียงแม่ทัพหลินและฝ่าบาท ฝ่าบาทมิได้สั่งให้ผู้ใดอยู่ปรนนิบัติจริงๆ เพคะ”“มิได้สั่งให้ผู้ใดอยู่ปรนนิบัติ?” เจียกุ้ยเฟยเอ่ยย้ำคำพูดนี้ด้วยน้ำเสียงรอดไรฟัน แฝงไว้ด้วยแววเย้ยหยันและไม่เชื่อ “เช่นนั้นเกิดอะไรขึ้นกับฝ่าบาทในท้องพระโรงช่วงเช้า?”หลานเวยตกใจจนวิญญาณแทบออกจากร่าง นางก้มหัวต่ำกว่าเดิม“บ่าวยังสืบรู้มาอีกว่าวันนี้ตอนที่ฟ้ายังไม่ทันสว่าง ท่านผู้นั้นจากตำหนักเว่ยยางได้ถือกล่องอาหารไปรอที่หน้าห้องทรงพระอักษรด้วยตนเอง รอจนกระทั่งแม่ทัพหลินกลับไป”แววตาของเจียกุ้ยเฟยแปรเปลี่ยนเป็นมืดมนน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม ราวกับเข็มอาบยาพิษเสียงของหลานเวยสั่นจนแทบพูดไม่เป็นคำ “นางมิได้เข้าไป เป็นหวังกงกงถือกล่องอาหารเข้าไป จากนั้น… จากนั้นฝ่าบาทก็ทรงเสวยมื้อเช้า ยามประชุมช่วงเช้าในท้องพระโรงจึงได้… จึงได้…”นางมิกล้าพูดคำนั้นออกมาจริงๆ“จึงได้อารมณ์เบิกบานยิ่งนัก! ใช่หรือไม่?”เสียงของเจียกุ้ยเฟยแหลมจนแหบแห้ง นางลุกพรวดขึ้นยืน เล็บมือที่ทาน้ำยาทาเล็บสีแดงสดกำขอบโต๊ะเครื่องแป้งไว้แน่น กระดูกข้อต่

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 186

    การประชุมช่วงเช้าจบลงอย่างมีประสิทธิภาพ ท่ามกลางความสงบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเหล่าขุนนางเดินเรียงแถวออกจากท้องพระโรง ใบหน้าแสดงออกถึงความโชคดีราวกับเพิ่งรอดพ้นจากความตายมาได้ ขณะเดียวก็ยังมีความสงสัยที่มิอาจไขข้อข้องใจได้พวกเขากระซิบกระซาบกันถึงเรื่องสีหน้าท่าทางที่แตกต่างจากเดิมของฝ่าบาทในวันนี้ฮั่วหลินมิได้สนใจเสียงกระซิบกระซาบของเหล่าขุนนาง เขาก้าวเท้าออกจากตำหนักจินหลวน เตรียมจะกลับไปสะสางราชกิจที่คั่งค้างในห้องทรงพระอักษรต่อ ทว่าเสียงที่แฝงไว้ด้วยความยียวนอย่างชัดเจนเสียงหนึ่งกลับดังมาจากด้านหลัง“แหม วันนี้พระพักตร์ฝ่าบาทมีสง่าราศีอย่างมากเชียวนะ หรือว่าทรงได้ยาวิเศษใดมาถนอมพระวรกายงั้นหรือพะย่ะค่ะ?”ผู้พูดก็คือฮั่วอวิ๋นสิง เขาแต่งกายด้วยชุดราชการประจำตำแหน่งชินอ๋อง[1] มือโบกพัดพับกระดูกหยกไปมา พลางจ้องพิจารณาฮั่วหลินตั้งแต่หัวจรดเท้า รอยยิ้มเย้าแหย่ฮั่วหลินได้ยินเช่นนั้นฝีเท้าก็ชะงักหยุด ตวัดแววตาเย็นชามองไปที่เขา“เสด็จอาว่างมากหรือ?” น้ำเสียงไม่สูง แต่กลับแสดงถึงบารมีของฮ่องเต้ไว้อย่างชัดเจน ซึ่งสามารถทำให้ขุนนางที่ยังเดินไปได้ไม่ไกลมากนักต่างก็หดคอ และรีบเร่งฝีเท

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status